ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 78 การวางเดิมพันของจางซาน
บทที่ 78 การวางเดิมพันของจางซาน
คืนนี้ สำหรับคนของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตหลายๆ คนแล้วเหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปกติสักเท่าไร แต่สำหรับคนส่วนหนึ่งแล้วต่างออกไปเล็กน้อย
มีคนทอดถอนใจบนเรือเวท อิจฉาความไม่ธรรมดาของคนอื่น
มีคนคำรามโกรธแค้น สาบานว่าจะหาตัวสับร่างให้แหลกเป็นหมื่นชิ้น
มีคนนอนเอนกายบนเก้าอี้เอนอย่างสบายอารมณ์ ข้างๆ มีเม็ดผลไม้กองเป็นภูเขา
มีคนอยู่ในโรงเตี๊ยมทุกข์ระทม จิตใจว้าวุ่นเป็นที่สุด
บางครั้งวิเคราะห์ว่าคนคนหนึ่งปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแล้วหรือไม่ ไม่ได้ไปดูที่ความสำเร็จของคนคนนั้นที่นั่น และไม่ได้ไปดูพฤติกรรมของคนคนนั้นเช่นกัน แต่ดูว่าเขาสามารถชักนำอารมณ์ของคนได้มากเท่าไร
คนที่อิจฉาความไม่ธรรมดาของคนอื่นคือลูกศิษย์ท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า คนที่คำรามโกรธแค้นคือผู้บำเพ็ญเผ่าเงือก คนที่เม็ดผลไม้กองเป็นภูเขาข้างๆ คือนายกองหก คนที่ในใจว้าวุ่นคือบรรพจารย์สำนักวัชระ
แต่จะอย่างไร ยามเมื่อแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณสาดทอมา ความคิดเมื่อตอนกลางคืนก็ค่อยๆ เร้นหลบไปตามดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้นมา เหมือนผู้คนในคำกลอนคำกวีหลังจากที่ไม่หลับไม่นอนออกเที่ยวคึกคักทั้งคืน กับนอกบทกลอนกวีที่ออกไปจากฉากอย่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
ดังนั้น ยามแสงรุ่งอรุณสาดเข้ามาในเรือที่แตกร้าวส่องกระทบเปลือกตาของสวี่ชิงและเคาะเบาๆ เขาจึงลืมตาขึ้นมา ปรับอารมณ์ใต้เปลือกตากับความสว่างของโลกภายนอก
ดวงตาที่ปรากฏขึ้นในแสงอาทิตย์สะท้อนประกายวาวแววเหมือนอาทิตย์รุ่งอรุณข้างนอก มาพร้อมด้วยความคาดหวังต่ออนาคต
“ไม่รู้ว่าในทะเลเช้าตรู่จะมีชีวิตชีวามากกว่าเล็กน้อยหรือไม่” สวี่ชิงพึมพำเสียงเบา ในส่วนลึกของดวงตาแฝงไว้ด้วยความปรารถนา ลุกขึ้นยืน
วันนี้เรื่องที่เขาต้องทำมีมากมายเหลือเกิน
ก่อนอื่น เขาจะไปกรมปราบพิฆาตสักหน่อย ขอลาพักยาวเพื่อแผนการออกทะเลถัดจากนี้ ขั้นตอนนี้ที่กรมปราบพิฆาตไม่ซับซ้อน หลายครั้งลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดไม่ได้อยู่ที่ท่าเรือ ในเมื่อฝึกฝนด้วยทะเล ย่อมขาดการออกเดินทางสู่ทะเลไปไม่ได้
ดังนั้น หลังจากที่มารายงานที่กรมปราบพิฆาต สวี่ชิงทำขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ได้วันลาพักสี่สิบวัน หากกลับมาก่อนกำหนดสามารถยกเลิกวันลาได้ แต่หากเวลาเลยกำหนดต้องทำการชดเชยหลังจากนั้น
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จก็ยังเช้าอยู่ แต่ฝีเท้าของสวี่ชิงไม่ช้าลงเลย เขาไปร้านของยอดเขาที่หก แม้จะผ่านเรื่องเมื่อก่อนหน้านี้มาน่าจะไม่เกิดเรื่องอย่างในวันนั้นแล้ว แต่สวี่ชิงก็ต้องทำการป้องกันเหมือนเดิม ดังนั้นจึงครุ่นคิดอย่างหนักในการเลือกร้าน
แต่สุดท้ายสวี่ชิงก็ยังคงลังเลเล็กน้อย มองร้านร้านหนึ่ง กำลังลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ เสียงของนายกองก็ดังมาจากป้ายฐานะของเขา
“สวี่ชิง ช่วงนี้เจ้าลืมเรื่องอะไรไปหรือไม่”
สวี่ชิงอึ้งตะลึง เริ่มขบคิด
“ช่างเถอะ ข้าพูดเลยก็แล้วกัน สวี่ชิง เจ้าติดข้าห้าร้อยหินวิญญาณเมื่อไรจึงจะคืน!”
