ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 10 คดีฆาตกรรม
ท้องฟ้ายามราตรีเปรียบเสมือนผืนน้ำที่ประดับประดาด้วยดวงดาว
หอดูดาวเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมืองจิงจ้าวแห่งต้าฟ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักโหราจารย์
หญิงสาวในชุดสีเหลืองค่อยๆ ก้าวขึ้นไปอย่างแผ่วเบา เมื่อผ่านชั้นเจ็ดไปนางได้ยินเสียงกึกก้องดังมาจากห้องเล่นแร่แปรธาตุ
กลุ่มนักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวกำลังโต้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง “เพราะเหตุใดยังพลาดอีก ทั้งที่เป็นขั้นตอนง่ายๆ”
“อย่างที่ข้ากล่าว ปริมาณเกลือที่เจ้าใส่ลงไปมันผิดพลาด”
“ไม่ใช่ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นน้ำ”
“หรือจะเป็นไฟ ทว่าเมื่อครู่นี้ข้าเห็นศิษย์พี่ว่านเผาเกลือลงไป”
“ยากยิ่งนัก การเล่นแร่แปรธาตุเปลี่ยนเกลือให้กลายเป็นเงินยากเกินไป ข้าทำไม่ได้”
หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองนามไฉ่เวยบ่นพึมพำ “คนพวกนี้ยังพยายามหลอมเงินปลอมอยู่สินะ”
สองวันก่อนนางนำเรื่องราวของการเปลี่ยนเกลือให้กลายเป็นเงินไปเล่าให้เหล่าศิษย์พี่ที่สำนักโหราจารย์ฟัง ทว่าพวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูดสักเท่าไร
‘เกลือน่ะเหรอจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ แม้แต่เด็กสามขวบยังไม่เชื่อเลย’
เมื่อไม่นานมานี้คดีเงินภาษีได้ถูกคลี่คลายและฝ่าบาททรงรู้สึกว่าเงินปลอมนั้นทรงพลังและน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง จึงทรงมีรับสั่งให้สำนักโหราศาสตร์ดูแลจัดการด้านการหลอมเงินปลอม
เป็นผลทำให้เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุของสำนักโหราศาสตร์ทำงานอย่างหนัก อุทิศตนทำงานหามรุ่งหามค่ำตามพร 996[1] เพื่อสนองพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ
จากสองวันก่อนจวบจนบัดนี้ พวกเขายังคงล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไฉ่เวย ศิษย์น้องไฉ่เวย” มีคนตะโกนเรียกนางด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ
ใบหน้าซีดเผือดหันกลับมาพร้อมกับปรากฏดวงตาเปล่งประกายขึ้นในทันใด
“ศิษย์น้องไฉ่เวย เงินปลอมเหล่านี้ทำขึ้นมาได้อย่างไร”
“ศิษย์น้องไฉ่เวย เจ้ามากับข้าสักประเดี๋ยว ช่วยข้าดูทีว่ามีข้อผิดพลาดตรงขั้นตอนไหน มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหลอมเงินปลอมได้สำเร็จ”
เขาพูดหว่านล้อมหญิงสาวในชุดกระโปรงเหลือง
ไฉ่เวยจึงต้องเข้าไปยังห้องเล่นแร่แปรธาตุเพื่อดูกระบวนการหลอมเงินปลอมของเหล่าศิษย์พี่
“ล้มเหลวอีกจนได้” นักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวที่ทำงานอยู่ในห้องคร่ำครวญ
“ศิษย์น้องไฉ่เวย เจ้าว่ามันผิดพลาดตรงไหนหรือ” เหล่าคนชุดขาวแสดงท่าทีขอคำปรึกษาอย่างนอบน้อมถ่อมตน
