ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4385 ชักศึกเข้าบ้าน
ฟางเจียซินถามด้วยความงงงวยว่า สำนักว่านหลงนั่นเป็นทหารรับจ้างไม่ใช่หรือคะ? หากพูดตามหลักแล้วทหารรับจ้างเป็นใครจ่ายเงินก็ทำงานให้คนนั้นไม่ใช่หรือ? ตามหลักแล้วควรจะเป็นพวกเขามาเอาใจเรา ทำไมพวกเราจะต้องไปเอาใจพวกเขาด้วย?
หลิวเจียฮุยกล่าวอย่างดูถูก ไม่รู้อะไรเอาซะเลย! สำนักว่านหลงไม่ใช่องค์กรรับจ้างทั่วไป แต่เป็นหนึ่งในทหารรับจ้างที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก! โดยพื้นฐานแล้วพวกเขารังเกียจที่จะทำงานกับบุคคลทั่วไป และล้วนให้ความร่วมมือกับบางประเทศรวมถึงทหารของประเทศเหล่านั้น ครั้งนี้บริษัทนานาซูขนส่ง จำกัดสามารถดึงสำนักว่านหลงเข้ามาได้ ก็เป็นเพราะตระกูลซูมีที่มาที่ไปกับสำนักว่านหลงอยู่บ้าง!
จากนั้นเขาก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า ฉันได้ตรวจสอบบริษัท นานาซูขนส่ง จำกัดเอาไว้นานแล้ว พ่อของว่านพั่วจวินประมุขสำนักว่านหลง ตอนนั้นเป็นน้องชายของซูโสว่เต้าตระกูลซูเย่นจิง เป็นซูโสว่เต้าที่พยุงเขาให้เติบโตขึ้นมา เท่ากับว่าตระกูลซูมีบุญคุณต่อตระกูลว่าน ดังนั้นว่านพั่วจวินหลังจากจัดการเรื่องตระกูลเย่แห่งเย่นจิงได้แล้วถึงไปร่วมมือกับตระกูลซู ไม่อย่างนั้น ต่อให้ตระกูลซูจะร่ำรวยมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเรียกใช้ว่านพั่วจวินได้!
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลิวเจียฮุยก็เห็นว่าฟางเจียซินฟังจนมีสีหน้าสับสน เขาจึงเอ่ยเร่งเธอ พอแล้ว คุณไปสั่งให้คนใช้ทำความสะอาดห้องรับแขกก่อนเถอะ แล้วบอกให้พ่อบ้านให้เตรียมงานเลี้ยงด้วย จากนั้นก็หาเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปที่สนามบินเพื่อรับคนกับฉัน! อ้อใช่ โทรเรียกม่านฉงกลับมาแล้วบอกว่าฉันมีเรื่องสำคัญที่จะต้องตามหาเธอ!
ฟางเจียซินมีสีหน้าปั้นยากอยู่บ้างและเอ่ยว่า เรียกม่านฉงกลับมาในเวลานี้ คุณหาเรื่องใส่ตัวหรือไง? หากม่านฉงต้องการทะเลาะกับคุณขึ้นมาอีกและเพิกเฉยต่อแขกของคุณ แบบนั้นจะกลายมาเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่สำหรับคุณรึเปล่า?
หลิวเจียฮุยหัวเราะ เป็นเพราะนิสัยของม่านฉงนี่แหละ ฉันถึงได้ต้องการให้ม่านฉงกลับมาติดตามอยู่ด้วย! เธอหน้าตาสวยมาก เมื่อผู้ชายเห็นเธอ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็ต้องถึงกับสติหลุดลอย มีเธออยู่ ไม่แน่ว่าเจ้าหนุ่มแซ่เย่นั่นจะกลับกลายมาเอาใจฉันแทนก็ได้! เธอมักจะทำตัวสูงส่งเย่อหยิ่ง นิสัยไม่มีเหตุผล แถมดื้อรั้น และไม่เห็นผู้ชายคนไหนอยู่ในสายตา แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะถูกเอาเปรียบแน่ เธอก็คือแครอทที่แขวนอยู่หน้าลา ให้ลามองเห็นแล้วแต่กินไม่ได้ ได้แต่ต้องออกแรงวิ่งให้มากขึ้น! ดังนั้น ขอแค่มีเธออยู่ ต่อให้เธอทำหน้าบูด ก็ยังช่วยลดงานของฉันไปตั้งครึ่ง!
ฟางเจียซินเอ่ยพึมพำ ลูกสาวคุณไม่ฟังคุณด้วยซ้ำ แล้วจะมาฟังฉันที่เป็นแม่เลี้ยงได้ยังไงกัน? หากคิดจะเรียกเธอมา คุณทำเองน่าจะดีกว่า…
หลิวเจียฮุยไม่สบอารมณ์กับท่าทีของฟางเจียซินอยู่บ้าง แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็โบกมือและพูดอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเถอะ อีกเดี๋ยวฉันค่อยบอกเธอทีหลัง! คุณไปจัดการเรื่องอื่นเถอะ!
ดี! ฟางเจียซินไม่กล้าปฏิเสธและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน เย่เฉินก็ได้รับโทรศัพท์จากเขาเฮ่อจือชิวและได้รู้ว่าหลิวเจียฮุยถึงกับต้องการเชิญตัวเองให้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านของเขา
นอกจากความแปลกใจแล้ว ในใจของเชายังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน่าขัน ดังนั้นเขาจึงโทรหาว่านพั่วจวิน เมื่อสายถูกรับ เย่เฉินก็ถามเขาว่า พั่วจวิน ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน?
ว่านพั่วจวินกล่าวด้วยความเคารพว่า เรียนคุณเย่ ผมกำลังเตรียมไปรับคุณที่สนามบิน
เย่เฉินบอกเขาว่า พั่วจวิน วันนี้นายไม่จำเป็นต้องมารับฉันที่สนามบินแล้ว ฉันวางแผนที่จะพักอยู่ที่บ้านของหลิวเจียฮุย สองสามวันก่อน
ว่านพั่วจวินถามด้วยความประหลาดใจ คุณเย่ คุณจะไปอยู่ที่บ้านของหลิวเจียฮุยโดยตรง?!
ใช่. เย่เฉินพูดอย่างใจเย็น ในเมื่อเขาคิดจะชักศึกเข้าบ้าน อย่างนั้นฉันก็คงต้องสวมหนังลง ไปนั่งคุยกับเขาที่บ้านสักหน่อย
ว่านพั่วจวินอดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า ไม่แน่นี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่น่าเสียใจที่สุดของหลิวเจียฮุยตลอดชั่วชีวิตของเขาก็ได้
เย่เฉินยิ้มน้อยๆและถามเขาว่า สองวันนี้นายอยู่ที่เกาะฮ่องกางสืบอะไรได้บ้างแล้ว?