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง ตอบกลับไป
“หนึ่งร้อยหินวิญญาณ!”
“ก็ได้ๆ ข้าก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเจ้ามากมายแล้ว สามร้อยก็สามร้อย เจ้าจะให้ข้าเมื่อไร”
สวี่ชิงเงียบ หยิบแผ่นไม้ไผ่ที่สลักชื่อศัตรูเอาไว้ แล้วขีดฆ่าเครื่องหมายคำถามข้างหลังตัวอักษรที่เขียนว่านายกองสองตัวนั้น
“ทำไมไม่พูดอะไรแล้วเล่า ข้าเห็นเจ้ายื่นเนื่องขอลาพักที่หน่วย จะออกทะเลหนีหนี้ใช่หรือไม่ ช่างเถอะๆ ออกทะเลอันตรายมาก ต้องใช้เรือเวทที่คุณสมบัติสูงมาก เพื่อไม่ให้เจ้าตายข้างนอก ทำให้ห้าร้อยหินวิญญาณของข้าจมทะเล ข้าจะชี้แนะเจ้าสักหน่อย หากจะหลอมเรือเวทไปหาจางซาน!”
“จางซานหรือ” สวี่ชิงสงสัยนิดๆ
พูดถึงจางซาน นายกองเหมือนจะสนุกยิ่งขึ้น ชี้แนะมาในแผ่นหยกสื่อเสียง เมื่อบอกสวี่ชิงว่าต้องทำหน้าอย่างไร พูดจาอย่างไร ก็จบสิ้นการถ่ายทอดเสียง
สวี่ชิงยืนอยู่ที่เดิม นิ่งเงียบอยู่นาน สุดท้ายก็มาพร้อมด้วยความแปลกประหลาดและแปลกใจเล็กน้อย หาจางซานแห่งกรมขนส่งเจอ
ตอนที่มาถึงกรมขนส่ง จางซานย่อตัวนั่งอยู่บนกองสินค้า สูบบ้องยาสูบ สีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์เหมือนคนแก่ เสพสุขกับยาสูบและแสงแดด ประเดี๋ยวๆ ก็ตะโกนขึ้นมาสักหน่อย สั่งงานให้คนงานของกรมขนส่งทำงาน
หลังจากที่เห็นเงาของสวี่ชิง เปลือกตาของจางซานก็หลุบลงเล็กน้อย เมื่อประเมินอย่างละเอียดแล้วดวงตาก็วาววาบ
“โอ๊ะ ศิษย์น้องสวี่ วันนี้ทำไมมีเวลามาหาข้าที่นี่ได้เล่า”
สวี่ชิงเดินเข้าไปใกล้ มองจางซานที่นั่งยองบนกองสินค้า ร่างแค่กระโดดก็มาอยู่บนกองสินค้าด้วย แต่ครั้งนี้ไม่รอให้เขารักษาระยะห่าง จางซานก็ขยับออกไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงปรายตามองจางซานแวบหนึ่ง แล้วนั่งย่อตัวลงมา
จางซานยิ้มตาหยีพลางมองสวี่ชิงที่อยู่ใต้แสงแดด โดยเฉพาะใบหน้าด้านข้างที่มากพอจะให้เพศตรงข้ามหลงใหล ก็อดพึมพำในใจขึ้นมาไม่ได้ แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกมาแม้แต่น้อย
“นั่งยองๆ สบายดีใช่ไหมล่ะ”
“อืม” สวี่ชิงพยักหน้า
“มีธุระอะไรเล่า”
“ศิษย์พี่จาง ข้าอยากหลอมยกระดับเรือเวท”
“หลอมเรือเวทหรือ ใครบอกเจ้าให้มาหาข้า นายกองของเจ้าหรือ” จางซานอึ้ง
สวี่ชิงไม่พูดอะไร หยิบผลผิงกั่วออกมาสองลูก ให้จางซานลูกหนึ่ง
จางซานรับผิงกั่วมาตามสัญชาตญาณ หลังจากที่รับมาจู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจภายหลัง อยากจะคืนกลับไปแต่สวี่ชิงไม่รับคืน