‘ไม่มีข้อผิดพลาดอันใด ในตอนแรกข้าก็ใช้วิธีหลอมแบบเดียวกัน…’
ฉู่ไฉ่เวยครุ่นคิดแล้วจึงตอบ “นี่คือการเล่นแร่แปรธาตุที่สืบทอดมาแต่โบราณ ทั้งลึกซึ้งและคลุมเครือ มิใช่ว่าอยากเรียนก็จะเรียนได้ ต้องเรียนรู้อย่างลึกซึ้งจึงจะหยั่งรากลึก ข้าจะสอนสูตรให้เจ้าบทหนึ่ง จงจำให้ขึ้นใจ”
เหล่าศิษย์พี่มีท่าทีตั้งใจฟัง
“ไฮโดรเจน ฮีเลียม ลิเทียม เบริลเลียม โบรอน คาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน ฟลูออรีน นีออน โซเดียม แมกนีเซียม อะลูมิเนียม ซิลิคอน และฟอสฟอรัส”
ฉู่ไฉ่เวยดึงพลังลมปราณไปที่จุดตันเถียน[2] นางกล่าวสูตรที่น่าอัศจรรย์นี้ออกมาทีละคำ
“สูตรนี้ประนีประนอมแล้วหรือ” เหล่าศิษย์พี่ไม่เข้าใจแต่รู้สึกว่าสุดยอด[3] สิ่งที่นางพูดพวกเขาฟังออกทุกคำ ทว่ากลับรู้สึกสับสนเมื่อเอามารวมกัน
‘ข้าก็ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้คืออะไร…’ ฉู่ไฉ่เวยแสร้งยิ้มอย่างมีเงื่อนงำโดยไม่เอ่ยคำใด
“ปัญญาล้ำเลิศๆ ผู้ที่เขียนสูตรเล่นแร่แปรธาตุนี้ขึ้นมาต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเป็นแน่แท้” ศิษย์พี่ชุดขาวท่านหนึ่งถอนหายใจ
‘ปัญญาล้ำเลิศที่ไหนกัน ศิษย์พี่อย่าพูดเพ้อเจ้อ!’ รอยยิ้มของฉู่ไฉ่เวยยังคงไม่เปลี่ยน
“ศิษย์น้องไฉ่เวย ผู้ใดบอกสูตรนี้แก่เจ้า หรือศิษย์น้องได้พบกับปรมาจารย์ด้านการเล่นแร่แปรธาตุ จึงขอคำแนะนำจากท่านใช่หรือไม่”
ฉู่ไฉ่เวยกล่าวในใจ ‘ถามได้ดี’ นางจะได้ปัดความรับผิดชอบออกไป
“เขาผู้นั้นมีนามว่าสวี่ชีอัน เป็นหลานชายของสวี่ผิงจื้อที่เป็นขุนนางชุดเขียวระดับเจ็ดของกองดาบหลวง พวกเจ้าแค่ตามหาเขาก็พอ”
เมื่อได้ยินว่าเขาเป็นทหาร เหล่าคนชุดขาวเริ่มไม่พอใจ
“น่าขันสิ้นดี สำนักโหราจารย์อันมีเกียรติและมากด้วยพรสวรรค์ แค่เรื่องหลอมเงินปลอมยังต้องไปถามคนนอกเช่นนั้นหรือ”
“ทั้งยังเป็นทหารอีก”
“หากแพร่งพรายออกไปคงเป็นเรื่องน่าขัน”
‘เนื่องจากระบบการปฏิบัติที่แตกต่างกันจึงเกิดเป็นวงจรการดูถูกเหยียดหยามที่น่าสนใจยิ่ง
ลัทธิเต๋าดูหมิ่นศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธก็ประณามการดูหมิ่นนั้น
โหรดูหมิ่นพ่อมด พ่อมดดูหมิ่นหมอผี และหมอผีก็ดูหมิ่นพวกโหรเช่นเดียวกัน
ต่อมาทั้งลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธ โหร พ่อมดและหมอผีต่างร่วมกันดูหมิ่นทหาร
สำหรับลัทธิขงจื๊อนั้นข้าต้องขออภัย ด้วยความเคารพพวกเจ้าทุกคนมันเศษสวะ’ ทว่าลัทธิขงจื๊อในยุคสมัยใหม่กลับอ่อนแอลง
“มาเถิดศิษย์น้องไฉ่เวย โปรดชี้แนะพวกข้าด้วยเถิด”
ไฉ่เวยส่งเสียง ‘อืม’ “คราหน้าข้าจะชี้แนะพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
นางเดินฝ่ากลุ่มศิษย์พี่ชุดขาวออกไป จากนั้นจึงก้าวขึ้นบันไดต่อไป
ความจริงแล้วนางก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
