ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 18 ปรมาจารย์ไป่
บทที่ 18 ปรมาจารย์ไป่
สวี่ชิงแบกหัวหน้าเหลยเดินตรงไป พลางล้วงลูกกลอนขาวจากถุงหนังออกมาแล้วป้อนให้กับเขา ไม่สนใจคนที่กำลังติดตามอยู่ด้านหลัง
บางทีอาจเป็นเพราะผลของลูกกลอนขาวหรือประสิทธิภาพของหญ้าเจ็ดใบ สีหน้าของหัวหน้าเหลยจึงบรรเทาเป็นสีเขียวคล้ำอย่างช้าๆ แล้ว
เพียงแต่ไอพลังประหลาดในร่างกายเขายังเข้มข้นเกินไป ทำให้ในเวลานี้ลูกกลอนขาวของสวี่ชิงยังไม่เพียงพอที่จะยับยั้งมันไว้ได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงยังอยู่ในสภาพสลบไสล
เหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบในการเดินทางไปพื้นที่ต้องห้ามครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อเขามากอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น…กลางดึกนี้ ขณะที่สวี่ชิงพบกับคนเก็บกวาดที่ถูกหมอกลวงตาห้อมล้อมเอาไว้อย่างสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างทาง จึงใช้ลูกกลอนขาวเป็นของแลกเปลี่ยน จากนั้นสวี่ชิงจะอนุญาตให้เดินตามหลัง ฟังเสียงเท้าของตนเพื่อเดินต่อ
แน่นอนว่าในนี้ก็มีคนที่หูตาคับแคบอยู่ด้วย แต่สุดท้ายคนเหล่านี้ก็ส่งเสริมให้พวกโชคดีที่ติดตามอยู่ด้านหลังยิ่งเคารพสวี่ชิงมากขึ้น
คนส่วนใหญ่ล้วนเดาออก ว่าเขาน่าจะเป็นคนที่พลังจิตแข็งแกร่งแต่กำเนิดแน่นอน
เพราะมีเพียงคนแบบนี้เท่านั้น จึงจะสามารถอยู่ในหมอกลวงตาได้โดยไม่รับผลกระทบ
สวี่ชิงก็ได้ยินเรื่องคนกลุ่มนี้จากเขี้ยวหงส์มาก่อนแล้ว และเป็นสิ่งแรกที่คิดไว้ว่าจะใช้ลูกกลอนขาวแลกกับการช่วยเหลือคน ดังนั้นเมื่อมีการบดบังทัศนวิสัยเช่นนี้อยู่ จึงไม่ต้องกังวลว่าความลับตัวตนจะถูกเปิดเผย
และลูกกลอนขาวมากกว่าสิบเม็ดที่รวบรวมมา ทำให้ในที่สุดสีหน้าของหัวหน้าเหลยก็ฟื้นฟูกลับมา สีดำคล้ำก่อนหน้าผ่อนคลายเป็นสีเขียวแล้ว แรงหายใจเองก็มีมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงก็พบว่าพลังที่สะท้อนกลับมาจากเงาตนเองนั้นก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก
เมื่อเขาเดินไปเรื่อยๆ ปราณหมอกที่สัมผัสได้เบื้องหน้าเวลานี้ก็ค่อยๆ ไม่โปร่งใสเหมือนเคย แต่กำลังเปลี่ยนเป็นเลือนราง เหมือนว่าอีกไม่นาน ก็จะกลับไปอย่างที่คนอื่นๆ มองเห็น
โชคดีที่ตรงนี้ห่างจากโลกภายนอกไม่ไกลแล้ว
ดังนั้นแม้สายตาจะเริ่มเลือนราง แต่เพราะสวี่ชิงเพิ่มความเร็ว ขณะที่ความมืดบนท้องฟ้าค่อยๆ หายไป แสงแรกมาเยือน แสงอรุณสาดส่องลงมาบนพื้น เขาที่แบกหัวหน้าเหลยอยู่ ในที่สุดก็มองเห็นโลกภายนอกผ่านร่องกิ่งไม้ใบไม้อยู่ไม่ไกลแล้ว
