ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 159 ร่ายระบำร่วมเงามายา
บทที่ 159 ร่ายระบำร่วมเงามายา
ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้สวี่ชิงข่มขู่มากจนเกินไป เพียงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวเจ้าเงาก็สั่นสะท้านแล้ว
กระทั่งว่าในความตื่นกลัวยังเหมือนตอบสนองไปตามสัญชาตญาณ ปรากฏปากที่เป็นรอยแยกหลายทาง
ยิ่งมีความร้อนรน ส่งข้อความหาสวี่ชิงอย่างตั้งใจ เหมือนกลัวว่าถ้าช้าแล้วจะถูกฆ่า
“ซากสมุทร…กิน…เร็วในการทะลวงขั้น…ทะลวงขั้นเร็ว…”
สวี่ชิงไม่สนใจว่าทะลวงขั้นเร็ว เร็วในการทะลวงขั้นที่เงาพูดต่างกันอย่างไร และไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดความในใจออกมาเนื่องจากความร้อนรน แต่มองไปทางเหล็กแหลมสีดำ
ในขณะที่เหล็กแหลมสีดำสั่นสะเทือน บรรพจารย์สำนักวัชระก็ปรากฏตัวออกมาจากในนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมใจได้ในระยะเวลาสั้นๆ ตอนนี้เพิ่งปรากฏตัวออกมาก็ตบอกทันที เอ่ยกับสวี่ชิงด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่นว่า
“นายท่านวางใจ อย่างมากกินอาวุธเวทอีกไม่กี่ชิ้น เคล็ดวิชาอาวุธเวทที่ข้าฝึกฝนก็จะทะลวงขั้นได้แล้ว จากการคำนวณของข้าน้อย ถึงตอนนั้นเจ้าเหล็กแหลมที่น่ารักภายใต้การควบคุมของข้าก็จะมีความเร็วและความคมที่เปรียบได้กระทั่งสภาวะแสงนภาได้ในพริบตาแน่นอน
“แม้ระยะเวลาคงอยู่จะไม่นานมาก แต่ข้าจะต้องพยายามให้มากขึ้น ไม่เป็นตัวถ่วงนายท่านแน่นอน โดยเฉพาะช่วงนี้ข้ายังค้นคว้าว่าจะระเบิดตัวเองอย่างไรอีกด้วย
“ข้าคิดเอาไว้แล้ว กังวลในสิ่งที่นายท่านกังวล คิดพิจารณาในสิ่งที่นายท่านคิดพิจารณา ชีวิตข้าไม่นับเป็นอะไร หากเผชิญกับช่วงสำคัญวิกฤตอันตราย ต่อให้ข้าน้อยต้องระเบิดตัวเองก็จะเปิดหนทางไร้อุปสรรคที่มุ่งสู่เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณให้กับนายท่านได้อย่างแน่นอน!”
บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยอย่างฮึกเหิมนัก ตบอกไม่หยุด ทำเอาเจ้าเงาได้ฟังก็ไม่สั่นแล้ว แต่อึ้งตะลึงแทน
สวี่ชิงได้ยินแล้วก็มองบรรพจารย์สำนักวัชระอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า
“ข้ารู้แล้ว”
พูดจบก็ถอนสายตากลับมา ไฟชีวิตก็ดับลงทันทีจากในสภาวะลุกไหม้เพียงชั่วความคิดของเขา
ทั้งตัวสวี่ชิงก็หม่นแสงลงทันที กลับสู่สภาวะที่เคยเป็นจากการดับไฟ
พลังกดดันน่าหวาดกลัวทั้งร่างก็สลายไปในตอนนี้เช่นกัน
ในขณะเดียวกัน กลับคืนสู่สภาวะแข็งแกร่งแบบนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั่วทั้งร่างทำให้สวี่ชิงมีเสี้ยวขณะหนึ่งที่ไม่คุ้นชิน กระทั่งว่าเขามีความวู่วามอยากเปิดสภาวะแสงนภาต่อ
แต่เขาสะกดความวู่วามนี้เอาไว้