จางซานยิ้มขื่น ในดวงตาค่อยๆ ฉายแววครุ่นคิด หลังจากโยนผิงกั่วในมือเล่น เขาก็มองสวี่ชิงอีกครั้ง
สวี่ชิงก็เอียงหน้ามองเขาเช่นกัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จางซานก็พลันหัวเราะออกมา
“เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง ข้าจะช่วยเจ้าหลอมเรือ”
“เชิญศิษย์พี่จางพูดมาได้เลย” สวี่ชิงสังเกตคำที่อีกฝ่ายใช้ เหมือนไม่ใช่หาคนอื่นช่วยเขาหลอม แต่อีกฝ่ายจะลงมือเอง
“วันข้างหน้าเวลาเจ้ามองข้าอย่าจ้องคอข้าได้หรือไม่ อากาศร้อนๆ แบบนี้…ข้ากลัวจะหนาว” จางซานกะพริบตาปริบๆ ให้สวี่ชิง
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เบนสายตามามองตาของจางซานแทน
จางซานตบศีรษะตัวเอง ถอนหายใจออกมา
“สายตาของเจ้ามักจะทำให้ข้ารู้สึกแปลกๆ อยู่ตลอด เหมือนว่าถูกเจ้ามองตรงที่ใด ตรงนั้นก็จะได้รับบาดเจ็บ ช่างเถอะๆ เจ้าเปลี่ยนสายตาก็ยากนัก ข้าช่วยเจ้าหลอม แค่ว่าข้าบอกไว้ก่อนนะ เรือเวทที่ข้าหลอมแพงนา…” พูดแล้วจางซานก็กระโดดลงจากกองสินค้า กวักมือไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงลุกขึ้นยืนประสานหมัดโค้งคารวะเดินตามไป ไม่นานทั้งสองก็มาถึงข้างหลังของกรมขนส่ง ที่นั่นมีคลังสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ยามผลักเปิดประตูคลัง แสงประกายที่เกิดจากวัตถุดิบหลอมอาวุธนับไม่ถ้วนก็สาดแสงเจิดจ้าพร่างพราวออกมา
สวี่ชิงมองอย่างอึ้งตะลึง สังเกตเห็นประเภทและคุณสมบัติของวัตถุดิบข้างในพวกนั้นล้วนไม่ธรรมดา โดยเฉพาะเรือเวทเจ็ดแปดลำที่ถูกแยกส่วนเป็นชิ้นๆ กระทั่งว่าที่ไกลๆ ยังมีเรือรบของกรมคุ้มกันสมุทรที่กำลังประกอบอยู่ลำหนึ่ง…
ยิ่งมีเรือที่มาจากต่างเผ่าอื่นๆ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายอยู่รอบๆ ทุกอย่างนี้ทำให้เขาอดสูดลมหายใจไม่ได้ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไปอยู่ที่ร้านของลูกศิษย์ยอดเขาที่หก
ดังนั้นแล้วจึงมองจางซานที่ได้ใจอยู่ข้างๆ อย่างอดไม่ได้
“เป็นอย่างไร ข้าจะบอกให้นะ ในบรรดาลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ด เรื่องต่อยตีข้าไม่เก่ง พลังบำเพ็ญก็ธรรมดาๆ แต่พูดถึงเรื่องหลอมเรือ หึๆ ในบรรดาลูกศิษย์ยอดเขาที่หกก็มีไม่กี่คนหรอกที่เชี่ยวชาญกว่าข้า ในคลังสินค้าสิบกว่าแห่งรอบๆ นี้ล้วนเป็นผลงานของข้า” จางซานมือไพล่หลัง เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“อีกทั้งยังไม่มีใครกล้ามาแย่ง!”