สวี่ชิงเกิดคลื่นอารมณ์ ร่างกายไหววูบกระโจนไปยังเขตชายแดน ก้าวเท้าเดินออกจากป่า
พริบตาที่ก้าวข้ามเส้นเขตที่หนาวเย็น ลมด้านนอกก็นำเอาแสงตะวันอบอุ่นสาดลงบนร่างของสวี่ชิง
เพราะแสงตะวันจ้าเกินไป ดวงตาของเขาจึงหรี่ลงอย่างอดไม่อยู่ ยืนหายใจเอาอากาศโลกภายนอกเข้าไปลึกๆ ทีหนึ่งอยู่ตรงนั้น
คนติดตามเหล่านั้นด้านหลังของเขา ที่เข้าใกล้ชายแดนในขณะเดียวกัน สายตาก็ทยอยฟื้นฟูกลับมา
แต่ละคนล้วนพุ่งตัวออกไปอย่างตื่นเต้นเนื่องจากรอดตายหวุดหวิด
พริบตาตอนที่เยื้องย่างออกสู่โลกภายนอก พวกเขาล้วนดีใจลิงโลด มีชายชรากระทั่งคุกเข่าลงกับพื้น จูบลงไปบนดินโคลนเลยทีเดียว
และเวลานี้ในที่สุดพวกเขาก็มองหน้าสวี่ชิงชัดเสียที ทั้งยังเห็นหัวหน้าเหลยที่อยู่บนแผ่นหลังของสวี่ชิงด้วย
คนหน้าอาจไม่ใช่ทุกคนที่รู้จัก แต่คนหลังนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก
ดังนั้นตอนที่ภาพของสวี่ชิงกับหัวหน้าเหลยสะท้อนบนดวงตาพวกเขา ตัวสวี่ชิงก็ทยอยๆ ปรากฏขึ้นในภาพความทรงจำ
“เด็กน้อย!”
“หัวหน้าเหลย!”
คนที่เดินติดตามสี่ห้าคนนี้ค่อยๆ รู้สึกสั่นสะท้าน แต่เมื่อสวี่ชิงกวาดสายตามา พวกเขาก็เงียบเสียงลงตามสัญชาตญาณ
การลงมือและความเย็นชาของสวี่ชิงกับคนที่คิดไม่ดีเหล่านั้นก็ทำให้พวกเขาหวาดผวาตลอดการเดินทางอยู่นานแล้วจริงๆ
สวี่ชิงถอนสายตากลับไม่สนใจพวกเขา ร่างกายไหววูบคิดจะพุ่งตรงไปยังฐานที่มั่น แต่ห่างออกไปตอนนั้นเอง ก็มีเงาคนสองคนพุ่งหวีดหวิวเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว
เป็นกางเขนกับเขี้ยวหงส์ พวกเขากลับมาถึงก่อนจนรอต่อในฐานที่มั่นไม่ไหว จึงมารออยู่ที่ด้านนอกอย่างร้อนรน
พวกเขาเองก็หารือกันแล้ว ถ้าหากวันนี้พวกหัวหน้าเหลยยังไม่ออกมาก็จะกลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือ
ดังนั้นหลังจากที่เห็นเงาของสวี่ชิง ทั้งสองคนจึงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
และเมื่อสังเกตเห็นหัวหน้าเหลยที่อยู่บนหลังสวี่ชิง ม่านตาของกางเขนก็หดเล็กลง แต่พริบตาต่อมาก็กลายเป็นความอ่อนโยนขณะที่สายตาตกลงบนตัวของสวี่ชิง
เขี้ยวหงส์เองก็หน้าเปลี่ยนสี จิตสังหารแผ่กระจายกวาดไปทางคนที่ติดตามสวี่ชิงออกมา
คนเหล่านี้ล้วนหายใจถี่รัว ทยอยหวาดระแวง
“ไม่เกี่ยวกับพวกเขา ทั้งยังต้องขอบคุณพวกเขาด้วย ไม่เช่นนั้นเกรงว่าหัวหน้าเหลยคงทนมาจนถึงตอนนี้ไม่ไหว”