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่สวี่ชิงที่เป็นเช่นนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานคนใดก็ตาม ก่อนและหลังเปิดสภาวะแสงนภา กลับจากสภาวะที่น่าตื่นตะลึงเช่นนั้นสู่สภาพเดิม ก็ล้วนทำให้ในใจคนเกิดระลอกคลื่นกันทั้งนั้น
สภาวะแสงนภาคือการปะทุอย่างสุดยอดของช่องเวทในกายผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐาน ในการปะทุนี้พลังเวทและทะเลวิญญาณ รวมถึงกายเวทของตัวเองและทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่ยกระดับก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว
การเผาผลาญพลังจากการยกระดับประเภทนี้ย่อมมหาศาล
นี่ทำให้ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมและใช้ระยะเวลาของสภาวะแสงนภาของตัวเองอย่างเหมาะสม โดยปกติแล้วผู้บำเพ็ญขั้นไฟชีวิตหนึ่งดวงสามารถคงอยู่ได้กว่าครึ่งชั่วยาม
ระยะเวลานี้คือขีดจำกัดสูงสุด นอกเสียจากว่าอยู่ในสภาวะสุดวิสัย ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีใครไปท้าทายขีดจำกัดสูงสุดของตัวเองในสภาวะไฟชีวิต
เพราะหากใช้ไฟชีวิตจนมอดดับในสภาวะขีดจำกัดสูงสุด เช่นนั้นแล้วช่องเวทของตัวเองก็จะแห้งเหือดไปเพราะการใช้พลังจนหมดเช่นนี้ กลายเป็นช่องเวทแห้งเหือด
ช่องเวทแห้งเหือดก็เหมือนของไร้ค่า แทบจะไม่สามารถแก้ไขได้
สวี่ชิงสัมผัสอยู่เงียบๆ หลังจากทำให้ตัวเองเคยชินกับสภาวะปกติใหม่อีกครั้ง ก็เริ่มสำรวจสินสงครามของตัวเองครั้งนี้
ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานเผ่าสิงซากสมุทรที่ตายในเงื้อมือของเขาครั้งนี้มีทั้งหมดสี่คน สิ่งที่ทำให้สวี่ชิงเสียดายที่สุดคืออาวุธเวทสี่ชิ้นที่ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานขั้นไฟชีวิตที่ส่งข้ามมาใช้ต่อต้านการโจมตีตน
สวี่ชิงในตอนนั้นเพิ่งเปิดสภาวะแสงนภาได้ อีกทั้งยังเป็นสภาวะตะเกียงแห่งชีวิต ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมพลังน่ากลัวในกายได้โดยทันที ทำได้แค่โจมตีสุดกำลังเท่านั้น
แม้จะซัดจนอีกฝ่ายแหลกละเอียด แต่อาวุธเวททั้งสี่ชิ้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เช่นกัน
“อย่างน้อยก็มีหินวิญญาณล้านกว่าก้อน…” สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ก็สูดลมหายใจ หยิบถุงเก็บของที่เก็บเกี่ยวได้มา หลังจากเปิดดูจิตใจของเขาถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย
ถุงเก็บของของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรสามสี่คนนี้ดีกว่าที่เคยเจอก่อนหน้านี้มาก หินวิญญาณในนั้นรวมแล้วมีประมาณสามแสนกว่าก้อน น่าเสียดายแค่อาวุธเวทมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
ก็คือพัดของบัณฑิตชุดคลุมดำ
พัดเล่มนี้เพิ่มความเร็วได้ สวี่ชิงมองไปทางบรรพจารย์สำนักวัชระทั้งๆ ที่อยากได้แต่กลับสะกดกลั้นเอาไว้ แล้วโยนไป