“ศิษย์พี่จางเป็นลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดจริงหรือ” สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย นึกถึงคำพูดของนายกอง ดังนั้นแล้วจึงพยายามเบิกตาให้โต ทำท่าเหมือนตกใจเหลือเกินก่อนจะถามออกไป
“นายกองของเจ้าตอนนั้นก็ถามแบบนี้เหมือนกัน ฮ่าๆๆ น่าเสียดายข้าพบพรสวรรค์นี้ช้าเกินไป ไม่อย่างนั้นตอนนี้ข้าก็คือลูกศิษย์หลักของยอดเขาที่หกไปแล้ว” จางซานมีความสุขที่ได้เห็นสีหน้าของสวี่ชิงมากๆ ในใจปลอดโปร่งโล่งสบายนัก
“เอาเรือเวทของเจ้ามาให้ข้าดูเถอะ”
ในดวงตาของสวี่ชิงฉายแววเคารพออกมา หยิบขวดเรือเวทของตัวเองแล้วยื่นให้ จางซานรับมากวาดตาดู คิ้วขมวดเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร กำลังจะหยิบไปหลอม สวี่ชิงก็ลังเลเล็กน้อย แต่นึกถึงคำพูดที่นายกองสอนมาได้ ดังนั้นแล้วจึงพูดขึ้น
“ศิษย์พี่จางซาน ข้ารู้สึกว่าเรือเวทของข้าลำนี้หลอมได้ไม่เลวเลย ข้างในหลายๆ จุดก็ถึงระดับที่สูงมากแล้ว”
“ไม่เลว ระดับสูงอย่างนั้นหรือ” ฝีเท้าของจางซานหยุดชะงัก คิ้วเลิกขึ้นทันที เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
“นี่มันบ้าบออะไรกัน วัตถุดิบก็ช่างเถอะ ฝีมือห่วยแตกสุดๆ แล้วค่ายกลสองข้างของตัวเรือยังมีรอยรั่วอีก
“เกล็ดปลาเกล็ดนี้ก็ติดไม่ถูก ทำลายโครงสร้างของเรือเวท นี่จะต้องส่งผลกระทบต่อค่ายกลรวมพลังวิญญาณอย่างแน่นอน แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นลูกศิษย์สุดห่วยของยอดเขาที่หกพวกนั้นหลอม
“แล้วยังมีหัวเรือท้ายเรืออีก นี่คือเรือระดับหกนะ ไม่ใช่ระดับหนึ่ง เรื่องสำคัญไม่ใช่รูปร่างแต่เป็นคุณสมบัติข้างใน…ทำให้หรูหราสะดุดตาไปทำไม ดึงดูดศัตรูหรือไง!
