ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 2275
เย่เฉินกลับไม่เก็ทในจุดที่ซุนยู่ฟางพูดไปชั่วขณะ เพียงแค่ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ในใจจะมากจะน้อยก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
เพราะอย่างไรหวังตงเสวี่ยนก็เป็นพนักงานของตน
แม้ตี้เหากรุ๊ปจะเป็นของตน แต่การขับเคลื่อน การดูแล การพัฒนาทั้งหมดในตี้เหากรุ๊ปแทบจะอยู่ในการดูแลของหวังตงเสวี่ยนเพียงคนเดียวทั้งหมด
ภายใต้การเปรียบเทียบ ตนก็คือผู้โบกมือสั่งการ
หากเป็นไปตามที่ซุนยู่ฟางพูดจริง ให้หวังตงเสวี่ยนลางายไปค้นหาความรัก ไปท่องเที่ยวรอบโลก นั่นก็เท่ากับการโยนตี้เหากรุ๊ปทิ้งไปด้านหลัง
จากใจจริงของเขา ย่อมไม่หวังให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เพราะอย่างไรใครจะยอมให้บุคลากรมีความสามารถของตนไม่ทำเรื่องสำคัญ กลับวิ่งออกไปท่องเที่ยวรอบโลก
ทว่าภายในใจเขาก็เข้าใจดี อย่างไรก็เป็นการพูดคุยเป็นเพื่อนพ่อแม่ของหวังตงเสวี่ยน ดังนั้นแค่เออออไปกับพวกเขาก็พอแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ที่คุณน้าพูดมามีเหตุผลมาก อันที่จริงอายุยังน้อยก็ควรออกไปท่องโลกให้มากสักหน่อย เสพสุขกับชีวิตบ้าง…”
พอซุ่นยู่ฟางได้ยินเบ่เฉินพูดเช่นนี้ ก็พยักหน้าหัวเราะฮ่าๆ ทันทีแล้วกล่าวว่า “ถูกต้อง! ดูเหมือนว่าคยามคิดของเสี่ยวเย่กับน้าจะเหมือนกัน อีกเดี๋ยวนะ เธอก็ช่วยน้าเกลี้ยกล่อมตงเสวี่ยนให้มากๆ อย่างไรเธอเองก็ทำร้านค้าเอกชน ร้านค้าเอกชนมีเวลาค่อนข้างอิสระ รอตงเสวี่ยนลางาน หรือลาพักยาว พวกเธอสองคนก็สามารถออกไปเที่ยวด้วยกันได้”
“ผม?” เย่เฉินชะงักไป อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า “คุณน้าครับ เวลาของผมเองก็ไม่ได้อิสระอย่างที่คุณคิด ปกติยังคงมีเรื่องมากมาย…”
ซุนยู่ฟางโบกมือ กล่าวอย่างจริงจังว่า “เธอฟังน้าแนะนำสักประโยค อายุอย่างพวกเธอนี้ หากไม่เสพสุขกับการใช้ชีวิตให้มากๆ รออนาคตแต่งงานมีลูก งั้นก็คงได้ถูกผูกไว้จนตายแน่แล้ว!”
กล่าวจบ ซุนยู่ฟางก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “ฉันกับพ่อของตงเสวี่ยนตั้งแต่ตอนที่ฉันตั้งท้องตงเสวี่ยน ก็เหน็ดเหนื่อยกังวลต่างๆ นาๆ เวลานั้นคิดว่าคลอดออกมาก็คงสบายขึ้น แต่ที่ไหนได้พอคลอดออกมากลับเหนื่อยกว่าเดิม…”
“ต่อมานะ พวกเราก็คิดว่า รอลูกขึ้นอนุบาลก็คงดีขึ้นแล้ว แต่เอาเข้าจริงพอเธอเข้าอนุบาล ก็พบเจอแต่เรื่องยุ่งยากขึ้นกว่าเดิม!”
“ทุกวันไม่เพียงต้องไปรับไปส่ง ยังต้องใส่ใจกับพัฒนาการทางการเรียนรู้ของเธอทุกอย่าง เลิกเรียนต้องเรียนดนตรี เรียนเต้นรำ ฝึกเขียนลายมือ ทุกวันต้องขี่รถพาเธอไปหาอาจารย์เข้าเรียนทั่วจินหลิง”
“พอเข้าประถม ไม่เพียงต้องใส่ใจงานอดิเรกที่ชอบ ยังต้องใส่ใจการเล่าเรียนของลูก ต่อมาก็เป็นมัธยมต้น มัธยมปลาย มัธยมปลาบสอบเข้ามหาลัย…ในนี้ไม่มีเวลาไหนได้ผ่อนคลายจริงๆ เลย…”
หวังเฉิงหย่วนที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ก็ทอดถอนใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “นั่นน่ะสิ! ตั้งแต่ตั้งท้องลูกเป็นต้นมา จวบจนลูกสอบเข้ามหาลัย นี่ถึงค่อยเป็นความสำเร็จอย่างแท้จริง เวลาสิบยี่สิบกว่าปีมานี้ ช่างลำบากลำบนโดยแท้”
ซุนยู่ฟางเองก็อดถอนหายใจไม่ได้เช่นกัน “ดังนั้นนะ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอจะต้องอาศัยช่วงเวลานี้เสพสุขกับชีวิตให้มากๆ!”
“ชีวิตคนเรานี้ เวลาเป็นเงินเป็นทองมากที่สุด ก็คือช่วงอายุยี่สิบถึงสามสิบปีนี้แหละ!”
“ในช่วงสิบปีนี้ พวกเธอมีโลกทัศน์ ทัศนคติและการประเมินค่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และมีความสามารถในการแยกแยะถูกผิดแล้ว ถึงขั้นควบคุมระดับการดำเนินชีวิตอย่างอิสระได้ และสุดท้ายก็แยกตัวออกจากครอบครัว อิสระในการตระหนักรู้จนกระทั่งถึงวัย” ผู้ใหญ่…”
“หากสิบปีนี้ พวกเธอไม้ยึดเหนี่ยวไว้ให้ดีๆ ไม่ไปเสพสุขให้มากๆ อนาคตจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน!”
เย่เฉินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในวัยเด็ก เขาเองก็มีความฝันที่สวยงามอยู่มากมายเช่นกัน
การอบรมเลี้ยงดูที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อเขา ไม่เคยลัดขั้นตอนหรือคาดหวังในตัวลูกชายว่าจะได้เป็นใหญ่เป็นโต
สมัยเด็ก แม่มักจะบอกเขาเสมอว่า ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก โลกกว้างใหญ่ หวังว่าเขาสามารถเป็นคนที่มีความสุขได้ สามารถเดินทางไปได้ทั่วโลก สุดท้ายก็เก็บเกี่ยวความสุข ไม่เสียทีที่เกิดมาชาตินี้แล้ว
หากไม่เกิดอุบัติเหตุเหล่านั้นขึ้น ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลเย่ เพียงพอจะประคับประคองการดำเนินชีวิตอย่างอิสระตั้งแต่เด็กจนโตของเย่เฉิน เพียงพอที่จะสนับสนุนตอนที่เขาอายุยี่สิบกว่าปี เพื่อไปค้นหาความฝันของตัวเอง
ซึ่งเย่เฉินไม่เห็นเงินอยู่ในสายตามาตลอด ดังนั้นหลังจากเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นไปได้ว่าคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงของตระกูล
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เขาในตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าอาจหลงใหลกับการท่องเที่ยวไปทั่วโลกอยู่ทุกวัน