ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 106 เจ้าใบ้น้อย
บทที่ 106 เจ้าใบ้น้อย
เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต
ในเมืองแถบชายฝั่ง ลมเหมันต์มาพร้อมกับความอ่อนโยนพัดไปทั่วทุกมุมถนน
ความอ่อนโยนเปียกชื้นไม่เหมือนกับความหนาวเย็นเยียบที่ทุ่งสีชาด ทำให้ทีแรกยากจะรู้สึก จวบจนเมื่อแทรกซึมเข้ากระดูก หลังจากที่ความเย็นเยือกค่อยๆ แผ่จากภายในสู่ภายนอกถึงจะรู้สึก
และเมื่อถึงตอนนั้นหากอยากจะต้านทานก็ไม่ทันแล้ว
เหมือนกับลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตล่างเขาที่ใต้ใบหน้ายิ้มแย้มซ่อนเอาไว้ด้วยความโหดเหี้ยม ราวซ่อนเข็มไว้ในผ้าไหม
นี่เป็นฐานที่มั่นของยอดเขาที่เจ็ดเป็นหลัก
ลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดเหมือนจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้นิดๆ กันทั้งนั้น พวกเขาเชี่ยวชาญการเก็บซ่อน พวกเขาไม่เอาเกียรติศักดิ์ศรีลวงตาพวกนั้นก็ได้ พวกเขาเอาประโยชน์วางไว้บนจุดสูงสุด จุดนี้ให้ความรู้สึกสวี่ชิงลึกล้ำมาก
ต่อให้เป็นเขาในตอนนี้นับได้ว่าหลอมรวมไปในสภาพแวดล้อมเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว อีกทั้งตามการยกระดับของพลังบำเพ็ญ อาศัยวิธีที่เหี้ยมโหดทำให้ตัวเองยืนได้อย่างมั่นคงในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว เรื่องอันตรายที่ได้เจอลดลง ทั้งยังมีชื่อเสียงบารมี
แต่ความระมัดระวังและความรอบคอบของเขาไม่เคยลดลงแม้แต่นิดเดียวเลย
เพราะสวี่ชิงรู้ดีว่าในลูกศิษย์ระดับรวมปราณของยอดเขาที่เจ็ด การทำร้ายสังหารกันเองของผู้บำเพ็ญระดับต่ำก็มักจะมองเห็นได้จากด้านใดด้านหนึ่ง ส่วนในผู้บำเพ็ญระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อถึงขั้นเก้า ขั้นสิบแล้ว ส่วนมากล้วนจิตใจลึกเกินหยั่งกันทั้งนั้น
พวกเขาเชี่ยวชาญการแสดง ยิ่งเชี่ยวชาญการสะกดอดกลั้น เหมือนงูพิษที่ซ่อนอยู่ในความมืด หากถูกพวกมันจ้องแล้ว หลายครั้งที่ตายแล้วก็ยังหาศัตรูที่แท้จริงไม่เจอ
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่คนพวกนี้เท่านั้น ผู้บำเพ็ญที่กระเสือกกระสนดิ้นรนมาจากเมืองหลักทะลวงขั้นมาจนถึงระดับสร้างฐานเหล่านั้น พวกเขายิ่งชำนาญด้านนี้มากยิ่งกว่า
ยกตัวอย่างเช่นองค์ชายสาม…
ตอนนี้สวี่ชิงเดินอยู่ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต สีหน้าดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ในใจเต็มไปด้วยความระแวดระวัง รูปลักษณ์ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนกลับคืน
เขาเดินอยู่ในเมืองหลักแห่งนี้มาครึ่งค่อนวันแล้ว ที่ที่ไปส่วนมากล้วนเป็นสถานที่ที่คนค่อนข้างเยอะ สังเกตรอบๆ ไม่หยุด คอยฟังทุกอย่างไม่หยุด
เขากำลังหาร่องรอยที่อาจจะมีอยู่บางอย่าง พิสูจน์ว่าเรื่องขององค์ชายสามกับเผ่าเงือกสงบจริงหรือไม่ และเขาก็มีความอดทนต่อการสังเกตเช่นนี้เป็นอย่างมาก เดินตั้งแต่เช้าจนมืด
ยามราตรีมาเยือน สวี่ชิงก็ยังไม่แปลงร่างกลับสู่สภาพเดิม กระทั่งว่าการกลับมาครั้งนี้ ก็ไม่ใช้ป้ายฐานะของตัวเอง แต่ใช้แผ่นหยกที่ไม่ได้ลงชื่อ