สวี่ชิงเอ่ยปาก ทำให้จิตสังหารของเขี้ยวหงส์สลายไป คนที่ติดตามเขาออกมาเหล่านั้นผ่อนลมหายใจ นอกจากความเคารพแล้วยังมีความซาบซึ้งแฝงอยู่ด้วยเมื่อมองไปยังสวี่ชิง ดังนั้นจึงประสานมือให้เขาแล้วต่างฝ่ายต่างแยกย้าย
หลังจากพวกเขาจากไป กางเขนก็คิดจะประคองตัวหัวหน้าเหลยให้ลงมาจากตัวสวี่ชิง แต่ก็ถูกสวี่ชิงห้ามไว้
“ให้หัวหน้าเหลยนอนต่ออีกหน่อยเถิด ข้ายังไหว” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก
“ได้ พวกเรากลับฐานที่มั่นกัน พาหัวหน้าไปหาหมอก่อน” กางเขนพยักหน้า ล้วงเอาลูกกลอนขาวมาป้อนให้หัวหน้าเหลย ส่วนเขี้ยวหงส์ก็คอยประกบซ้ายประกบขวา ทั้งสามคนทะยานตัวกลับไปยังฐานที่มั่น
ระหว่างทางเขี้ยวหงส์คิดจะเอ่ยปากอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็อดถามขึ้นมาประโยคหนึ่งไม่ได้
“ผีเถื่อนล่ะ กลุ่มเงาโลหิตยังไล่โจมตีอยู่หรือไม่”
สวี่ชิงนิ่งงัน ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบเสียงเบา
“ผีเถื่อนต่อสู้จนตัวตาย กลายพันธุ์ไปแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้เท้าของกางเขนกับเขี้ยวหงส์ชะงัก สีหน้านิ่งงัน ต่อให้พวกเขาเตรียมใจมาแล้ว แต่ในดวงตาก็ยังโศกเศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ เขี้ยวหงส์ถึงขั้นมีอาการเหม่อลอยออกมาเลยทีเดียว
จนประโยคต่อมาของสวี่ชิง ก็ทำให้คนทั้งสองสั่นสะเทือนขึ้นฉับพลัน มองไปทางสวี่ชิงอย่างไม่อยากเชื่อ
“กลุ่มเงาโลหิต ตายหมดแล้ว”
สวี่ชิงก้มหน้าต่ำ เอ่ยขึ้นแช่มช้าระหว่างที่เดิน
“เช่นนั้นอาการบาดเจ็บกับไอพลังประหลาดของหัวหน้าถึงได้หนักหนาเช่นนี้หรือ…”
เขี้ยวหงส์งึมงำราวกับมีคำตอบอยู่แล้ว แต่กางเขนที่อยู่ข้างๆ กลับมีสีหน้าประหลาดใจ เขารู้สึกว่าบางทีเรื่องราวไม่น่าจะมีเพียงเท่านี้ จึงจ้องมองลึกซึ้งไปที่สวี่ชิงผาดหนึ่ง ไม่ถามอะไรต่อ
สวี่ชิงไม่ได้อธิบาย และไม่ได้พูดเรื่องเสียงเพลง เรื่องนี้เป็นความลับของหัวหน้าเหลย จะพูดหรือไม่พูด นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรตัดสินใจ
เป็นเช่นนี้ ทั้งสามคนพุ่งทะยานมาตลอดทาง เพียงไม่นานก็มาถึงด้านในฐานที่มั่น สิ่งแรกคือตรงไปยังขบวนรถที่ในช่วงนี้มีหมอชื่อดังประจำการอยู่
การปรากฏตัวของกลุ่มสายอัสนี ทำให้คนที่เข้าแถวอยู่ตรงนั้นทยอยสัมผัสถึงจิตสังหารบนตัวพวกเขาได้ เมื่อมองเห็นหัวหน้าเหลยที่กำลังสลบไสล คนที่อยู่หน้าสุดด้านนอกกระโจมหมอก็หลีกเว้นที่ให้อย่างรวดเร็ว
ทำให้กลุ่มสายอัสนีได้เข้าไปในกระโจมเป็นกลุ่มแรก
กระโจมใหญ่โต อบอวลไปด้วยกลิ่นยา ด้านในนอกจากองครักษ์ที่สวมชุดเกราะเหล็กแล้ว ยังมีคนเก็บกวาดอีกคนกำลังรับการตรวจด้วยสีหน้าซีดเซียว
