ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 105 ระเบิด
สวี่ซินเหนียนใช้เงินสามสิบตำลึงแลกกับของของญาติผู้พี่ เขาเก็บกระจกหยกใบเล็กใส่ในแขนเสื้อ เดินออกจากคุกใต้ดิน ที่ประตู และพบกับซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวซึ่งรออยู่นานแล้ว
ซ่งถิงเฟิงกล่าว “พวกเราจัดการเรื่องหนังสือรับรองเข้าสู่เขตพระราชฐานเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่เคยไปที่นั่น ให้พวกเราสองคนพาไปเถอะ”
สวี่ซินเหนียนโค้งคำนับขอบคุณ
ซ่งถิงเฟิงโบกไม้โบกมือ “ขอเพียงเจ้าช่วยเขาได้ ทุกอย่างก็ได้ทั้งนั้น”
ทั้งสามคนขี่ม้าเร็วมาถึงประตูเขตพระราชฐานที่ใกล้ที่สุด ซ่งถิงเฟิงหยิบหนังสือรับรองของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลออกมาแล้วเข้าไปในเขตพระราชฐานอย่างราบรื่น
ระหว่างทางถูกพวกกองดาบที่ตรวจการณ์อยู่เรียกถามไม่หยุด จากนั้นก็เป็นพวกหน่วยองครักษ์ราชวัลลภ
สุดท้ายก็มาถึงด้านนอกพระราชวัง ก็ยังถูกขวางเอาไว้อีก
หนังสือรับรองของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลใช้ได้ถึงขั้นนี้เท่านั้น หากไปต่อก็คือพระราชวังแล้ว แม้ว่าพระราชวังจะใหญ่มาก แต่ความหมายของมันก็คือบ้านขององค์จักรพรรดิ
สวี่ซินเหนียนกล่าว “ข้าน้อยเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ เป็นคนรู้จักเก่าขององค์หญิงใหญ่ มีเรื่องจะทูลขอ โปรดนำรายงานต่อด้วยขอรับ”
เรื่องที่องค์หญิงใหญ่เสด็จไปศึกษาเล่าเรียนที่สำนักอวิ๋นลู่นั้นเป็นที่รู้โดยทั่วกัน ทหารรักษาพระองค์จึงไม่ได้ทำให้ลำบากใจ ให้ทั้งสามคนคอยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเข้าไปรายงาน
หลังเข้าไปหนึ่งเค่อ ทหารรักษาพระองค์ก็กลับมาเอ่ยว่า “ตามข้ามา”
เขานำทั้งสามคนเข้าไปในพระราชวังแล้วเอ่ยเตือน “ห้ามมองส่งเดช ห้ามพูดส่งเดช ระวังวาจาและกิริยาของตนไว้”
สวี่ซินเหนียนก้มหน้าลงเล็กน้อย ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวรู้กฎเกณฑ์ดี จึงก้มหน้าเดินเร็วๆ
แม้ว่าพวกเขาจะเข้ามาในพระราชวัง ก็ทำได้แค่เดินอยู่บนเส้นทางไม่กี่เส้นเท่านั้น หากเดินผิดจนถูกกองทหารรักษาวังสอบถามเข้าแล้วไม่มีหนังสือรับรองที่เกี่ยวข้องด้วยล่ะก็ ดาบจะลอยมาได้
เดินอยู่นาน ในที่สุดก็ถึงตำหนักหลั่นเยวี่ยที่ประทับขององค์หญิงใหญ่ หน้าประตูสีชาดมีนางข้าหลวงสองคนรออยู่
นางข้าหลวงคำนับให้ เมื่อสวี่ซินเหนียนคำนับกลับ พวกนางก็นำทั้งสามคนเข้าไปในพระราชอุทยาน
หลังเดินอยู่บนระเบียงทางตัดเดินผ่านสวน พวกสวี่ซินเหนียนก็ถูกนำมายังห้องรับรองแขก
หญิงงามสวมชุดฝ่ายในนั่งอยู่บนโต๊ะตรงข้ามประตู ในมือถือม้วนตำราและจิบชา งามสง่าทว่าผ่อนคลาย
“องค์หญิง แขกมาแล้วเพคะ” นางข้าหลวงกล่าวขึ้นแล้วหันกายถอยออกไป
สวี่ซินเหนียนโค้งกายคารวะแล้วกล่าวเสียงดัง “สวี่ซินเหนียนจากสำนักอวิ๋นลู่ ถวายบังคมองค์หญิงใหญ่”
องค์หญิงใหญ่ยิ้มบางกล่าว “ฉือจิ้วมาหาข้า ด้วยเรื่องใดหรือ”
นางรู้จักกับว่าสวี่ซินเหนียนอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่ศึกษาอยู่ที่สำนักอวิ๋นลู่ก็มีวาสนาพบหน้ากันอยู่สองสามครั้ง จนกระทั่งวันนั้นที่ส่งคนไปสืบเรื่องสวี่ชีอัน จึงนับว่ามีภาพจำล้ำลึกต่อสวี่ซินเหนียนผู้นี้
ฉือจิ้ว…สวี่ซินเหนียนชะงักไป เขาไม่ประหลาดใจที่องค์หญิงใหญ่รู้จักตน พระราชธิดาพระองค์นี้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อัจฉริยะเหนือผู้คน แค่ผ่านตาก็จดจำได้ เป็นอัจฉริยะผู้รู้จักใช้เล่ห์กลกล่อมคนอย่างยิ่ง
