ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 103-1 ตัดเอว
ไม่มีใครเข้าใจการทำวันทยหัตถ์แบบชาติก่อนของสวี่ชีอัน แต่ซ่งถิงเฟิงกลับมองเห็นเจตนาสังหารจากฆ้องทองแดงบางคนซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของฆ้องเงินแซ่จู
“จับเขาไว้ อย่าให้เขาหนี” ซ่งถิงเฟิงตะโกนเสียงดังแล้วพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก เขากดสวี่ชีอันเอาไว้ บิดสองมือไปด้านหลัง จากนั้นกวาดมองทุกคนรอบๆ
“ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันโจมตีผู้บังคับบัญชา ไม่เคารพกฎหมาย จะต้องส่งตัวไปที่ทำการเพื่อตัดสินความ”
จูกว่างเสี้ยวเดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาปลดเชือกที่บริเวณเอวออกแล้วมัดสหายร่วมงานด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นทั้งสองคนจับตัวสวี่ชีอันไว้แล้ว ฆ้องทองแดงที่อยู่รอบๆ ก็ถอนหายใจแผ่วเบา
สีหน้าของซ่งถิงเฟิงไม่น่ามอง เขาเอ่ยเสียงเบาอยู่ข้างหูจูกว่างเสี้ยว “เจ้าพาเขากลับไปที่ทำการ ข้าจะกลับไปก่อนก้าวหนึ่งแล้วรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าฟัง จำให้ดี อย่าให้ลูกน้องของฆ้องเงินจูคุมตัว ต้องปกป้องเขา”
เมื่อเอ่ยเรื่องเหล่านี้จบ ซ่งถิงเฟิงก็กอบหมัดเอ่ย “คนผู้นี้กับข้าเป็นลูกน้องของฆ้องเงินหลี่เหมือนกัน เมื่อทำความผิดมหันต์เช่นนี้ พวกเราจึงมีส่วนรับผิดชอบ เราจะพาตัวเขากลับไปที่ทำการเอง ทุกท่านยึดทรัพย์ต่อเถิด”
“ได้!”
“ลำบากแล้ว”
ฆ้องทองแดงทุกคนเอ่ย
ในเมื่อซ่งถิงเฟิงรับแล้ว เช่นนั้นก็ต้องรับผิดชอบยามคนร้ายหนีไปในขณะเดียวกันด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขาแล้ว
อีกอย่าง ภารกิจการค้นบ้านยึดทรัพย์ก็ยังไม่เสร็จสิ้น ทุกคนยังอยากหาเงินกันอยู่
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวพาสหายร่วมงานที่เล่นรัสเซียนรูเล็ตด้วยกันที่สำนักสังคีตเมื่อคืนมาสองสามคน แล้วคุมตัวสวี่ชีอันไปด้วยกัน
เหล่าซ่งโมโหแล้ว ระหว่างเดินไม่ใส่ใจสวี่ชีอัน ทั้งยังเตะเขาไปสองทีด้วย
เมื่อออกจากจวน เขาก็เดินทางไปก่อนหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว
สวี่ชีอันถูกมัดตัวไว้ เขานั่งอยู่บนหลังม้าโดยมีฆ้องทองแดงสี่คนคุมตัวอยู่ และเดินทางไปยังที่ทำการ
ตอนนี้เอง ควันหลงจากพลังผ่านไปแล้ว สวี่ชีอันจึงได้เริ่มเป็นกังวลกับตัวเองขึ้นมา
กลัวตายก็กลัวตาย เพียงแต่เขาไม่เสียใจ สตรีบ้านขุนนางต้องโทษผู้นั้นไม่ได้มีความผิดด้วย เดิมทีพวกนางสามารถจากไปโดยไม่บุบสลายได้อยู่แล้ว
สวี่ชีอันปรับตัวเข้ากับกฎของยุคสมัยนี้มาตลอด พยายามทำให้ตนหลอมรวมเข้าไปให้ได้ วางตัวสำรวมคือคำพูดที่เขาเคยพูดกับสวี่ซินเหนียน
ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่เขาพูดกับตัวเองด้วย
อย่างน้อยตอนนี้ตนก็เป็นทหารขั้นแปด จึงทำได้เพียงปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเท่านั้น
จนกระทั่งเขาเห็นชะตาชีวิตที่เด็กคนนั้นต้องพบเจอ ศรัทธาที่ค่อยๆ ถูกแช่แข็งของตัวเขาก็พลันร้อนแรงสว่างไสวขึ้นมาทันใด เขาตามหาความตั้งใจแรกเริ่มของตนพบแล้ว
…
“ย่ะ ย่ะ ย่ะ…” ซ่งถิงเฟิงควบม้าทะยาน ด้านหนึ่งฟาดก้นม้า อีกด้านร้องลั่นว่า “หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทำงาน หลีกไป หลีกไปให้หมด”
คนเดินถนนพากันถอยหลบอย่างตื่นตระหนก เสียงด่าแช่งดังขึ้นเป็นทอดๆ
ซ่งถิงเฟิงเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง เขาควบม้าอย่างรวดเร็วจนกลับมายังที่ทำการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จากนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปในที่ทำการ แม้แต่เชือกม้าก็ยังไม่ได้โยนให้เจ้าหน้าที่พลเรือนผู้เฝ้าประตูด้วยซ้ำ
…
หลี่อวี้ชุนกำลังทำงานอยู่ในห้อง หูของเขาขยับ เงยหน้าขึ้น รออย่างเงียบๆ อยู่ชั่วครู่ ซ่งถิงเฟิงก็พุ่งเข้ามาในโถงชุนเฟิง
“เกิดเรื่องอะไร!” หลี่อวี้ชุนเอ่ยถาม
ฝีเท้ารีบร้อนกังวลเช่นนี้จะต้องมีเรื่องมารายงานแน่
“สวี่ชีอันเกือบจะฆ่าฆ้องเงินจู หัวหน้า รีบไปช่วยเขาเร็ว” ซ่งถิงเฟิงพูดรัวเร็วยิ่ง หลี่อวี้ชุนยังไม่ทันได้ถามกลับ เขาก็เอ่ยต่อ “จูกว่างเสี้ยวกับสหายร่วมงานคนอื่นกำลังคุมตัวเขากลับมาที่ทำการ อีกไม่นานฆ้องทองคำจูก็จะได้รับข่าวแล้ว ข้ากลัวว่าสวี่ชีอันจะไม่มีแม้แต่โอกาสจะกลับมายังที่ทำการขอรับ”
หลี่อวี้ชุนไม่ได้ถามต่อ เขาพลันผุดลุกขึ้นแล้วเดินนำซ่งถิงเฟิงพุ่งออกจากโถงชุนเฟิง
จุดหมายของเขาชัดเจนยิ่ง นั่นคือโถงเสินเชียงของหยางเยี่ยน
ผู้ที่สามารถจัดการกับฆ้องทองคำได้มีแค่ฆ้องทองคำเท่านั้น
ทั้งสองเดินกันรวดเร็ว หลี่อวี้ชุนเดินไปพูดไป “ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ซ่งถิงเฟิงหอบหายใจเล็กน้อยแล้วพูดรัว “คนแซ่จูจะหยามเกียรติสตรีบ้านขุนนางต้องโทษ สวี่หนิงเยี่ยนขัดขวาง ทั้งคู่ขัดแย้งกัน สวี่หนิงเยี่ยนใช้ดาบเดียวฟันจนฆ้องเงินจูบาดเจ็บ ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย…”
เมื่อซ่งถิงเฟิงพูดจบ เขาก็เสริมรายละเอียดเข้าไป ซึ่งรวมไปถึงเรื่องที่ฆ้องเงินจูจงใจเพ่งเล็งและหาเรื่องยุ่งยากให้กับสวี่ชีอันก่อนออกเดินทางด้วย
หยามเกียรติสตรีบ้านขุนนางต้องโทษเหรอ
ถ้าหากบอกว่าตอนแรกเริ่มหลี่อวี้ชุนยังรู้สึกตำหนิสวี่ชีอันที่ไปฟันฆ้องเงินจูบาดเจ็บอยู่บ้างแล้วล่ะก็ ตอนนี้เขามายืนอยู่ข้างสวี่ชีอันอย่างมั่นคงทีเดียว