“ใช้ได้จริงถึงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดต่างหากเล่า
“ห่วย หลอมออกมาได้ห่วยแตกมาก เรือเวทของเจ้าลำนี้ไม่ออกทะเลก็ไหว แต่หากออกทะเลไปเจอกับพายุหรืออสูรทะเลขนาดใหญ่ ภายใต้แรงจากภายนอกไม่มีความแข็งแกร่ง ความทนทาน ความเสถียรและความน่าไว้ใจที่มากพอเลย สามารถกันน้ำได้ในระดับหนึ่งก็นับว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว”
จางซานมองขวดเรือเวท วิพากษ์วิจารณ์ยกหนึ่ง
สวี่ชิงเมื่อได้ฟังใจก็ใจสั่นสะท้าน รู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นมืออาชีพเหลือเกิน ดังนั้นจึงยิ่งนับถือขึ้นไปอีก ประสานหมัดโค้งคารวะจางซาน
เห็นสวี่ชิงทำเช่นนี้ ในใจของจางซานก็ได้ใจนัก เขาชอบมองสหายร่วมสำนักที่ปกติแล้วได้รับความเคารพยำเกรงจากคนอื่นมาแสดงความนับถือต่อหน้าความเป็นมืออาชีพของตัวเองมาก ตอนนั้นนายกองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน แม้หลังจากนั้นจะทำให้ตัวเองเสียหินวิญญาณไปเยอะมากก็ตาม…
แต่เดิมทีครั้งนี้เขาก็ไม่คิดจะไปวิพากษ์วิจารณ์ แค่คิดจะหลอมง่ายๆ สักหน่อยเท่านั้น แต่ประโยคที่บอกว่าไม่เลวเลยของสวี่ชิงประโยคนั้น ทำให้เขาอดไม่ได้
ทว่าจางซานก็ไม่ได้มีประสงค์ร้าย สิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนถูกต้อง สำหรับลูกศิษย์ทั่วๆ ไปเรือเวทเช่นนี้ออกทะเลไปนั้นไม่เป็นปัญหา แต่กำลังรบของสวี่ชิงชี้ชัดว่าเขาจะต้องออกไปท้าทายกับอสูรทะเลที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ไปเขตพื้นที่ที่อันตรายยิ่งกว่า เช่นนี้แล้ว เรือเวทเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะ
“ดูทิศทางของเจ้าน่าจะเป็นทำให้แข็งแกร่ง ข้าช่วยเจ้าหลอมก็แล้วกัน รับประกันว่าเรือเวทของเจ้าเมื่ออยู่ในทะเล ต่อให้เจออสูรยักษ์โจมตี ขอเพียงแค่อสูรตัวนั้นไม่ถึงระดับสร้างฐาน เรือเวทของเจ้าสามารถต้านทานได้หลายครั้ง ต่อให้แตกร้าวก็ยากที่จะแยกเป็นชิ้นๆ!” จางซานโบกมืออย่างได้ใจ เอ่ยอย่างหยิ่งทะนง
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็หยิบหินวิญญาณจากกระเป๋าเสื้อออกมา
“ที่ข้ามีอยู่สองร้อยหินวิญญาณ แล้วยังมีอีกส่วนที่ต้องเก็บเอาไว้ออกทะเล ไม่ทราบว่า…” สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย รู้สึกว่าหินวิญญาณของตัวเองน่าจะไม่พอ
จางซานกวาดสายตาแล้วมองสวี่ชิง ในหัวมีคำพูดที่นายกองหกเคยพูดไว้ และเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังในร้านยอดเขาที่หก แล้วนึกถึงเสียงวาฬบรรพกาลเมื่อวานอีกทั้งระลอกคลื่นพลังวิญญาณของอีกฝ่ายที่สัมผัสได้ สุดท้ายนึกถึงการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสะใจและความโล่งใจที่ได้รับเมื่อครู่นี้ ดังนั้นแล้วจึงอดทนต่อความเจ็บปวดใจแกล้งทำเป็นสบายๆ