ที่เขาคาดไม่ถึงคือองค์หญิงใหญ่กลับจดจำ ‘ชื่อรอง’ ของตนได้ แต่เขายังไม่เคยคบหากับองค์หญิงใหญ่อย่างเป็นทางการนี่นา
องค์หญิงใหญ่เรียกเขาเช่นนี้ ความจริงแล้วเสียมารยาทเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายใกล้ชิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้เรียกใช้สวี่ซินเหนียนได้สะดวก
สวี่ซินเหนียนไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน เขาสงบอารมณ์อย่างรวดเร็วแล้วกล่าวอย่างซื่อตรง “ญาติผู้พี่ของฉือจิ้วประสบภัย องค์หญิงใหญ่ทรงโปรดยื่นมือช่วยเหลือด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าขององค์หญิงใหญ่ผงะไป ใบหน้างดงามแช้มช้อยฉายแววแปลกใจ กล่าว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
สวี่ซินเหนียนเล่าเรื่องให้องค์หญิงใหญ่ฟัง ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวก็เสริมส่วนที่ขาดไปให้
เมื่อพูดจบ สวี่ซินเหนียนก็คำนับอีกครั้ง “ญาติผู้พี่กระทำหุนหันพลันแล่น แต่มีความจริงใจ ถ้าหากเขาไม่ลงมือล่ะก็ เด็กน่าเวทนาผู้นั้นก็จะถูกฆ้องเงินจูดูหมิ่น ตั้งอยู่ในความชอบธรรม มิเอนเอียงสู่อำนาจ มิสนซึ่งผลประโยชน์ ญาติผู้พี่มิใช่ปัญญาชน แต่ความจริงใจเช่นนี้ทำให้ปัญญาชนเช่นข้ารู้สึกนับถือพ่ะย่ะค่ะ”
จุดประสงค์ที่เขาพูดยกประโยคเก่าแก่ขึ้นมาก็เพื่อปลุกเร้าองค์หญิงใหญ่ นางก็นับว่าเป็นปัญญาชนครึ่งหนึ่งเช่นกัน
องค์หญิงใหญ่ครุ่นคิด ผ่านไปพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ผลการลงโทษของเว่ยกงล่ะ”
“ฆ้องเงินจูถูกไล่ออก ไม่อาจใช้ทำงานได้ตลอดไป ส่วนญาติผู้พี่ของกระหม่อม…จะถูกตัดเอวในอีกเจ็ดวันพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ฉือจิ้วกล่าวเสียงขรึม
องค์หญิงใหญ่เงียบงัน ใบหน้าเย็นชาทำให้คนมองใจของนางไม่ออก
สวี่ซินเหนียนลอบถอนหายใจ องค์หญิงผู้นี้ไม่ใช่สตรีหูเบา มีความคิด บางครั้งก็ถึงขนาดน่าเกรงขามอยู่สักหน่อยด้วย
คนเช่นนี้ เวลาทำอะไรจะมีความคิดเป็นของตัวเอง
“นี่เป็นหนังสือเขียนด้วยมือจากท่านอาจารย์ ท่านปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มู่ไป๋ และท่านปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่โย่วผิง ขอทรงโปรดองค์หญิงใหญ่ให้ความช่วยเหลือด้วยพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ฉือจิ้วคิดจะใช้ไม้ตาย
เขานำหนังสือเขียนด้วยมือของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนออกมาจากแขนเสื้อ
ตุบ…
สิ่งที่หลุดร่วงลงมาพร้อมกับหนังสือเขียนด้วยมือยังมีกระจกหยกใบเล็กด้วย
สวี่ซินเหนียนหยิบมันขึ้นมานิ่งๆ เมื่อเก็บกระจกใบเล็กเรียบร้อย เขาก็ยื่นหนังสือเขียนมือไปให้
องค์หญิงใหญ่รับมา คลี่หนังสือเขียนมืออ่านจนจบก็เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าทราบแล้ว แต่หน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลเป็นของราชวงศ์ ฟังเพียงแค่เสด็จพ่อคนเดียว ข้าทำได้เพียงพยายามจนถึงที่สุดเท่านั้น”
สวี่ซินเหนียนสูดหายใจเข้าลึก “ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่”
นางข้าหลวงส่งพวกสวี่ซินเหนียนจากไป ยามกลับมา องค์หญิงใหญ่ก็ออกรับสั่งว่า “ส่งคนไปสอบถามเว่ยกงที่หน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล สืบเรื่องข้อพิพาทระหว่างฆ้องทองแดงสวี่ชีอันกับฆ้องเงินจูมาให้ละเอียด”
“เพคะ!” นางข้าหลวงรับคำสั่ง
….