เหล็กแหลมสีกำส่งเสียงวิ้งออกมาทันทีแล้วเสียบไปในพัด ทิศทางที่แทงเข้าไปอย่างพิศดารนัก ไม่ได้แทงเข้าไปจากทางข้างหน้าแต่แทงเข้าไปจากก้านพัดข้างล่าง นี่ทำให้พัดดูจากภายนอกแล้วไม่มีรอยเสียหายที่ชัดเจน
ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ในพัดหายไปอย่างรวดเร็วจากการดูดซับ สุดท้ายในตอนที่แสงหมองหม่น บรรพจารย์สำนักวัชระก็ดึงเหล็กแหลมออกอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เป่าไปที่พัดทีหนึ่ง
ลมนี้น่าอัศจรรย์นัก หลังจากที่สัมผัสกับพัดแล้ว แสงหมองหม่นของอาวุธเวทก็หายไปทันที สาดประกายแสงของวิเศษใหม่อีกครั้ง ดูแล้ว…เหมือนไม่แตกต่างอะไรกับเมื่อก่อนเลย
“แตกง่ายไปหน่อย…” บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม พูดจบก็กะพริบตาปริบๆ แสดงท่าทางเขินอาย เหมือนอยากจะใช้ท่าทางนี้มาทำให้ตนเองดูว่าไม่ใช่คนชอบลอบทำร้ายคนอื่น
สวี่ชิงเก็บพัดมาด้วยสีหน้าปกติ ไม่สนใจสีหน้าและคำพูดของเขา ตอนนี้วิญญาณของเผ่าสิงซากสมุทรสองดวงปะทุในร่างพร้อมกัน ทะลวงเปิดช่องเวทช่องที่สามสิบเอ็ดได้ทันที
‘วิญญาณที่ต้องการเพิ่มมากขึ้นอีกแล้ว…’ หลังจากสวี่ชิงสัมผัสได้ว่าช่องเวทในร่างทะลวงเปิดได้สามสิบช่องแล้ว พลังวิญญาณที่ต้องการก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น วิญญาณผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานทั่วไปไม่สามารถเปิดช่องเวทให้เขาได้หนึ่งช่องแล้ว มีเพียงวิญญาณของขั้นไฟชีวิตเท่านั้นจึงจะทะลวงเปิดได้
ดังนั้นหลังจากที่ตอนนี้ทะลวงเปิดช่องที่สามสิบเอ็ดได้แล้ว ก็เหลือพลังไม่พอที่จะทะลวงเปิดช่องเวทที่สามสิบสอง
ร่างของสวี่ชิงทะยานไปข้างหน้า พุ่งตรงไปที่ทางออกโลกใต้ทะเลจากพลังเวทในกายที่เพิ่มขึ้น
เข้าใกล้มาในทันที สวี่ชิงพุ่งออกไปโดยความเร็วไม่ลดลงเลย
ไม่นานนักเขาก็มาถึงโลกภายนอกตามเส้นทาง เพิ่งออกมาก็เห็นผู้บำเพ็ญสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศของสงครามที่เกาะเผ่าเงือกเข้มข้นมาก
ในขณะที่เสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากที่ไกล ท้องฟ้าก็มีระลอกคลื่นพลังน่าหวาดกลัวแผ่มา
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด เงยหน้ามองไปทางท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปอีก
ตรงนั้นมีเงาร่างของผู้นำระดับสูงสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสิบกว่าร่างกำลังสู้กับเผ่าสิงซากสมุทรจำนวนหนึ่ง และเจตจำนงการต่อสู้จากผิวน้ำที่ห่างออกไปไกลๆ รุนแรงยิ่งกว่า การฆ่าสังหารของผู้บำเพ็ญทั้งสองฝ่ายดุเดือดมาก
ในขณะเดียวกันยังมีอาวุธเวทที่แขวนไว้บนเกาะทั้งสี่เป็นแถวๆ ก่อเป็นพลังวิชาเวท สาดซัดแสงสีต่างๆ ท่วมฟ้าตกไปยังสนามรบ
ยิ่งมีกระบี่บินแต่ละเล่มๆ บินออกมาจากสระหล่อเลี้ยงกระบี่ พุ่งไปอย่างรวดเร็วในฟ้าดิน