คราวก่อนที่หน่วยงานราชการสามารถหลอมเงินปลอมได้สำเร็จเพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นไฉ่เวยได้ทำการทดลองขึ้นอีกครั้งตามลำพัง ทว่ากลับล้มเหลว
กระบวนการก่อนหน้านี้ถูกทำซ้ำอย่างสมบูรณ์แต่มันล้มเหลว นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
หลังคาของหอดูดาวไม่ใช่ชายคารูปแบบธรรมดา แต่เป็นฐานทรงแปดเหลี่ยมที่มีความหมายตรงกับสัญลักษณ์ปากั้ว[4] หรือแปดทิศ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าแท่นแปดทิศ
ตรงขอบของแท่นแปดทิศปรากฏร่างชายชราในชุดขาวเอนกายอยู่หน้าโต๊ะ มือข้างหนึ่งถือจอกสุรา มืออีกข้างหนึ่งใช้พิงศีรษะ ท่าทางมึนๆ มองลงไปยังเมืองหลวงเบื้องล่าง
หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองฉลาดพอที่จะไม่รบกวนเขา ‘ท่านอาจารย์ไม่ทำงานในวันธรรมดา เขาชอบนั่งดื่มสุราอยู่บนแท่นแปดทิศพลางชมวิวทิวทัศน์ และไม่ชอบให้ใครมารบกวน’
มือคว้าจอกเหล้าหรี่ตาและกล่าวว่าเขามองดูมนุษย์อย่างจดจ่อ
“ไฉ่เวยมาแล้วหรือ” ชายชราชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอาจารย์” หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองยิ้มแย้ม นางวิ่งเหยาะๆ ไปยืนตรงขอบแท่นแปดทิศ กระโปรงของนางพลิ้วไหวไปกับสายลม
“จักรพรรดิเฒ่าทรงประทานสิ่งใดเป็นของตอบแทน”
“เงินไม่กี่ร้อยตำลึงกับผ้าไหมไม่กี่ผืนเจ้าค่ะ” หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองกล่าว “ท่านอาจารย์ แท้จริงแล้วเงินปลอมคือสิ่งใดกันแน่”
“อาจารย์ไม่รู้”
“บนโลกใบนี้ยังมีอะไรที่ท่านอาจารย์ไม่รู้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“มากมายนักๆ” ชายชราชุดขาวหัวเราะฮ่าๆ และกล่าวว่า “อาจารย์ไม่รู้ว่าพวกโจรเมื่อสิบเก้าปีก่อนไปอยู่ที่ใด”
“ท่านมักพูดเสมอว่าหัวขโมยเมื่อสิบเก้าปีก่อนเป็นที่เกลียดชัง ทว่าท่านไม่บอกว่าพวกเขาเป็นใครและขโมยสิ่งใดไป”
ชายชราชุดขาวลุกขึ้นยืนบนแท่นแปดทิศและถอนหายใจ “ขโมยสิ่งที่อัศจรรย์ยิ่ง”
“ถ้าเช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนหลอมเงินปลอมขึ้นมา”
สำนักโหราจารย์เป็นต้นกำเนิดของระบบโหร นักเล่นแร่แปรธาตุทั่วใต้หล้าต่างก็มีความเกี่ยวพันกับสำนักโหราจารย์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มาจากสำนักโหราจารย์ก็ตาม
เบื้องหลังคดีเงินภาษีมีนักเล่นแร่แปรธาตุเข้ามาเกี่ยวข้อง และคนผู้นั้นได้พัฒนาสิ่งแปลกประหลาดนี้ขึ้นมา จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา
“อาจารย์ทราบเรื่องนี้ดีเป็นแน่แท้”
…
ณ บ้านหลังใหญ่กลางลานเล็ก
สวี่ชีอันกำลังนอนอยู่บนเตียง แสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง เขาจ้องเขม็งไปยังคานที่ตัดกันอย่างว่างเปล่า
เขากังวลเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง รู้สึกปริวิตกนิดๆ ตื่นเต้นหน่อยๆ
ในฐานะที่เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ผลิตโดยการศึกษาภาคบังคับเก้าปี ความรู้ในสมองที่มีทั้งหมดล้วนสูญสิ้น