เมื่อออกจากพระราชวังและเขตพระราชฐานแล้ว สวี่ซินเหนียนก็บอกลาฆ้องทองแดงทั้งสองคน
เขาขี่ม้าเดินทางไปยังเมืองชั้นนอกอย่างเชื่องช้า หว่างคิ้วมีความกังวลใจเกาะกลุ่มกันแน่น
‘ไม่อาจวางเบี้ยไว้ที่ขององค์หญิงใหญ่ทั้งหมดได้ พระองค์รับปากเรื่องนี้ แต่ทรงเต็มใจลงแรงเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้’
‘ท่านพ่อไปสำนักโหราจารย์แล้ว ไม่รู้ว่าโหรที่นั่นจะมีวิธีช่วยเหลือพี่ใหญ่หรือไม่…’
‘ในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ข้าจะต้องไปถึงระดับสูงขั้นกลางให้ได้ ข้าต้องปีนให้สูงกว่านี้ กุมอำนาจให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรไม่สำเร็จหรอก’
สวี่ซินเหนียนถอดถุงน้ำแล้วเติมความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากแห้งผาก ก่อนลูบคลำกระจกหยกใบเล็กในแขนเสื้อ
เมื่อมาถึงทางตะวันออกของเมืองก็ใกล้ค่ำแล้ว
สถานรับเลี้ยงเด็กทางตะวันออกของเมืองอยู่ในเขตยาจก ที่นี่รวบรวมคนชนชั้นล่างสุดของเมืองหลวงเอาไว้ ทั้งพ่อค้าหาบเร่ คนใช้แรงงาน โจรและหัวขโมย
ชาวบ้านที่พบระหว่างทางแต่งกายด้วยชุดฤดูหนาวโกโรโกโส แก้มตอบผอมโซ สายตาที่มองเขาราวกับหมาป่าหิวโหยจ้องมองอาหาร
แต่ชุดขงจื๊อบนร่างของสวี่ซินเหนียนก็ทำให้คนยากจนที่เดินอยู่บนเส้นขอบของความกินพออิ่มเหล่านี้ยังคงสติได้อยู่
บ้านดินเหลืองแถบนี้ทรุดโทรมเหลือทน ปลูกสร้างอย่างไร้ระเบียบไร้ลำดับ ข้างถนนทุกหนแห่งล้วนมีเศษขยะ ในอากาศมีกลิ่นอุจจาระและปัสสาวะจางๆ ลอยอวล
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าในยามหน้าร้อนจะต้องมีแมลงวันบินว่อนแน่ๆ
เด็กหน้าเหลืองผอมโซคนหนึ่งเข้ามาขวางม้าของสวี่ซินเหนียนอย่างใจกล้า
“นายท่าน ขอเงินหน่อยเถอะขอรับ…ข้าไม่ได้กินข้าวมาเจ็ดวันแล้ว” เด็กคนนั้นกล่าว
‘ไม่ได้กินข้าวมาเจ็ดวันเจ้าคงตายไปนานแล้ว…’ สวี่ซินเหนียนคิดเสียดสีอีกฝ่ายอย่างลืมตัว แต่ก็กลืนมันกลับไป
เขาหยิบเศษเงินหนึ่งก้อนออกมาจากถุงเงินแล้วโยนไปให้