แผ่นหยกไม่ลงชื่อของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตกลายเป็นโซ่อุปทานเส้นหนึ่งไปแล้ว คนที่ต้องการมีไม่น้อยเลย กลายเป็นตัวเลือกแรกของพวกคนร้ายและคนที่ไม่สะดวกจะแสดงตัวตน
เพียงแต่ราคาสูงมาก แต่ประโยชน์ก็มีมากมายสอดคล้องกับราคา ข้อดีหนึ่งในนั้นที่ดึงดูดคนมากที่สุดก็คือการอำพรางกาย
สำนักเจ็ดเนตรโลหิตลืมตาข้างหลับตาข้างกับเรื่องนี้ แม้จะทำการสุ่มตรวจบ้างเป็นบางครั้ง แต่หลายครั้งก็ไม่ได้สนใจ แน่นอนว่าเงื่อนไขคือจะต้องไม่แตะกฎและไม่ล้ำเส้นของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
คนร้ายประกาศจับที่สวี่ชิงฆ่ามีมากมายเหลือเกิน จึงมีแผ่นหยกประเภทนี้อยู่บ้างในตัว ดังนั้นตอนกลางคืนเขาจึงหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่เปิดอยู่แล้วเข้าไปพัก
เวลาก็ไหลไปเช่นนี้ ไม่นานก็ผ่านไปสามวัน
ในสามวันนี้สวี่ชิงทำการสืบข่าวหลายครั้ง ทำความเข้าใจในทุกด้าน กระทั่งว่าใช้เหรียญวิญญาณจำนวนหนึ่งซื้อรายงานข่าวที่เกี่ยวกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต แต่ก็ไม่เจอร่องรอยใดๆ ในนั้น
เหมือนว่าเรื่องเผ่าเงือกไม่มีเหตุการณ์อะไรต่อ ส่วนทางองค์ชายสามทางนั้นก็ไม่ได้สืบสาวราวเรื่องอะไรจริงๆ
ในขณะเดียวกัน เรื่องที่ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดในช่วงนี้คือเรื่องการแข่งขันครั้งใหญ่ของยอดเขาที่เจ็ด
สวี่ชิงได้ยินเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งในสามวันมานี้ รายงานข่าวที่ซื้อส่วนมากก็เกี่ยวกับเรื่องการแข่งขันครั้งใหญ่
เหมือนว่าความสนใจของลูกศิษย์ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทุกคนล้วนอยู่ที่เรื่องนี้
หลังจากที่สวี่ชิงขบคิดเรื่องนี้ ในดวงตาก็ฉายแววล้ำลึกออกมา
การแข่งขันครั้งใหญ่ของยอดเขาที่เจ็ดแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสามสิบปีจะจัดครั้งหนึ่ง พิเศษเป็นอย่างมาก การเลือกสนามสู้มักจะเป็นเขตใดสักเขตที่โลกภายนอก อีกทั้งระหว่างการแข่งขันโหดร้ายและเหี้ยมโหดมาก
เหมือนอย่างเมื่อสามสิบปีก่อน สนามศึกที่เลือกคือเกาะเงือก
หลังจากที่ทำการแข่งขันครั้งใหญ่แบบสยบกำราบที่นั่น เผ่าเงือกก็กลายมาเป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์
และเป้าหมายของครั้งนี้ก็กำหนดแล้ว เป็นต่างเผ่าขนาดเล็กเผ่าหนึ่งบนหมู่เกาะปะการังตะวันตก ต่างเผ่าเผ่านี้ชื่อว่าเผ่าวิญญาณเหนือ คนในเผ่าล้วนแต่โหดเหี้ยมกระหายเลือด อีกทั้งทั้งเผ่าล้วนเป็นโจรสลัด
เบื้องหลังพึ่งพิงต่างเผ่าที่ขนาดค่อนข้างใหญ่หลายเผ่า ในขณะเดียวกับที่มอบทรัพยากรแลกกับการปกป้องคุ้มครอง ก็เหิมเกริมอยู่ในทะเลต้องห้าม เป็นภัยคุกคามอย่างแสนสาหัสต่อเรือสินค้าที่เดินทางผ่าน โดยเฉพาะเรือสินค้าของเจ็ดเนตรโลหิต ในช่วงนี้ถูกพวกเขาปล้นบ้างแล้ว
เรื่องนี้สร้างความโกรธเดือดดาลให้กับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมาก ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายจะคืนกลับมาให้อย่างรวดเร็ว แต่พอดีกับช่วงการแข่งขันครั้งใหญ่ยอดเขาที่เจ็ดพอดี ตำแหน่งการแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้จึงกำหนดไว้ที่เกาะวิญญาณเหนือแห่งนี้
