ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 109 ทำให้ลำบาก
บทที่ 109 ทำให้ลำบาก
สวี่ชีอันมาถึงก้นทะเลสาบอย่างรวดเร็ว ปราณใสไหลเวียนอยู่ในดวงตา เหมือนกับหลอดไฟขนาดเล็กสองหลอดในความมืด
ใต้ทะเลมีดินตะกอนสะสมอยู่ โดยยึดฐานของศาลาหินอ่อนสีขาวสูงเป็นศูนย์กลาง เสาหินจัดเรียงตามแบบแผนอันเป็นเอกลักษณ์ คุ้มกันศาลาสูงไว้ตรงกลาง
‘นี่ดูเหมือนจะเป็นค่ายกลบางอย่าง’ สวี่ชีอันคาดเดาในใจ
ในเมืองหลวงต้าฟ่ง มีเพียงโหรของสำนักโหราจารย์เท่านั้นที่สามารถจัดค่ายกลได้ กล่าวอีกนัยคือสมัยนั้นสำนักโหราจารย์ก็มีส่วนร่วมในการสร้างวัดหย่งเจิ้นซานเหอเช่นกัน
จากตรงนี้อนุมานได้ว่า นอกจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่รู้ความลับของซังผอแล้ว ยังมีชายชราสกปรกที่เป็นโหราจารย์คนนั้นอีก… ดังนั้น ท่านโหราจารย์ล้มป่วยจริงหรือ หรือเป็นเพราะวัดหย่งเจิ้นซานเหอล่มสลาย
ฉึบ… ที่นี่เก็บซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่
คนร้ายที่คิดกบฏอำนาจลับของซังผอและทำลายวัดหย่งเจิ้นซานเหอต้องเป็นระดับราชาอย่างแน่นอน… ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ อย่างข้ามีส่วนร่วมกับเรื่องเหล่านี้ รู้สึกว่าข้าคงจะถูกเทพเซียนโจมตีและโดนลูกหลงได้ตลอดเวลา…
แม้ว่าข้าจะค้นหาความจริงได้ ราชวงศ์จะยอมข้าหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจของสวี่ชีอันก็รู้สึกหนักอึ้ง
‘เว่ยเยวียนชี้หนทางให้ข้าแล้ว เมื่อเจอปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้ก็แจ้งที่ทำการปกครอง แจ้งฆ้องทองคำหยาง…คำใบ้นี้ชัดเจนพอแล้ว ข้าเป็นเพียงเบี้ยที่ใช้สำรวจเส้นทาง สุนัขล่าสัตว์ที่รับผิดชอบตามรอย หากไม่ไหวจริงๆ แย่ที่สุดข้าก็แกล้งตายและหนีไปจากเมืองหลวง’
ขณะที่ความคิดแวบขึ้นมา เขาก็ถูแขนขา และพิงเสาหินที่อยู่ใกล้ตัวเองมากที่สุด
พื้นผิวของเสาหินแกะสลักเป็นตัวอักษรลูกอ๊อดที่บิดเบี้ยวและแปลกประหลาด
สวี่ชีอันมองออกคร่าวๆ ว่านี่เป็นตัวอักษรบางอย่าง เนื่องจากระดับการศึกษาที่จำกัด จึงไม่อาจตีความได้ เขาจดจำตัวอักษรสองสามตัวได้อย่างแน่นหนา
หลังจากตรวจสอบเสาหินอีกสองสามต้น และพบว่ามีตัวอักษรแบบเดียวกัน โรคกลัวใต้ท้องทะเลก็กระตุ้นให้สวี่ชีอันออกจากก้นทะเลสาบอันมืดมิด
ตัวอยู่ใต้น้ำอันเงียบสงบและลึก เขามักจะนึกภาพว่าด้านหลังเขามีดวงตาอันเย็นยะเยือกคู่หนึ่งจ้องเขาอยู่ หรือด้านหน้าในความมืดมีเงาขนาดใหญ่ปรากฏอยู่
สวี่ชีอันขึ้นจากน้ำ กลับไปที่เรือลำเล็ก และสอดดาบยาวสีดำที่คาบไว้ในปากเข้าไปในฝัก โคจรปราณระเหยน้ำในทะเลสาบจนเป็นไอ
ไอน้ำลอยขึ้นมา
หลี่อวี้ชุนมองเขาอย่างแปลกใจ เด็กคนนี้เลื่อนขั้นเป็นระดับหลอมปราณด้วยน้ำมือของเขา พลังปราณของเขาหนาแน่นเช่นนี้นานแค่ไหนแล้ว
“พลังปราณของเจ้าไม่เหมือนระดับหลอมปราณหน้าใหม่เลย” หลี่อวี้ชุนพูดอย่างงุนงง
“ข้าเพียงแค่นั่งสมาธิสองชั่วยามทุกวันเท่านั้นเอง” สวี่ชีอันทำสีหน้าไร้เดียงสา
“…”พี่ชุนโบกมือ ไม่อยากคุยหัวข้อนี้มากนัก เขามองฆ้องเงินหยาง และพูดว่า “คนสกุลหยางไม่ยอมรับเจ้า เมื่อสักครู่นี้เขาขึ้นมาวิเคราะห์สถานการณ์ใต้น้ำกับพวกเรา ถือว่าได้กำไรนิดหน่อย นอกจากนี้ยังพูดว่า หากการวิเคราะห์ของเจ้าเหมือนกับเขา เขาก็พอใจ”