คนที่ตรวจให้เขาเป็นชายชราร่างผอมคนหนึ่ง เขาสวมชุดคลุมยาวสีเทาธรรมดาแต่สะอาดสะอ้าน มีริ้วรอยบนใบหน้าอยู่ประปราย แต่ดวงตาทั้งสองกลับมีประกายแฝงไว้ด้วยสติปัญญาราวกับดวงดาราก็มิปาน คล้ายกับว่ามองเพียงผาดเดียวก็สามารถอ่านใจคนได้ทะลุปรุโปร่ง
ข้างกายชายชรามีหนึ่งชายหนึ่งหญิงนั่งอยู่ทั้งสองฝั่ง ฝ่ายชายเป็นเด็กหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกับสวี่ชิง สวมเสื้อแพรสีน้ำเงิน บนเส้นผมยังมีปิ่นหยกสีดำอยู่ชิ้นหนึ่ง ที่เอวมีหยกแขวนสลักลวดลายมังกรห้อยไว้ พู่สีทองแผ่พาดอยู่ที่ขอบเบาะนั่งทรงกลม
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเลา เนื้อตัวบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพียงแต่เวลานี้ดูเหมือนยังไม่ตื่นดี มือข้างหนึ่งยันคางไว้ อีกข้างหนึ่งหยิบตำรายา ประเดี๋ยวก็หาวออกมา ราวกับไร้กะจิตกะใจจะอ่านตำรา
อีกด้านหนึ่ง เป็นเด็กสาวอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี สวมกระโปรงยาวสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน ใบหน้าภายใต้ผมยาวราวสายน้ำตกเป็นทรงลูกแตงสมมาตร ผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้างามล้ำเกินสามัญ
ดวงตาคู่งามใสกระจ่างดุจดวงดารา เวลานี้จับจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่แอบงีบหลับ นางยิ้มเล็กน้อย ก้มหน้าอ่านตำรายาในมือต่อ
เพียงแต่ในรอยยิ้มนั้น ดวงตานางก็โค้งงอนราวจันทร์เสี้ยว ราวกับมีคลื่นพลังเอ่อล้นออกมา
และระหว่างที่ขมวดคิ้วและยิ้มนั้น ตัวนางก็มีรัศมีสูงส่งเผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ จนทำให้คนอดทอดถอนใจไม่ได้กับรัศมีสง่างามของนาง
เด็กหนุ่มสาวคู่นี้มีความสง่างามอย่างที่คนเก็บกวาดแทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เขี้ยวหงส์เกิดอาการละอายขึ้นมาเลยทีเดียว กระทั่งกางเขนเองก็ยังเมียงมองอยู่หลายครั้ง
ส่วนสวี่ชิงมองไปยังตำรายาในมือพวกเขา สายตาเผยความอิจฉา แต่ก็ถอนกลับมาอย่างรวดเร็ว เบนไปอยู่บนตัวของหมอที่อยู่ตรงหน้าที่ดึงดูดความสนใจมากกว่า
หมอคนนั้นเวลานี้กำลังเอ่ยกับคนเก็บกวาดที่มาตรวจอาการอยู่สองสามประโยค และเมื่อคนเก็บกวาดคนนั้นจากไปด้วยความตื้นตัน เขาก็ล้างมือทั้งสองในถาดทองเหลืองข้างๆ เงยหน้าขึ้นมองมาทางพวกสวี่ชิง
สายตากวาดมาที่ตัวสวี่ชิงก่อนเหมือนมีนัยลึกซึ้งบางอย่างแฝงอยู่ จากนั้นจึงมองไปยังหัวหน้าเหลยบนหลังเขา เอ่ยขึ้นแช่มช้า