เด็กคนนี้หน้าเหลืองผอมโซ ดวงตาไร้แวว เจ็ดวันอาจจะเกินจริงไปสักหน่อย แต่ที่ยังไม่ได้กินข้าวเป็นเวลานานนั้นก็คือเรื่องจริง
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้ที่ดวงตาสว่างไสวกลับไม่ใช่แค่เด็กที่เข้ามาขวางทาง แต่ยังเป็นคนยากจนและเด็กที่อยู่รอบๆ ล้วนเบิกตากว้างเปล่งปลั่งขึ้นมา
ส่องประกายเป็นความโลภและความกระหาย
เด็กเล็กเจ็ดแปดคนทำตามแบบอย่าง เข้ามาล้อมม้าของสวี่ซินเหนียนเอาไว้ พวกคนจนก็เข้ามาใกล้เงียบๆ
“นายท่าน ขอเงินหน่อยเถอะขอรับ”
“ข้าไม่ได้กินข้าวมาเจ็ดวันแล้ว”
ทั้งพวกผู้ใหญ่และเด็กๆ เข้ามาล้อมม้าเอาไว้ มีท่าทางแบบที่ถ้าไม่ให้เงินก็ไม่ปล่อยไป
สายตาของสวี่ซินเหนียนคมกริบพร้อมผลักชายคนหนึ่งที่ยื่นมือมาคลำถุงเงินของเขา ตะโกนลั่นว่า “เงียบ!”
เสียงดังโหวกเหวกหยุดลงทันที ทุกคนเงียบลงอย่างรู้ตัวดี
“ไปซะ!” สวี่ซินเหนียนโคจรปราณไปที่จุดตันเถียนแล้วตะโกนอีกครั้ง
เด็กและผู้ใหญ่ที่ล้อมม้าอยู่เกิดความหวาดกลัวอย่างแรงกล้าขึ้นมาในใจ สัญชาตญาณกระตุ้นให้พวกเขาออกห่างจากม้า ไม่กล้าเข้าใกล้
ปัญญาชนระดับบำเพ็ญตนขั้นแปดสามารถจัดระเบียบคำพูดและการกระทำของคนอื่น และสามารถใช้วาจาบัญญัติกฎระดับตื้นที่สุดได้
สวี่ซินเหนียนส่ายหน้าอย่างจนใจ ขี่ม้าออกมาจากบริเวณนั้น ไม่นานก็มาถึงสถานรับเลี้ยงเด็ก
เขาพลิกตัวลงจากม้า กลัวว่าผูกม้าไว้ข้างนอกแล้วจะถูกคนขโมย จึงจูงม้าเข้าประตูใหญ่ไปด้วย
ในเรือน เจ้าหน้าที่ชราคนหนึ่งกำลังกวาดลานบ้านอยู่ เขาเงยหน้าแก่ชราขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม “คุณชายท่านนี้มีเรื่องใดหรือขอรับ”
สวี่ซินเหนียนกล่าว “ในเรือนมีพระภิกษุรูปหนึ่งหรือไม่”
เจ้าพนักงานชราตอบ “ท่านหมายถึงปรมาจารย์เหิงหย่วนสินะ…เขาไปแล้ว ไปได้สองวันแล้วขอรับ…”
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว ไจะกลับมาเมื่อใด”
“ไม่ทราบขอรับ บอกว่ามีข่าวคราวของศิษย์น้อง ต้องจากไปสักสองสามวัน” เจ้าพนักงานชราส่ายหน้า
สวี่ซินเหนียนออกจากสถานรับเลี้ยงเด็ก และออกจากทางตะวันออกของเมืองอย่างผิดหวัง
……..