ค่ายกลเองก็เช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าสงครามครั้งนี้ตอนนี้มาถึงรอยต่อสำคัญบางอย่าง การโจมตีกลับจากเผ่าสิงซากสมุทรดุเดือดนัก และภารกิจที่กะพริบวูบวาบจำนวนนับไม่ถ้วนในป้ายฐานะก็พิสูจน์ถึงเรื่องนี้
สวี่ชิงบรรจุพลังเวทตรวจสอบทันที ภารกิจนับไม่ถ้วนปรากฏออกมามากมาย ส่วนมากล้วนเป็นภารกิจเกี่ยวกับสงครามแนวหน้า อีกทั้งรางวัลของภารกิจก็มูลค่ามหาศาลนัก และในตารางของผู้รับภารกิจสังหารในสงครามได้ถึงหมื่นขึ้นไปจะได้วาสนาลูกกลอนหลอมตันเถียน คนที่เข้าใกล้เป้าหมายก็มีเจ็ดแปดคนแล้ว
ในขณะเดียวกับที่สวี่ชิงสำรวจอ่านก็ส่งภารกิจค้นหาค่ายกลสำเร็จ แต่เขาไม่ได้เลือกภารกิจต่อไปในทันที
เขารู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือจะอธิบายว่าจะก่อพลังไฟชีวิตสองดวงอย่างไร
นอกเสียจากว่าในช่วงระยะเวลายาวนานต่อไปนี้จะไม่สำแดงไฟชีวิตสองดวงต่อหน้าลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเด็ดขาด ใช้ไฟเพียงหนึ่งดวงไปสู้ เผยออกมาในเสี้ยวขณะที่เป็นวิกฤตเป็นตายเท่านั้น
ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องปูทางเอาไว้ล่วงหน้า อีกทั้งต่อให้ถึงเสี้ยวพริบตาเป็นตายแล้วค่อยสำแดงออกมาสองดวง สุดท้ายก็ต้องมีเหตุไม่คาดฝันมากมายเกิดขึ้น ยากที่จะไม่เปิดเผยต่อหน้าลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตได้ทุกครั้ง 艾琳小說
และเมื่อเปิดเผย แม้จะสามารถอธิบายว่าดูดกลืนวิญญาณในสงครามได้ ในขณะเดียวกันความเสี่ยงก็ไม่ได้มาก โอกาสที่จะถูกจับตาก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่อาจปกปิดการถูกสืบได้ เป็นความเสี่ยงที่หลบเร้น
และวิธีแก้ไขนั้นง่ายมาก
สวี่ชิงมองป้ายฐานะของตัวเองแวบหนึ่ง บนนั้นแสดงจำนวนสังหารผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับสร้างฐานสิบห้าตน ระดับรวมปราณศูนย์
“น้อยเกินไป” สวี่ชิงส่ายหน้า วีรกรรมสงครามน้อยขนาดนี้ คนนอกแค่มีใจ แต่ตรวจสอบก็มองร่องรอยออกได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นสวี่ชิงจึงหาที่ร้างห่างไกลแห่งหนึ่ง มั่นใจว่ารอบๆ ไม่มีใครแล้วเขาก็ก้มหน้ามองไปที่เงา เอ่ยเสียงราบเรียบ
“ก่อนหน้านี้เจ้าแผ่กลิ่นอายเผ่าสิงซากสมุทรไม่ใช่หรือ ปล่อยมาให้ข้าหน่อย”
เจ้าเงาเหมือนแปลกใจเล็กน้อย ก่อเค้าเป็นเครื่องหมายคำถามใต้เท้าสวี่ชิง
“บอกให้ทำเจ้าก็ทำสิ” บรรพจารย์สำนักวัชระรีบคว้าโอกาส ตำหนิทันควัน
เจ้าเงาน้อยเนื้อต่ำใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็แผ่กลิ่นอายเผ่าสิงซากสมุทรออกมา ทว่าเพิ่งแผ่ออกมาผลึกแก้วสีม่วงในร่างกายสวี่ชิงก็สะกดมา ทำให้กลิ่นอายกลุ่มนั้นสลายไปทันที
จากนั้นสวี่ชิงก็สำรวจป้ายฐานะของตัวเองท่ามกลางความตื่นกลัวและงุนงงของเจ้าเงา พบว่าระดับรวมปราณบนนั้นเปลี่ยนจากศูนย์เป็นหนึ่ง