“ทุกคนล้วนเป็นสมาชิกในทีม ไม่จำเป็นต้องปิดบัง”
หยางเฟิงที่ผอมสูงยิ้ม และไม่ได้โต้ตอบ
สวี่ชีอันมองหมิ่นซานผู้มีหนวดเครา คนคนนี้ไม่พูดไม่จา แต่จ้องสวี่ชีอัน และรอให้เขาพูด
สวี่ชีอันกลอกตา “จากการแตกหักของแท่นสูงอนุมานได้ว่าจุดระเบิดอยู่ในวัด ไม่ใช่ใต้น้ำ นอกจากนี้ ดินปืนกว่าครึ่งยังถูกซ่อนอยู่ภายในวัดหลังพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษอีก ซึ่งห่างจากพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษสิ้นสุดไม่เกินหนึ่งชั่วยาม หากซ่อนไว้ในวัดล่วงหน้า กลิ่นดินปืนจะรุนแรง เมื่อฝ่าบาทเข้าไปภายในวัดจะได้กลิ่นอย่างแน่นอน มีเพียงหลังจากพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษสิ้นสุดเท่านั้นถึงจะมีโอกาส ไปจับกุมขุนนางชั้นผู้น้อย เจ้าพนักงานศาลต้าหลี่กับเจ้าพนักงานกระทรวงพิธีกรรมที่รับผิดชอบปิดท้ายทั้งหมดมาสอบปากคำทีละคน เรื่องนี้ฆ้องเงินหยางเจ้าไปทำ นอกจากนั้น แจ้งที่ทำการปกครอง และทูลฝ่าบาทให้ชุดขาวของสำนักโหราจารย์สองสามคนมาร่วมมือกันจัดการคดี หัวหน้าท่านไปทำ อืม ข้าอยากให้แม่นางไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์มาช่วยข้า”
“ฆ้องเงินหมิ่น เจ้าตามข้าไปที่กรมโยธา ข้าต้องการบันทึกการเข้าออกของโรงงานดินปืน ดินปืนมากขนาดนี้ไม่อาจลักลอบขนออกไปได้”
เขานิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสริม “แต่ก่อนหน้านั้น พวกเราต้องดูโครงกระดูกของทหารที่สังเวยชีวิตก่อน”
ฆ้องเงินสามคนมองหน้ากัน และพบว่างน้องเล็กคนนี้ทำงานสมเหตุสมผลมาก จัดแจงงานอย่างมีระเบียบ ความคิดชัดเจน ตรรกะละเอียดรอบคอบ ฆ้องเงินสองคนหยางเฟิงกับหมิ่นซานขจัดความดูถูกกับความไม่ไว้วางใจที่มีต่อเขาออกไป
ถามใจตัวเองดู หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา คาดว่าคงบอกทิศทางที่ชัดเจนเช่นนี้ไม่ได้เร็วขนาดนี้ ต้องครุ่นคิดนานเพียงใด ถึงจัดระเบียบความคิดอย่างชัดเจนได้
ศพถูกรวบรวมไว้ในค่ายทหาร ทหารรักษาวังนำพวกเขามาด้านนอกค่าย และเลิกม่านขึ้น ด้านในเป็นศพของผู้ตายที่ใช้ผ้าดิบคลุมไว้
ในโจมขนาดใหญ่สองโจมใกล้ๆ กันก็มีศพแบบเดียวกัน ทหารที่ลาดตระเวนรอบๆ ซังผอครั้งนี้ ทั้งหมดสามร้อยสิบสองคน เสียชีวิตทั้งหมด
สวี่ชีอันยกผ้าดิบขึ้น และพินิจสภาพอันน่าเวทนาของศพแต่ละศพ
“เจ้ายังจะชันสูตรศพอีกหรือ” หยางเฟิงเห็นว่าสีหน้าของเขาจริงจังขึ้นเรื่อยๆ จึงอดถามไม่ได้ “พบอะไรแล้วหรือ”
“พบเรื่องใหญ่”
“ว่ามา” ฆ้องเงินสามคนตื่นตะลึง แม้แต่หัวหน้าทหารรักษาวังที่นำทางมาก็มองมาเช่นกัน
สวี่ชีอันพูดช้าๆ “พบว่าตัวข้าเป็นเพียงฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ เมื่อเจอกับการต่อสู้ คงต้องให้ใต้เท้าทั้งสามทำงานอย่างหนัก”
ทหารทุกคนตายสภาพเดียวกันเป๊ะ ล้วนถูกปีศาจบางอย่างดูดเลือดไป บนร่างไม่มีบาดแผลอื่น
วิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่ระดับหลอมปราณจะรับมือได้
ถึงเวลานั้นเมื่อเจอคนร้ายจริงๆ สวี่ชีอันก็คงทำได้เพียงสะบัดมือ ‘รบให้ข้า! ข้าจะอยู่ข้างหลัง’
…