พลบค่ำ องค์หญิงใหญ่เสวยพระกระยาหารเย็นเสร็จแล้วก็เรียกพบหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ของตำหนักในห้องหนังสือ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์นำรายงานที่สืบมาจากหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลกลับมาด้วย
องค์หญิงใหญ่สวมชุดฝ่ายในหรูหรางดงามยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ทิ้งเงาหลังอันสวยสง่าไร้ขอบเขตให้ทหารรักษาพระองค์
นางฟังอย่างเงียบๆ จบแล้วก็เอ่ยถาม “ปกติสวี่ชีอันกับฆ้องเงินจูมีความแค้นกันหรือไม่”
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ส่ายหน้า “กระหม่อมได้ตั้งใจตรวจสอบเป็นพิเศษ ทั้งคู่น่าจะไม่รู้จักกัน เพียงแต่ฆ้องเงินผู้นั้นแสดงความอิจฉาและความเกลียดชังในตัวฆ้องทองแดงสวี่ชีอันออกมาเป็นการส่วนตัวจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ครอบครัวของต้นเรื่องติดร่างแหไปด้วยและถูกจะนำเข้าสำนักสังคีตหรือไม่” องค์หญิงใหญ่ถามอีก
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ตอบ
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้พูดอะไรอีก นิ่งคิดไปพักหนึ่ง จึงกล่าวต่อ “เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้”
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์หนุ่มลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมได้ตรวจสอบแล้ว ยามที่รวมตัวกัน ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันไม่ได้มาสาย แต่กลับถูกจูเฉิงจู้ทำร้าย เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจหาเรื่อง…หลายปีมานี้ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้กระทำเรื่องดูหมิ่นหยามเกียรติสตรีบ้านขุนนางต้องโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ มีบางคนที่ควรส่งเข้าสำนักสังคีตอยู่ดี แต่นั่นไม่สำคัญ ทว่าผู้ที่เดิมทีไม่ควรเกี่ยวข้องก็มักจะได้พบกับเงื้อมมือมารแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องเช่นนี้พบเห็นบ่อยไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพียงแต่ไม่มีใครยินดีออกหน้าให้กับครอบครัวขุนนางต้องโทษเหล่านั้นก็เท่านั้น
ขุนนางต้องโทษเดิมก็เป็นคนชั่ว พอกำแพงทลายหลายคนก็พากันผลักดัน
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์กล่าวต่อ “กระหม่อมยังตรวจสอบพบว่าตอนนั้นฆ้องเงินจูมีเจตนาจะบีบบังคับให้สวี่ชีอันลงมือ เขาทำสำเร็จแล้ว เพียงแต่…”
องค์หญิงใหญ่ยิ้มบาง “เพียงแต่ไม่คิดว่าฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลับสามารถระเบิดพลังรุนแรงเช่นนี้ออกมาได้ล่ะสิ”
องค์หญิงใหญ่กล่าว “ข้ารู้แล้ว ออกไปเถอะ”
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ออกไปจากห้องหนังสือ
องค์หญิงใหญ่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง จ้องมองไปยังสวนอันเงียบงัน ดวงตานิ่งสงบ
……
ยามดึก
แสงจันทร์สาดแสงพร่างพราวเยือกเย็น ทะเลสาบซังผอเงียบนิ่งส่องสะท้อนเงาจันทร์
เสียงชุดเกราะกระทบกันและเสียงฝีเท้าอันเป็นระเบียบดังสะท้อนเข้ามาใกล้ซังผอ นั่นคือกองทหารต้องห้ามที่ลาดตระเวนอยู่
ลมเย็นยะเยือกยามดึกพัดโชย พัดจนแสงสีเงินในทะเลสาบซังผอกระเพื่อมยับย่น
มนุษย์กระดาษตัดอย่างประณีตตนหนึ่งผู้มีฝ่ามือใหญ่ลอยไปตามลม ลอยล่องผ่านผิวน้ำของซังผอแล้วตกอยู่บนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ
มันเงียบนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นยืนตัวสั่นระริก เดินด้วยขาสั้นๆ เล็กๆ ของมันมายังหน้าวัด แล้วแทรกตัวผ่านรอยแยกของประตูเข้าไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง แสงไฟอ่อนจางก็สว่างขึ้นมาจากรอยแยกประตู ไม่นาน เสียง ‘ตูม’ ก็ดังขึ้นราวกับฟ้าผ่า เปลวไฟโชติช่วงกลืนกินวัดหย่งเจิ้นซานเหอแล้ว
แรงกระแทกรุนแรงซัดจนเกิดคลื่น ทำให้เศษแผ่นกระเบื้อง อิฐ และคานไม้ที่แตกกระจายกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร แล้วกระทบเข้ากับทะเลสาบซังผอ
เสียงระเบิดดังแผ่ไปหลายร้อยลี้ กองทหารรักษาวังที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้กับซังผอรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดินได้พร้อมกับที่คลื่นเปลวเพลิงโชติช่วงไปทั่วท้องฟ้า
…………………………………