“เป็นเหมือนที่ข้าวิเคราะห์จริงๆ ด้วย” สวี่ชิงตาวาววาบ ก่อนหน้านี้เขาเห็นเจ้าเงาก่อกลิ่นอายเผ่าสิงซากสมุทร ก็คิดในใจว่าป้ายฐานะจะบันทึกจำนวนสังหารอย่างไร ตอนนี้ผลของการทดลองทำให้เขาพอใจมาก
จะอย่างไรป้ายฐานะก็เป็นเพียงวัตถุ การบันทึกค่อนข้างเรียบง่าย ใช้การแตกสลายของกลิ่นอายและระลอกคลื่นพลังมาวิเคราะห์
โดยปกติแล้ววิธีบันทึกแบบนี้ไม่มีปัญหา อีกทั้งยังตุกติกยาก สำหรับเวลาที่หลายๆ คนลงมือร่วมกันหรือแย่งคุณงามความชอบน่าจะมีวิธีการวิเคราะห์อีกแบบ แม้จะไม่สมบูรณ์พร้อม แต่โดยรวมแล้วก็ใช้ได้
ทว่าเงาของสวี่ชิงแปลกประหลาด…ค่อนข้างแตกต่างออกไป
นี่ก็คือวิธีแก้ที่สวี่ชิงคิดได้ เขาเตรียมรับภารกิจจำนวนมาก ด้านหนึ่งก็เพื่อดูดซับวิญญาณทะลวงเปิดช่องเวทจริงๆ อีกด้านหนึ่งคืออาศัยเจ้าเงาปั่นวีรกรรมสงคราม ไม่ว่าจะเป็นระดับรวมปราณหรือระดับสร้างฐาน ขอเพียงแค่ปั่นคะแนนได้เพียงพอ เช่นนั้นกำลังรบไฟชีวิตสองดวงของตนก็จะมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
โดยเฉพาะในช่วงสงคราม คนที่จับตามองตนมีไม่มาก จำนวนเผ่าสิงซากสมุทรก็มหาศาล ดังนั้นการปั่นวีรกรรมสงครามขอเพียงไม่เกินสมควรมากไป ก็แทบจะไม่มีข้อผิดพลาดอะไร
เรื่องเดียวที่ต้องพิจารณาคือเจ้าเงาจะทนกับการสะกดได้มากน้อยเท่าไร
เรื่องนี้สวี่ชิงแค่คิดเพียงแวบเดียวก็ปัดทิ้ง เขารู้สึกว่าเขาสะกดเจ้าเงาหลายครั้งขนาดนี้มันยังไม่ตาย น่าจะไม่ตายไปง่ายๆ แบบนั้น
ดังนั้นสองเดือนต่อจากนั้นสวี่ชิงก็เริ่มรับภารกิจอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างนั้นส่วนใหญ่แล้วเวลาลงมือก็ใช้พลังไฟชีวิตดวงเดียว มีเพียงตอนที่สู้เพียงลำพังเท่านั้นจึงจะจุดตะเกียงแห่งชีวิตเพียงเสี้ยวพริบตา
แต่เขาก็มีการระมัดระวังป้ายฐานะของตัวเองเช่นกัน เวลาจุดตะเกียงแห่งชีวิตก็จะใช้เจ้าเงาปิดบังป้ายฐานะ
ในขณะเดียวกัน ในทุกภารกิจเขาล้วนปั่นวีรกรรมสงครามจำนวนมหาศาล เจ้าเงาก็ถูกเขาบังคับให้แสดงกลิ่นอายและระลอกคลื่นพลังระดับสร้างฐานกลุ่มหนึ่งออกมา แต่ก็เป็นเพียงแค่กลิ่นอายเท่านั้น ไม่มีกำลังรบ
เหมือนนี่จะเป็นขีดจำกัดสูงสุดพลังในตอนนี้ของเจ้าเงา ทำให้ในวีรกรรมสงครามของสวี่ชิงมีระดับสร้างฐานเพิ่มขึ้น
ส่วนความอเนจอนาถน่าสังเวชของเจ้าเงา บรรพจารย์สำนักวัชระก็สยดสยองนัก ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงกลัวเหลือเกิน
โดยเฉพาะเจ้าเงาทางนั้นก็เหมือนว่าจะแตกสลายแล้วจริงๆ แต่วีรกรรมสงครามที่แท้จริงสองเดือนนี้ของสวี่ชิงก็ไม่น้อยเลย ทำให้เจ้าเงาได้ดูดซับถึงได้ฝืนยินหยัดมาได้ ในขณะเดียวกันภายใต้การฝึกฝนเช่นนี้ของสวี่ชิง กำลังรบที่เจ้าเงาแสดงออกมาก็เหมือนว่าจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน นี่ทำให้สวี่ชิงยิ่งตื่นเต้นยินดี
และช่องเวทของสวี่ชิงก็ทยอยทะลวงเปิดไปจนถึงสี่สิบช่องแล้ว