“อีกเดี๋ยวพอเจอฆ้องทองคำหยางเจ้าก็พูดอีกรอบ แต่ต้องจำไว้ให้ดีว่าอย่าได้พูดถึงเรื่องที่ฆ้องเงินจูจงใจหาเรื่องสวี่ชีอันออกมา” หลี่อวี้ชุนกล่าวเตือน
ซ่งถิงเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง พริบตาก็เข้าใจ เขาร้องรับว่า “อืม” อย่างหนักแน่น
ถ้าหากพูดถึงเรื่องความขัดแย้งในที่ทำการออกไป บางทีฆ้องทองคำหยางอาจจะคิดว่าความขัดแย้งระหว่างสวี่ชีอันและฆ้องเงินจูนั้นเกี่ยวพันกับเรื่องส่วนบุคคล
มันก็จะเท่ากับว่าเป็นการคิดแก้แค้น
หากไม่พูดถึง สวี่ชีอันก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างเที่ยงธรรม ใช่แล้ว นี่คือการใช้กฎอย่างเที่ยงธรรม
โครงสร้างรวมหลายกลุ่มค้นบ้านยึดทรัพย์ก็เพื่อป้องกันการเก็บเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง เป็นการกำกับดูแลซึ่งกันและกัน
แต่สวี่ชีอันก็ยังมีความผิดอยู่ เป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง การกระทำที่ถูกต้องของเขาก็คือกลับไปรายงานที่ที่ทำการ ไม่ใช่ลงมือด้วยตัวเอง แล้วยังทำให้ผู้บังคับบัญชาบาดเจ็บสาหัส
ไม่ว่าจะเป็นที่ทำการที่ไหนก็ตาม ดูจากความผิดแล้ว การสังหารผู้บังคับบัญชาจะต้องได้รับโทษสถานหนักคือตัดเอว
“เขายังช่วยได้หรือไม่” ริมฝีปากของซ่งถิงเฟิงแห้งผาก
“…” หลี่อวี้ชุนเหลือบมองเขา “ไม่รู้”
ทั้งคู่มายังโถงเสินเชียง วันนี้หยางเยี่ยนไม่ได้อยู่กับเว่ยเยวียนที่หอเฮ่าชี่ เขานั่งทำสมาธิ ฝึกลมหายใจรับพลังปราณ
ดูเหมือนว่าเขายังไม่คิดที่จะลืมตา ยังคงฝึกลมหายใจต่อไป โคจรพลังทั่วร่าง
หากเป็นช่วงเวลาปกติ หลี่อวี้ชุนจะต้องรอคอยอย่างเชื่อฟัง รอกระทั่งโคจรพลังเสร็จสิ้นแล้วจึงค่อยกล่าวธุระ
แต่วันนี้ไม่อาจรอได้ หลี่อวี้ชุนเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ฆ้องทองคำหยาง เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ”
หยางเยี่ยนลืมตา ใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่มีความโกรธหรือไม่พอใจใดๆ “เรื่องอะไร”
หลี่อวี้ชุนเหลือบมองไปที่ซ่งถิงเฟิง คนหลังรายงานเรื่องข้อพิพาทของสวี่ชีอันกับฆ้องเงินจูตอนไปยึดทรัพย์ออกมาทันที และปกปิดความขัดแย้งส่วนตัวตอนเข้ามารวมกลุ่มเอาไว้
หลี่อวี้ชุนเสริมต่อ “ด้วยอุปนิสัยของฆ้องทองคำจู เกรงว่าสวี่ชีอันจะไม่ได้กลับมาขอรับ”
หยางเยี่ยนเผยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ารู้แล้ว”
เขาลุกขึ้น ก้าวหนึ่งก้าวก็หายไปจากห้องโถง
…
