ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 3110 ผู้แทนเจรจามาถึงแล้ว
ความจริง จุดประสงค์การเดินทางมาที่แท้จริงของเย่เฉินนั้น ไม่ใช่มาเพื่อพบกับผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาล
คนที่เขาอยากเห็นจริง ๆ คือเฉินจงเหล่ยผู้บัญชาการสูงสุดของสำนักว่านหลงในซีเรีย หรือที่รู้จักในนามพญาหมาป่าเนตรเขียว
และถ้าต้องการนำตัวซูโสว่เต้ากลับหัวเซี่ยภายใต้การล้อมของคนมากกว่าสามหมื่นคน ทางเลือกเดียวของเย่เฉินคือกลยุทธ์จับโจรนั้นต้องจับหัวหน้าโจรก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อสำรวจศักยภาพที่แท้จริงของสำนักว่านหลง และดูว่าฝีมือสี่ราชันสงครามนั้นอยู่ในระดับไหน
สำหรับสวียินตงแล้ว เย่เฉินสามารถดูออกว่าเขาเป็นนักบู๊ และได้ทะลวงเส้นลมปราณไปสองเส้นแล้ว ซึ่งน่าจะอยู่ในระดับนักบู๊สองดาว
ดังนั้น เขาจึงสรุปได้ว่าสมาชิกระดับกลางและระดับสูงของสำนักว่านหลง ส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้
และการที่เขาขู่สวียินตงนั้นเป็นเพราะเขารู้สึกหวั่นไส้ผู้ชายคนนี้
และเขายังรู้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้สำนักว่านหลงกลัวการเจรจาสงบศึกส่วนตัวของฮามิดกับกองทัพรัฐบาลมากที่สุด ดังนั้นเย่เฉินจึงมั่นใจว่าตนเองควบคุมเขาได้
แน่นอนว่าเป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ขณะนี้สวียินตงกลัวว่าเย่เฉินจะโกรธเคือง และตอนนี้นอกจากคุกเข่าลงบนพื้นแล้วเขายอมทำทุกอย่าง
เมื่อเย่เฉินเห็นใบหน้าที่อ่อนน้อมถ่อมตนของสวียินตง จึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ในเมื่อคุณสามารถยอมรับผิดและปรับปรุงตนเอง งั้นผมจะให้โอกาสคุณ ไปกันเถอะ!
สวียินตงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบกล่าวว่า ขอบคุณพี่ชาย ขอบคุณพี่ชาย!
หลังจากนั้น เขาก็กล่าวอีกว่า พี่ชาย ก่อนจะออกเดินทาง พวกเราต้องตรวจค้นร่างกายคุณก่อน และหวังว่าคุณจะเข้าใจ
เย่เฉินจ้องเขาและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า เกิดอะไรขึ้น? เมื่อสักครู่ตอนที่คุณพูดขอร้องผม คุณยังเรียกผมว่า‘ท่าน’อยู่เลย ตอนนี้พอบรรลุเป้าหมายแล้วก็กลายเป็น‘คุณ’? เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปไหม?
สวียินตงรู้สึกเครียด และขอโทษอย่างรวดเร็ว โอ้ ขอโทษจริง ๆ ผมประมาทเลินเล่อและไม่ได้ตั้งใจ ท่านได้โปรดอย่าถือสาผมเลย!
เย่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา พูดใหม่!
สวียินตงแทบอยากจะฉีกเย่เฉินออกเป็นชิ้น ๆ แต่เขาทำได้เพียงกัดฟันและกล่าวอย่างนอบน้อมว่า ตามกฎระเบียบแล้ว พวกเราต้องทำการตรวจค้นตัวของท่าน และพวกเราหวังว่าท่านจะเห็นอกเห็นใจ และไม่ถือสา!
เย่เฉินถาม อะไรนะ? ผมมาถ้ำเสือตามลำพัง พวกคุณยังกลัวว่าผมจะเป็นภัยคุกคามอีกหรือ?
สวียินตงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพราะว่าท่านจะไปพบผู้บัญชาการสูงสุดในซีเรียของพวกเรา ดังนั้นพวกเราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด โปรดอภัยด้วย!
เย่เฉินหัวเราะด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม จากนั้นยกแขนขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า เอาล่ะ ค้นเถอะ!
สวียินตงขยิบตาให้ทหารสองคนที่อยู่ด้านข้างทันที
ทั้งสองคนหยิบเครื่องตรวจจับโลหะออกมาแล้วกวาดไปทั่วร่างกายของเย่เฉิน พวกเขาต้องการแน่ใจว่าเย่เฉินไม่มีปืน กริช ระเบิด หรือแม้แต่เครื่อง GPS ติดตามตัว
เย่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องตรวจค้นร่างกายตนเองแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้นำมาแม้แต่โทรศัพท์มือถือ ดังนั้นขณะที่อีกฝ่ายตรวจสอบอย่างละเอียดไปหลายครั้ง และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงทำให้พวกเขารู้สึกวางใจ
ทันใดนั้นสวียินตงกล่าวกับเย่เฉินว่า ท่านสามารถถอดหน้ากากออกได้ไหม?
เย่เฉินปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี ไม่ได้!
สวียินตงกล่าวอย่างอึดอัดว่า คุณคงจะไม่สวมหน้ากากเจรจากับจอมพลของพวกเราใช่ไหม?
เย่เฉินถามกลับ ทำไมล่ะ? ไม่ได้หรือ? ถ้าไม่ได้ก็ช่างเถอะ ไม่เจรจาแล้ว
สวียินตงรู้สึกจำยอมและรีบกล่าวว่า ได้ ๆ ๆ ท่านสามารถสวมใส่ได้ถ้าต้องการ…….
เหตุผลที่เย่เฉินสวมหน้ากาก สิ่งสำคัญนั้นเพราะเขายังไม่ทราบสถานการณ์ของสำนักว่านหลง ถ้าตอนนี้เขาเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา แล้วกล้องวงจรปิดหรือเครื่องบันทึกของอีกฝ่ายจับภาพตนเองไว้ เกรงว่าอีกฝ่ายจะสามารถค้นหาสถานะตัวตนที่แท้จริงของตนเองได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าตอนนี้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าได้รับการพัฒนามาก ดังนั้นตอนนี้จึงต้องระมัดระวัง
เพราะอย่างไรเสียเย่เฉินนั้นไม่มีความสามารถที่จะต่อสู้กับองค์กรรับจ้างที่มีคนเป็นหมื่นตามลำพังได้
เมื่อสวียินตงเห็นว่าตนเองไม่สามารถควบคุมเย่เฉินได้ แต่ตนเองกลับถูกเย่เฉินควบคุม ดังนั้นเขาจึงเลิกยืนกราน เพียงแค่ต้องการรีบพาเขาไป เพื่อสำเร็จภารกิจของตนเอง
ดังนั้น เขาจึงพาเย่เฉินขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่เตรียมไว้นานแล้ว และมุ่งหน้าไปที่ฐานบัญชาการ
หลังจากบินไปประมาณสิบนาที เฮลิคอปเตอร์ก็ลงจอดอย่างช้า ๆ ที่ตรงหน้าบ้านสำเร็จรูป
บ้านสำเร็จรูปเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของกองทัพทหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักว่านหลง เมื่อเปรียบเทียบกับกระโจมแล้วดีกว่ามาก
นอกจากนั้น ยังสร้างผ้าใบกันน้ำลายพรางขึ้นบนกระโจมและบ้านสำเร็จรูป ซึ่งเป็นการพรางตัวที่หนาแน่น ถ้ามองลงมาจากท้องฟ้า ยากที่จะแยกแยะออกว่าเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่บริเวณไหน