เป็นเรื่องง่ายที่จะโดดเด่นในสังคมระบอบราชาธิปไตยอันล้าหลังและกลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามที่สุด
ถึงกระนั้น สังคมที่จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุดมักหมายถึงไม่มีหลักประกันเรื่องสิทธิมนุษยชน
สิ่งนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกหดหู่ใจ
สวี่ชีอันคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนผล็อยหลับไป เมื่อเขาตื่นขึ้นมาฟ้าก็สว่างแล้ว เขาสวมชุดเสื้อคลุมสีดำ รัดเข็มขัด เก็บรวบผมยาวและห้อยอาวุธผู่เต่า[5]ไว้ที่เอว
เขามีรูปร่างสูงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและหน้าตาหล่อเหลา
ต้องยอมรับว่าเสื้อผ้าโบราณมีประโยชน์ต่อรูปลักษณ์และภาวะจิตใจ ทว่าตอนเข้าห้องน้ำยุ่งยากยิ่งนัก
หลังข้ามกำแพงไปทานอาหารเช้าที่บ้านอารองสวี่แล้ว อาและหลานก็ออกไปทำงานด้วยกัน สวี่ผิงจื้อได้รับตำแหน่งเดิมคืนมา ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติเหมือนแต่ก่อน
ที่ว่าการอำเภอฉางเล่อเป็นเมืองหลวงมณฑลฟู่กัว ที่ทำการปกครองก็อยู่ในเมือง ห่างจากบ้านสกุลสวี่หกเจ็ดลี้ (1 ลี้ มีความยาวเท่ากับ 500 เมตร) สวี่ชีอันไม่มีม้าหรือรถม้า จำเป็นต้องขึ้นรถประจำทางหมายเลข 11 โดยใช้เวลาสองเค่อ (1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที) มาถึงยังที่ว่าการอำเภอ
ที่ว่าการอำเภอฉางเล่อตั้งอยู่บนทิศเหนือโดยประตูหันไปทางทิศใต้ ที่ประตูมีสิงโตหินความสูงเท่าคนอยู่สองตัว ประตูทั้งสองข้างทาด้วยสีน้ำตาลอมแดงและกลองขนาดใหญ่ที่สีกะเทาะออก
หากจะกล่าวถึงโครงสร้างการปกครองของที่ว่าการอำเภอ แน่นอนว่าผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุด คือ เจ้าคณะอำเภอ ซึ่งจะมีผู้ช่วยสองคน คนหนึ่งคือผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอและอีกคนคือนายทะเบียน[6]
สามท่านนี้เป็นข้าราชสำนักที่มีระดับขั้นและได้รับการแต่งตั้งในยุคของสวี่ชีอัน
ถัดจากข้าราชสำนักทั้งสามก็จะเป็นตำแหน่งผู้คุม หรือที่เรียกอีกอย่างว่าหัวหน้าเจ้าหน้าที่
ตำแหน่งนี้ไม่มีแม้แต่ระดับขั้นหรือชั้น
ในสมัยนั้นมีการแบ่งระดับเจ้าหน้าที่เรียกว่าสามหน่วยกับหกกรม สามหน่วยแบ่งเป็นหน่วยสังหาร หน่วยคุมขัง และหน่วยจับกุม ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในงานพิธีการ รักษาความปลอดภัย การจับกุมและอื่นๆ ส่วนหกกรมนั้นสอดคล้องกับหกชั้นศาล[7]ของราชสำนัก
สวี่ชีอันเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยจับกุมที่เรียกกันว่า มือปราบ
เมื่อเข้าไปยังที่ทำการปกครอง ทันเวลาที่คุมกำลังเข้าแถวช่วงเช้า[8] ผู้คุมหลี่ยืนอยู่หน้าโถงเห็นสวี่ชีอันพร้อมกับอาวุธผู่เต่าที่เอวก็ตกตะลึง
สีหน้านั้นราวกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ
พวกเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นสีหน้าของผู้คุมดูผิดปกติไปจึงหันกลับไปมอง จากนั้นพวกเขาก็มีสีหน้าราวกับเห็นผีมิต่างกัน
“สวี่…สวี่ชีอัน นี่เจ้าเป็นคนหรือผีกันแน่” เสียงของใครบางคนสั่นเครือ
ผู้คุมหลี่สังเกตเห็นเงาของสวี่ชีอันที่ทอดลงบนพื้น เขารู้สึกโล่งใจจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
“พูดอะไรไร้สาระในศาล ผีมีเงาได้ด้วยหรือ”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
สวี่ชีอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “หรือว่าจะเป็นผีดิบ”
ผู้คุมหลี่ตกใจ เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้สึกประหม่า
สวี่ชีอันรีบกอบหมัดคารวะ “ข้าแค่ล้อเล่น ได้เจอกับท่านผู้คุมและสหายร่วมงาน ข้าออกจากคุกแล้ว”
ผู้คุมหลี่ถาม “เกิดอะไรขึ้น”
พวกเขาได้ยินมาว่าสกุลสวี่ถูกคุมขังในคดีเงินภาษี
“โดยปกติแล้วเป็นการทำความดีลบล้างความผิด องค์จักรพรรดิจึงพระราชทานอภัยโทษให้แก่บ้านสกุลสวี่”
สวี่ชีอันพูดซ้ำอีกครั้งทันที ทว่ายกความดีความชอบให้กับอารองและนำใบรับรองที่ออกโดยที่ทำการปกครองเมืองจิงจ้าวออกมา
ขณะเดียวกันก็คิดในใจแล้วว่าแม้จะตรวจพบเงินภาษีแล้ว ทว่ายังไม่มีคำสั่งตัดสินลงมา กล่าวคือคดีเงินภาษีที่สูญหายยังไม่ได้รับการคลี่คลายและยังต้องทำตามขั้นตอนต่างๆ จึงไม่เร็วนัก
ดังนั้นพวกเจ้าหน้าที่ของที่ว่าการอำเภอฉางเล่อจึงยังไม่ทราบเรื่อง
เมื่อการเข้าแถวช่วงเช้าเสร็จสิ้น มือปราบที่คุ้นเคยกันดีสองสามคนก็เข้ามาแสดงความยินดีกับเขาทันที
“หนิงเยี่ยน เช่นนั้นเจ้าเป็นเจ้ามือเลี้ยงเหล้าแล้วกัน”
ในยุคนี้การเรียกสหายมักใช้นามรองแทนการเรียกชื่อ เมื่อแนะนำตัวเองจะใช้ชื่อแทนการเอ่ยนามรอง
“ใช่ รอดตายมาได้ถือว่าได้รับพรอันประเสริฐจึงต้องฉลอง”
“ข้าได้ยินมาว่าหอคณิกาที่ถนนหลินสุ่ยมีโสเภณีใหม่ๆ เข้ามา หนิงเยี่ยน คืนนี้เจ้าไปกับพวกข้าหรือไม่”
แค่เลี้ยงเหล้ายังพอไหว แต่ให้ไปหลับนอนกับผู้หญิงมันออกจะเกินไปหน่อย…
สวี่ชีอันคิดจะบ่ายเบี่ยงและบอกว่าเขาไม่มีเงิน ทันใดนั้นเท้าของเขาก็เหยียบลงบนก้อนแข็งๆ และเมื่อเขามองลงไป มันกลับกลายเป็นเศษเงิน
จริงหรือที่ว่าหากรอดตายมาได้จะพบพานแต่ความโชคดี เขาเหยียบมันกลับลงไปทันทีและแสร้งเป็นมองทิวทัศน์
หลังจากที่ทุกคนเริ่มก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว สวี่ชีอันรีบก้มลงไปเก็บเงินใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วขึ้นมา โดยที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย
หลังจากเดินผ่านทางเดินมานั่งอยู่ในห้องโถงข้างทางฝั่งตะวันตกไม่กี่นาที ผู้คุมหลี่ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึม มองไปยังหัวหน้ามือปราบหวัง
“เหล่าหวัง ท่านนายอำเภอให้พวกเราเข้าพบที่ห้องโถงชั้นใน”
หัวหน้ามือปราบหวังมีสีหน้าขมขื่นและเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