“พอแล้วล่ะ วันข้างหน้าไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะมีอนาคตไกลก็ได้ นายกองของพวกเจ้าตอนนั้นข้าก็เคยลงทุนมาก่อนเหมือนกัน ส่วนเจ้านี่…ข้าก็ถือว่าลงทุนเหมือนกัน มารับตอนกลางคืนแล้วกันนะ” จางซานพูดแล้วก็เริ่มยุ่งขึ้นมา
สวี่ชิงเงยหน้ามองจางซานด้วยสายตาล้ำลึก เอ่ยขอบคุณอย่างเป็นพิธีการ ประสานหมัดโค้งคารวะสุดตัวแล้วจึงจากไป
จวบจนสวี่ชิงเดินจากไปไกล จางซานถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา พึมพำด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม
“ขาดทุนแล้ว ทุกครั้งที่เห็นพวกฝึกบำเพ็ญเร็วพวกนี้ ทำไมข้าถึงแก้นิสัยเสียโอ้อวดทักษะไม่ได้เสียทีนะ เดิมแค่หลอมไปง่ายๆ ก็ได้แล้ว ตอนนี้…จะอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองพูด”
“เอ๋ ไม่ถูกนี่ ท่าทางของเจ้าเด็กนี่ทำไมถึงได้คล้ายกับนายกองของเขาอยู่นิดๆ นะ…แต่ว่านายกองของเขาจิตใจคับแคบ ตอนนั้นหินวิญญาณแม้แต่ก้อนเดียวก็ไม่ให้ ขี้เหนียวขี้ตืด เจ้าเด็กนี่มีมโนธรรมกว่านายกองของเขาเยอะ”
แต่สุดท้ายแล้ว เขารู้ว่าตัวเองทำแบบนี้หนึ่งเพราะนายกองแนะนำมา สองคือ…เขาเชื่อในสายตาของนายกอง
“การลงทุนครั้งนี้ไม่น่าจะขาดทุน!”
หลายปีมานี้เขาเปลี่ยนจากเงียบๆ ไร้ตัวตนจริงๆ มาเป็นจงใจเงียบๆ ไร้ตัวตนในวันนี้ อีกทั้งยังมีทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนี้ ควบคุมกรมขนส่ง ทั้งยังไม่มีใครมาแย่ง เหตุผลทั้งหมดก็เพราะตอนนั้นเขาหลอมเรือเวทให้นายกองลำหนึ่ง
และหลังจากสวี่ชิงที่ในตอนนี้ไปจากกรมขนส่งแล้ว สีหน้าก็แปลกพิลึก หยิบแผ่นหยกสื่อเสียงออกมา หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยก็ถ่ายทอดเสียงหานายกอง
“นายกอง แบบนี้จะดีหรือ”
“เจ้าพูดตามที่ข้าสอนแล้วใช่หรือไม่”
“พูดแล้ว…”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ได้แล้ว ไม่เป็นไร จางซานเป็นพรรคพวกเราเอง เจ้านี่เป็นเศรษฐี ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเอาเปรียบ วันข้างหน้าช่วยเขาให้มากหน่อยก็ได้แล้ว”
สวี่ชิงพยักหน้าอย่างจริงจัง หยิบเอาแผ่นไม้ไผ่ออกมา เขียนชื่อของจางซานลงไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็พลิกด้านที่สลักชื่อศัตรูเอาไว้ แล้วสลักเครื่องหมายคำถามเพิ่มไปที่ข้างหลังนายกองอีกครั้ง
ที่กรมปราบพิฆาตตอนนี้ นายกองหกกำลังยิ้มตาหยีกินผลไม้แปลกประหลาดที่ในเมืองหลักหาซื้อไม่ได้ มีเพียงบนเกาะต่างเผ่าในทะเลเท่านั้นถึงจะปลูกได้
กินเสร็จเขาก็วางแผ่นหยกสื่อเสียงลง หยิบเอกสารร้องเรียนจางซานชุดหนึ่งที่อยู่ข้างกายขึ้นมา บนนั้นกล่าวว่าในช่วงที่จางซานปฏิบัติภารกิจข้างนอกโหดเหี้ยมอำมหิต สังหารมากเกินสมควร ปล้นชิงเรือสินค้าของต่างเผ่า ในเอกสารต่อต้านเขาอย่างรุนแรง ขอให้ลงโทษอย่างหนัก
อ่านเอกสารแวบหนึ่ง นายกองก็หัวเราะเยาะ เพียงสะบัดมือเอกสารก็ลุกไหม้กลายเป็นขี้เถ้า
“สหายของข้า ที่ล่างเขานี้ขอเพียงแค่ไม่ทรยศข้า ใครก็แตะไม่ได้”