เรื่องนี้สร้างความสนใจให้กับลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดยิ่งเตรียมหมัดรอแล้ว คนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมล้วนเตรียมตัวกัน ทำให้ราคาทรัพยากรฝึกบำเพ็ญที่ท่าเรือพุ่งสูงขึ้นอีกประมาณสองเท่าทันที
คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมและกฎเกณฑ์ทางสำนักก็ได้ประกาศออกมาแล้ว
ยอดเขาที่เจ็ดมีทั้งหมดสิบสามหน่วย ทุกหน่วยจะเลือกออกมาประมาณสี่ร้อยคน รวมตัวกันเป็นกลุ่มผู้บำเพ็ญประมาณห้าพันกว่าคน เป็นผู้ได้รับเลือกของการแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้
สำหรับสิบสามหน่วย ความยากในการเลือกคนสี่ร้อยคนไม่ใช่ปัญหาเรื่องคน
ความจริงแล้วลูกศิษย์ของทุกหน่วยมีจำนวนมหาศาล หน่วยใหญ่มีถึงหลายพันคน หน่วยเล็กก็มีเกือบๆ พัน
สิ่งที่ทำให้ความยากเพิ่มขึ้นคือคนที่อยากเข้าร่วมมีมากเหลือเกิน
เป็นเพราะรางวัลของการแข่งขันครั้งใหญ่มูลค่าสูงเป็นอย่างมาก กฎคือทุกครั้งที่ฆ่าผู้บำเพ็ญวิญญาณเหนือได้หนึ่งคนจะได้หนึ่งหมื่นแต้มอุทิศ และนี่เป็นแค่พื้นฐานเท่านั้น ยิ่งพลังบำเพ็ญของศัตรูสูง รางวัลก็จะยิ่งมาก
ป้ายฐานะจะทำการบันทึกเอง เมื่อการแข่งขันครั้งใหญ่จบลงก็จะรวบรวมมอบให้ทีเดียว เงินเท่านี้มากพอจะทำให้ลูกศิษย์ที่ต้องดิ้นรนในเรื่องทรัพยากรบำเพ็ญฮึกเหิม
และยิ่งที่ให้คนต้องสูดลมหายใจกระทั่งว่าบ้าคลั่งคือ รางวัลของคนที่ได้ที่หนึ่งในการแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้
ฐานะศิษย์หลัก!
สำหรับลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดล่างเขาจำนวนนับไม่ถ้วน ศิษย์หลักที่สามารถสวมชุดนักพรตสีม่วงอ่อนได้ ทุกคนล้วนเป็นคนที่อยู่สูงส่งราวเทพเจ้า ฐานะสูงส่งเป็นที่สุด
เหมือนที่นายกองพูดในตอนนั้น ลูกศิษย์ล่างเขาตายไปร้อยคนสำนักก็ไม่ทีทางสนใจ แต่ศิษย์หลักตายไปหนึ่งคนล้วนเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ดังนั้นความบ้าคลั่งของลูกศิษย์ในทุกหน่วยก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่สวี่ชิงไม่ได้วาดหวังฐานะของศิษย์หลักอะไร
ถ้าเป็นตอนที่เพิ่งมาสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ฐานะศิษย์หลักมีความเย้ายวนกับเขามาก แต่หลังจากที่พลังบำเพ็ญถึงระดับรวมปราณบริบูรณ์แล้ว สำหรับสวี่ชิง ใกล้ทะลวงขั้นเป็นระดับสร้างฐานถึงจะเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของเขา
นอกจากนั้นสวี่ชิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น สถานที่การแข่งขันครั้งใหญ่เลือกไว้ที่เผ่าวิญญาณเหนือ เหมือนว่าจะตบตาโลกภายนอก คิดเชื่อมโยงกับเรื่องวิเคราะห์ของตนเมื่อก่อนหน้านี้ ในใจสวี่ชิงรู้สึกว่าสนามศึกที่แท้จริงบางทีอาจจะเป็นเผ่าเงือก
ในขณะที่ลูกศิษย์คนอื่นๆ กำลังพยายามช่วงชิงสิทธิ์และการเตรียมตัวอย่างสุดกำลัง สวี่ชิงก็สังเกตอย่างระมัดระวังรอบคอบพร้อมด้วยความคิดนั้นอยู่หลายวัน
หลังจากมั่นใจว่าในสำนักไม่มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเผ่าเงือกหลังจากนั้นแล้วจริงๆ ทางองค์ชายสามด้านนั้นก็เป็นเช่นนี้ สวี่ชิงก็เปลี่ยนตัวตนของตัวเองกลับมาและระมัดระวังตัวอีกหลายวัน ใจถึงได้สงบลง