สวี่ชีอันมองดูแผ่นหลังของหัวหน้ามือปราบหวังที่กำลังเดินออกไปและถามขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือ สีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีนัก”
“เจ้าติดคุกอยู่หลายวัน มีคดีฆาตกรรมที่ถนนคังผิง พ่อค้ามั่งคั่งคนหนึ่งถูกฆ่าตาย ท่านนายอำเภอโกรธมากจนต้องเรียกหัวหน้ามือปราบหวังเข้าไปเล่นงานทุกวัน”
“แค่พ่อค้าคนหนึ่งเสียชีวิต ท่านนายอำเภอไม่จำเป็นต้องโมโหถึงเพียงนี้เสียหน่อย” สวี่ชีอันกำลังแทะเมล็ดแตงโม
สมัยอดีตคดีที่เกี่ยวกับมนุษย์ถือเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าในฐานะนายอำเภอของเมืองหลวงมณฑลฟู่กัว ขุนนางระดับห้าไม่น่าจะเป็นได้ถึงขนาดนี้
“อ้อ เพราะพ่อค้าคนนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใต้เท้าท่านหนึ่งที่รับมอบคดีนี้ ข้าคิดว่านี่อาจจะเป็นแรงกดดันจากเขาก็ได้”
เจ้าหน้าที่คนนั้นกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ปีนี้เป็นปีเกิงจื่อ[9]ด้วย”
“ปีเกิงจื่องั้นหรือ” สวี่ชีอันนิ่งเฉย
“การตรวจสอบข้าราชสำนัก!” เจ้าหน้าที่ชี้แจง
……………………………………….
[1] พร 996 เป็นวัฒนธรรมการทำงานล่วงเวลาขององค์กรในจีน ‘996’ หมายถึงการทำงานตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 21.00 น. 6 วันต่อสัปดาห์ ส่วนที่เรียกว่าวัฒนธรรมนี้เป็น ‘พร’ เพราะในมุมมองของเจ้านาย พวกเขาเชื่อว่าการทุ่มเทชีวิตให้กับงานจะสามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเองได้
[2] ตันเถียน เป็นศูนย์กลางของพลังลมปราณ มีอยู่ 3 แห่ง คือตรงกลางระหว่างคิ้ว ตรงกลางหัวใจและตรงท้องน้อยตามแนวคิดของลัทธิเต๋า
[3] ไม่เข้าใจแต่รู้สึกว่าสุดยอด สำนวนจีน ใช้อธิบายสถานการณ์ที่ไม่เข้าใจคำพูดหรือการกระทำบางอย่างของคนอื่น แต่ตนเองรู้สึกว่ายอดเยี่ยมแม้จะไม่เข้าใจ
[4] ปากั้ว หมายถึง ทิศทั้งแปด เป็นสัญลักษณ์แห่งฟ้าและดินที่สามารถทำนายถึงความสัมพันธ์ระหว่างฟ้า ดิน และมนุษย์ โดยสัญลักษณ์ดังกล่าวคนไทยมักจะรู้จักกันดีในรูปแบบของสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่บนยันต์แปดทิศ
[5] อาวุธผู่เต่า คือ อาวุธที่มีมีดเหล็กยาวและกว้างติดอยู่กับด้ามไม้
[6] นายทะเบียน คือ เป็นชื่อข้าราชการโบราณและเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่ดูแลเอกสารของหัวหน้าข้าราชการทุกระดับ
[7] หกชั้นศาล ได้แก่ กรมปกครอง กรมการคลัง กรมพิธีการ กรมทหาร กรมอาญา กรมโยธา
[8] เข้าแถวช่วงเช้า คือ การที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจำนวนผู้มาปฏิบัติหน้าที่ในสมัยโบราณ
[9] ปีเกิงจื่อ ความหมาย เป็นปีหนึ่งในทุกๆ 60 ปีตามปฏิทินจันทรคติ ตัวอย่างเช่น ปี ค.ศ. 1840, 1900, 1960, 2020 นับเป็น ‘ปีเกิงจื่อ’ เป็นต้น ซึ่งในปีดังกล่าวมักจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์