“วางเขาลงเถิด”
สวี่ชิงไม่รู้เพราะอะไร เขาตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อยภายใต้สายตาชายชราผู้นี้ เหมือนกลับไปตอนที่เผชิญหน้ากับครูสอนหนังสือในถ้ำยาจกคนนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงวางตัวหัวหน้าเหลยลงอย่างระมัดระวังด้วยการช่วยเหลือของกางเขน ให้เขานอนราบอยู่ตรงหน้าชายชรา
และหัวหน้าเหลยเวลานี้ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น เมื่อมองเห็นกระโจมก็ตกตะลึง จากนั้นมองไปยังหมอกับพวกสวี่ชิง เมื่อคิดจะลุกขึ้นมา หมอชราก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“นอนดีๆ”
คำพูดนี้ทำให้หัวหน้าเหลยมองไปทางหมอ หลังจากที่สายตาทั้งสองประสานกัน หัวหน้าเหลยก็ยังลุกขึ้นมาเงียบๆ คารวะหมอไปครั้งหนึ่งด้วยการช่วยประคองของกางเขน
“อาการบาดเจ็บเพียงแค่นี้ พวกเขายังพาข้ามาส่งที่นี่ ไม่รบกวนปรมาจารย์ไป่แล้ว ข้าไม่เป็นไร”
“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ” หมอชราสงสัยเล็กน้อย มองไปทางหัวหน้าเหลย
“หลายปีก่อนหน้านี้เคยเห็นท่านปรมาจารย์ไป่คราหนึ่ง” หัวหน้าเหลยพยักหน้า เคารพอย่างมาก
ปรมาจารย์มองหัวหน้าเหลยลึกล้ำ เอ่ยขึ้นช้าๆ
“อาการบาดเจ็บของเจ้าช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไอพลังประหลาดในร่างกายเองก็ถูกสะกดไว้แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ส่วนเรื่องจิตใจที่ถูกล้วงจนกลวงโบ๋ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ช่วงนี้ขึ้นลงมากเกินไป จนไปทำร้ายชีพจรจิตใจเข้า
“สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมเข้าด้วยกัน แม้จะดูยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ก็ยังรักษาได้ ทว่า…สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ
“จุดสำคัญคืออาการบอบช้ำภายในร่างกายเมื่อหลายปีก่อนหน้า เจ้าน่าจะถูกคนทำลายรากฐานไปเมื่อหลายปีก่อน พลังบำเพ็ญตอนนี้ เป็นสิ่งที่ฝึกขึ้นมาใหม่กระมัง สามารถฝึกบำเพ็ญขึ้นมาระดับนี้ได้ทั้งที่รากฐานถูกทำลายไปแล้ว ไม่ง่ายเลยจริงๆ
“เพียงแต่สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมเข้าด้วยกัน เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่ายาปกติรักษาไม่ได้ ข้าเองก็ไม่มีความสามารถ จะจัดยาให้เจ้าเทียบหนึ่งแล้วกัน แต่รักษาได้ผลมากเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับดวงชะตาของเจ้า