จูหยางเป็นหนึ่งในหนึ่งสิบฆ้องทองคำของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลของเมืองหลวง เขาเป็นทหารขั้นสี่ เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย เริ่มทำงานเป็นทหารนายหนึ่ง ระหว่างทางก็สะสมความดีความชอบทางทหารจนกลายเป็นหัวหน้ากองร้อย จากนั้นก็ต้องตาเว่ยเยวียน ก่อนถูกรับเข้ามาในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฝึกฝนให้เป็นสำคัญ
นับว่าเป็นฆ้องทองคำสายตรงของเว่ยเยวียน ตำแหน่งต่ำกว่าบุตรบุญธรรมสองคนนั้นเล็กน้อย
จูหยางมีลูกชายสามคน คนโตไม่ได้เรื่องทั้งบุ๋นทั้งบู๊ คนรองเรียนหนังสือครึ่งๆ กลางๆ ทำงานอยู่ในกรมข้าราชการ
มีเพียงลูกคนที่สามจูเฉิงจู้คนเดียวเท่านั้นที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม เป็นฆ้องเงินที่อายุน้อยที่สุดในหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล ได้รับความสำคัญจากจูหยางอย่างยิ่ง
ตอนนี้เอง ฆ้องเงินใต้บัญชาคนหนึ่งก็รีบร้อนพุ่งเข้ามา สีหน้าดูไม่ได้ “ใต้เท้า ใต้เท้า ไม่ดีแล้ว คุณชายจูเกิดเรื่องแล้วขอรับ…”
จูหยางที่ก้มหน้าอ่านม้วนเอกสารอยู่เงยหน้าขึ้น ได้ยินฆ้องเงินกล่าวต่อว่า “คุณชายจูถูกฆ้องทองแดงคนหนึ่งฟันบาดเจ็บ เป็นตายยากคาดเดา คนถูกส่งกลับมายังที่ทำการและกำลังรักษาอย่างเร่งด่วน ผู้น้อยส่งคนไปเชิญโหรของสำนักโหราจารย์แล้วขอรับ”
จูหยางรีบไปยังโถงของลูกชายโดยมีฆ้องเงินนำไป เขามองเห็นบุตรตัวน้อยหลับใหลไม่ได้สติและเห็นบาดแผลใหญ่ที่หน้าอกของเขา
ฆ้องเงินใต้บัญชาสองสามคนกำลังสลับกันถ่ายพลังปราณส่งให้เขา คงความเคลื่อนไหวของการทำงานในร่างกายเขาไว้ โดยมีหมอประจำหน่วยงานสองคนกำลังรักษาอยู่
ฆ้องทองคำจูหน้าดำ “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
หมอทั้งสองคนคล้ายกับไม่ได้ยิน มือไม่หยุดเคลื่อนไหว ทั้งห้ามเลือด ใส่ยา ฝังเข็มต่อชีวิต และเย็บบาดแผล
“หากแผลดาบฟันลงลึกกว่านี้อีกครึ่งชุ่น หัวใจก็จะถูกผ่าแล้ว ตอนนั้นต่อให้เป็นโหรของสำนักโหราจารย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ขอรับ” หมอคนหนึ่งเงยหน้ากล่าว
“เป็นเพราะอาวุธวิเศษฆ้องทองแดงขวางการโจมตีถึงชีวิตให้ใต้เท้าจู จึงโชคดีรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ปราณดาบแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะภายใน หากไม่ดึงพลังปราณออกมา อย่างมากที่สุดใต้เท้าจูก็อยู่ได้ครึ่งชั่วยามขอรับ”
“เมื่อไหร่โหรของสำนักโหราจารย์จะมา” ฆ้องทองคำจูเสียงดังขึ้นทันที
“ส่งคนไปเชิญแล้วขอรับ ไม่นานก็คงมาถึง” ฆ้องเงินที่นำเขามาตอบกลับ
ฆ้องทองคำจูพยักหน้า “ใครเป็นคนทำ”
ฆ้องเงินตอบกลับ “ฆ้องทองแดงสวี่ชีอัน ลูกน้องของหลี่อวี้ชุนขอรับ…”
สวี่ชีอันหรือ
…………………………………