หากไม่ถึงคราวอับจนจริงๆ สวี่ชิงก็ไม่อยากหนีไปจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในเวลานี้ เพราะห่างจากระดับสร้างฐานไม่ไกลแล้ว หินวิญญาณห้าพันก้อนที่จะได้รับทุกเดือนหลังจากสำเร็จระดับสร้างฐานแล้ว เขาอยากได้มันมาก
ตอนนี้ในเมื่อทุกอย่างเป็นปกติ สวี่ชิงก็กลับคืนสู่ชีวิตปกติพร้อมด้วยความระมัดระวัง หลายวันหลังจากนั้น เขาก็ได้รับแจ้งจากนายกอง
เป็นเรื่องเกี่ยวรางวัลครั้งที่สองของภารกิจนกเขาราตรีเมื่อตอนนั้นจ่ายลงมาแล้ว
เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกองหกหน่วยปราบนิลกาฬ
เงินเดือนก็เพิ่มตามไปด้วย จากทุกเดือนก่อนหน้านี้จะได้สามพันแต้มอุทิศก็เพิ่มเป็นหกพันแต้ม
“สวี่ชิง เรื่องนี้เจ้าต้องขอบคุณข้าให้ดีๆ เชียว หากไม่ใช่ว่าข้าช่วงชิงอย่างสุดกำลังมาให้เจ้า เจ้าจะมีวันได้รับการเลื่อนขั้นวันนี้ได้อย่างไร” ในกรมปราบพิฆาต นายกองนั่งอยู่ข้างๆ กินผลผิงกั่วพลางยิ้มมองมาทางสวี่ชิง
สายตาของเขากวาดประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นได้ชัดว่าสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญของสวี่ชิง แต่รอยยิ้มก็ยังคงอยู่เช่นเคย ผลผิงกั่วในมือยิ่งมีรสหวานมากกว่าเดิม
“ขอบคุณนายกอง”
สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา มาอยู่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจนถึงวันนี้ เขาก็ถือว่าเรียนวิธีการควบคุมสีหน้าได้บ้างแล้ว เพียงแต่ยังคงไม่เป็นธรรมชาติอยู่นิดๆ
“ดังนั้นเจ้าอย่าลืมหินวิญญาณหนึ่งพันก้อนที่ติดข้าเอาไว้เล่า” นายกองพูดหน้าระรื่น
รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่ชิงชะงักไปทันควัน
“ร้อยก้อนต่างหาก ข้าคืนท่านไปแล้ว!”
“เอ๋ คืนแล้วหรือ โอ๊ะโอ ความจำของข้าช่างแย่เสียจริง นึกออกแล้ว เจ้าคืนมาแล้วร้อยก้อน ก็ได้ๆ เจ้ายังติดข้าอีกเก้าร้อย พอใจแล้วใช่หรือไม่”
นายกองตบหน้าผาก ถอนหายใจ เห็นสวี่ชิงสีหน้าเหมือนจะไม่เป็นธรรมชาติแล้ว กระทั่งว่ามือขวายังแตะไปยังถุงหนังข้างกายตามสัญชาตญาณแล้ว เขาก็กะพริบตาปริบๆ
“สวี่ชิง การแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้เจ้าไปหรือไม่”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร
“สวี่ชิง ข้าจะแอบบอกอะไรเจ้าให้ ด้วยความเข้าใจต่อรูปแบบของสำนัก การแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้…มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าไม่ใช่เผ่าวิญญาณเหนืออะไรนั่น!”
นายกองสีหน้าค่อนข้างตื่นเต้น นั่งยองๆ บนเก้าอี้ หยิบส้มออกมาสองลูก หลังจากโยนไปให้สวี่ชิงลูกหนึ่ง ก็เริ่มปอกเปลือกพลางเอ่ยปากพูด
สวี่ชิงรับส้มมา มองไปทางนายกอง
“ข้าว่าน่าจะเป็นเกาะต่างเผ่าที่ใหญ่มากๆ อีกทั้งต่างเผ่านี้จะต้องร่ำรวยมากๆ ดังนั้นสำนักถึงได้ปล่อยหมอกควันตบตาโลกภายนอก ช่วงนี้ข้าสังเกตคนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการที่มีชื่อเสียงในกรมอื่นๆ พวกนั้น พบว่าพวกเขาแอบไปลงชื่อแล้ว!”
นายกองยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ดวงตาเริ่มยิงแสงออกมาแล้ว
“คนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการพวกนี้ ความจริงแล้วในช่วงระยะนี้ก็สะสมหินวิญญาณซื้อลูกกลอนสร้างฐานเพียงพอแล้ว สามารถทะลวงขั้นได้ทุกเมื่อ แต่กลับสะกดพลังบำเพ็ญไม่ทะลวงขั้น เห็นได้ว่ารอโอกาสครั้งนี้ พวกเขาล้วนจมูกสุนัขกันทั้งนั้น การดมกลิ่นว่องไวเฉียบคมมาก เจ้าคิดดู พวกเขาทิ้งผลประโยชน์ระดับสร้างฐานหลังจากที่ทะลวงขั้นได้ในช่วงสามสี่เดือนนี้ไป เช่นนั้นสิ่งที่หวังย่อมต้องมากกว่าแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นการแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสยอดเยี่ยมในการช่วงชิงทรัพยากรฝึกฝน
“ต้องรู้ว่าการแข่งขันครั้งใหญ่เมื่อสามสิบปีก่อนครั้งนั้น หลายคนล้วนร่ำรวยเพราะเรื่องนี้ รวยอู้ฟู่เชียวนะ ได้ยินว่าองค์หญิงสองผู้หญิงคนนั้นผงาดขึ้นขนาดนี้ก็เพราะครั้งที่แล้ว ทรัพย์สินที่กวาดมาว่ากันว่าผู้อาวุโสบางคนยังอิจฉา ลำพังแค่ลูกกลอนสร้างฐานนางชิงมาถึงแปดเม็ด!!
“นอกจากนั้น ในสำนักก็ยังมีคนที่พลังบำเพ็ญถึงแล้วแต่หินวิญญาณไม่พอ ช่วงนี้ตาแต่ละคนล้วนแดงก่ำ จ้องโอกาสครั้งนี้เพื่อสะสมหินวิญญาณ
“โอกาสรวยเช่นนี้เจ้าจะไม่ไปหรือ” นายกองมองสวี่ชิง ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา
สวี่ชิงได้ยินก็ยังคงไม่พูดอะไรเช่นเดิม การวิเคราะห์เรื่องสถานที่การแข่งขันครั้งใหญ่ของเขาตรงกับนายกอง อีกทั้งในใจก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าสุดท้ายแล้วสนามศึกจะอยู่ที่ใด
“ดังนั้นครั้งนี้เจ้าจะต้องไปให้ได้ รวยนะ ลงมือครั้งใหญ่หนเดียวสิ่งที่ต้องการสำหรับระดับสร้างฐานก็ได้เพียงพอแล้ว”
“แล้วก็ มีสมาชิกใหม่มาที่หน่วยข้าจะเรียกมาให้เจ้าดู” นายกองพูดแล้วก็หยิบป้ายฐานะสื่อเสียงลงไป ไม่นาน นอกประตูที่นายกองและสวี่ชิงอยู่ก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังเข้ามา
ไม่นานประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่นอกประตู
เด็กหนุ่มคนนี้ผมค่อนข้างยุ่งเหยิง ใบหน้าเล็กๆ สกปรกนิดๆ แม้จะสวมชุดนักพรตสีเทาแต่ดูตัวบวมพอง ใต้ชุดนักพรตยังสวมเสื้อคลุมหนังสุนัขสีดำอีกตัวหนึ่งด้วย
สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือดวงตาของเด็กหนุ่มคนนี้ ดวงตาของเขาแฝงไว้ด้วยความโหดเหี้ยมและดุร้าย เหมือนว่าที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นลูกหมาป่าดุร้ายตัวหนึ่ง
รังสีอำมหิตในตัวเขารุนแรงมาก เหมือนว่าจะระเบิดกัดกินศัตรูได้ทุกเวลา ตอนนี้ตามประตูที่เปิดออก เขามองเห็นนายกองกับสวี่ชิงที่อยู่ในห้องก็แสยะยิ้ม ในปาก…ไม่มีลิ้น
เขาเป็นคนใบ้
เพียงแต่ รอยยิ้มของเด็กหนุ่มใบ้คนนี้ก็ชะงักไปทันที ตามสายตาที่กวาดไปที่สวี่ชิง ดวงตาพลันเบิกโพลง มองเงาที่อยู่ใต้เก้าอี้สวี่ชิงสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เหมือนว่ามองเห็นสิ่งมีชีวิตอะไรที่ทำให้เขากลัวสุดขีด
ร่างของเขาพลันสั่นสะท้าน ลมหายใจเองก็เช่นกัน เหมือนคนธรรมดาได้เห็นองค์เทพ ตัวสั่นงันงกรุนแรงอย่างไม่อาจควบคุมได้
ภาพนี้ทำให้ในห้อง…เงียบกริบทันที!
————————————–