“แต่เจ้าจงจำไว้ นับจากนี้ไป ห้ามฝึกบำเพ็ญโคจรลมหายใจอีก มิเช่นนั้นไอพลังประหลาดที่เพิ่มขึ้นจะไปกระตุ้นให้อาการบอบช้ำกำเริบ ซึ่งนั่น…คงได้ตายอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่”
เมื่อปรมาจารย์ไป่เอ่ยปาก กางเขนกับเขี้ยวหงส์ก็เงียบงัน เห็นได้ชัดว่ารับรู้เรื่องที่หัวหน้าเหลยเคยถูกทำลายรากฐานอยู่แล้ว สวี่ชิงไม่รู้เรื่องนี้ มองไปทางหัวหน้าเหลย จู่ๆ ในสมองก็คิดถึงบทเพลงในพื้นที่ต้องห้าม รองเท้าผู้หญิงสีเลือดคู่นั้น
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ” กางเขนเอ่ยถามขึ้นเสียงต่ำ
“มี ถ้าหากสามารถหาวัตถุดิบล้ำค่าแห่งฟ้าดินอย่างดอกลิขิตฟ้าได้ล่ะก็ สามารถต่อชีวิตได้แน่นอน หลายปีก่อนได้ยินว่าเคยปรากฏขึ้นมาช่อหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามใกล้ๆ นี้”
กางเขนนิ่งงัน ในดวงตาเขี้ยวหงส์มีความร้อนรน สวี่ชิงมองไปทางหัวหน้าเหลย สีหน้าหัวหน้าเหลยเมื่อเทียบกับพวกเขากลับผ่อนคลายไม่แยแส ทั้งยังยิ้มเบาๆ
“ไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเสียหน่อย แค่โรคคนแก่เท่านั้น ไม่รบกวนปรมาจารย์ไป่แล้ว” หัวหน้าเหลยพูดพลางคารวะปรมาจารย์ไป่ เรียกให้พวกสวี่ชิงออกไปจากที่นี่
สวี่ชิงทั้งสามคนคารวะปรมาจารย์ไป่ หยิบยาที่อีกฝ่ายมอบให้แล้วจากมา
เพียงแต่สวี่ชิงที่ยังมีบางสิ่งอย่างในใจ ไม่รู้ว่าตนเองคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าขณะที่ตนเองคารวะขอบคุณและจากมา สายตาของปรมาจารย์ไป่ที่มองมามีแววพิจารณาอยู่ด้วย
กลุ่มสายอัสนีล้วนเงียบงันตลอดทาง
หลังจากกลับมาถึงที่พักของหัวหน้าเหลย กางเขนกับเขี้ยวหงส์ก็เหมือนจะพูดอะไร แต่ถูกหัวหน้าเหลยไล่กลับไปก่อน
จนพวกเขาออกไป หัวหน้าเหลยจึงหยิบเอายาสูบบางส่วนออกมาจากห้องนอน และล้วงเอาบ้องสูบยาแท่งหนึ่งออกมาจากถุงหนัง หลังจากยัดยาสูบเข้าไปก็จุดไฟ สูดลึกๆ เข้าไปเต็มปาก
ขณะพ่นควันออกมา เขาก็ถอนหายใจยาว มองไปยังสีหน้ากังวลของสวี่ชิง โบกบ้องยาสูบในมือ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ตอนอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามไม่อยากสูบ พอกลับมาได้สูบเสียหน่อยก็สบายใจเสียจริง เจ้านี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่ายาอะไรทั้งนั้น”
สวี่ชิงพอคิดจะเอ่ยปาก
“วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าจะทำให้เจ้าสักมื้อ…มาดื่มกับข้าหน่อย” หัวหน้าเหลยไม่ปล่อยให้สวี่ชิงพูด คล้ายไม่อยากฟัง สวี่ชิงก็มองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า
“กินงู”