สวี่ชีอันรีบพาหมิ่นซานไปที่กรมโยธา โดยมีตราทองคำเปิดทาง ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางใดๆ
เขามองหาขุนนางที่ดูแลโรงงานดินปืน และพูดว่า “เจ้าหน้าที่ต้องการตรวจสอบการผลิตและบันทึกการใช้ดินปืนในหนึ่งเดือนมานี้”
สมุดบัญชีเป็นสิ่งที่ปลอมแปลงง่ายมาก หนึ่งในเทคนิคที่ครอบจักรวาลที่สุดก็คือปริมาณการใช้เกินจริง ตัวอย่างเช่นการผลิตกระสุนปืนใหญ่ ต้องการดินปืนเพียงแค่สองร้อยกิโลกรัม แต่ตอนบันทึก เขียนเป็นสามร้อยกิโลกรัม
อีกตัวอย่างคือตอนผลิตดินปืน วัตถุดิบที่ขนมาผลิตดินปืนสองร้อยกิโลกรัม แต่จงใจเขียนปริมาณของวัตถุดิบขาด ดินปืนที่ผลิตเกินก็สามารถเก็บซ่อนไว้ได้
แต่เทคนิคเหล่านี้ล้วนไม่อาจหยุดการตรวจสอบได้ ทุกอาชญากรรมล้วนมีร่องรอย
สวี่ชีอันไม่ไว้ใจขุนนางของกรมโยธา จึงส่งคนไปที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเพื่อเกณฑ์เจ้าหน้าที่ของตัวเองมา คนหลายสิบคนหลั่งไหลเข้ามาในกรมโยธาอย่างยิ่งใหญ่
นี่เป็นขั้นตอนที่น่าเบื่อหน่ายและวุ่นวาย ปริมาณงานก็เยอะมาก เพราะยังต้องไปเก็บหลักฐานและตรวจสอบที่สถานที่เก็บวัตถุดิบอีก
…
หลังจากกินข้าวเที่ยงที่กรมโยธา สวี่ชีอันก็นั่งแคะฟันบนเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างสบายๆ และมองเหล่าเจ้าหน้าที่กับฆ้องทองแดงที่กำลังยุ่ง
หยางเฟิงที่รับผิดชอบสอบสวนศาลต้าหลี่ กรมพิธีการและขุนนางชั้นผู้น้อยในวังส่งคนกลับมารายงาน
“ศาลต้าหลี่กับกรมพิธีการมีเจ้าหน้าที่หายตัวไปสามคน และขุนนางชั้นผู้น้อยในวังก็หายตัวไปสามคนเช่นกัน” ฆ้องทองแดงที่มารายงานคนนั้นพูด
ในพระราชวัง ขันทีที่ตำแหน่งค่อนข้างต่ำจะเรียกว่าขุนนางชั้นผู้น้อย ซึ่งมักจะทำงานเล็กๆ น้อยๆ
“หายตัวไปเมื่อใด” สวี่ชีอันนั่งตัวตรง และหลุดพ้นจากสภาพเกียจคร้านทันที
“ผู้เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบการปิดพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ ทุกคนถูกกรมอาญากับที่ว่าการเมืองร่วมกันคุมตัวไว้ และพวกเขาปฏิเสธที่จะส่งคนให้พวกเรา” ฆ้องทองแดงพูดอย่างจนปัญญา “ฆ้องเงินหยางกำลังเผชิญหน้ากับคนของกรมอาญา จนมุมไม่น้อย”
“กล้าแย่งคนกับพวกเราหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเชียวหรือ” สวี่ชีอันเลิกคิ้ว
แม้ว่าจะเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาได้ไม่นาน แต่ก็ปนเปื้อนความเย่อหยิ่งอันยโสโอหังของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว
ฆ้องทองแดงอธิบายว่า “กรมอาญากับที่ว่าการเมืองได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้รับผิดชอบสืบสวนคดีเช่นกัน เพราะเป็นคำสั่งขององค์จักรพรรดิ พวกเขาจึงไม่เกรงกลัวพวกเรา ฆ้องเงินหยางไม่มีตราทองคำพระราชทาน จึงให้ข้าน้อยรีบมารายงานใต้เท้าอย่างเร่งด่วน”
ปกติสถานะของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะสูงกว่าที่ทำการปกครองอื่น แต่ยกเว้นสถานการณ์หนึ่ง นั่นก็คือจักรพรรดิบัญชา
“ไป ให้ข้าไปขอคน!” สวี่ชีอันโกรธเคือง
จักรพรรดิให้กรมอาญากับที่ว่าการเมืองยุ่งกับคดีนี้พร้อมกัน นี่ไม่แปลก คดีใหญ่ๆ มากมายที่หลายฝ่ายร่วมกันสืบสวน อาศัยเพียงแค่ที่ว่าการเมืองอย่างเดียว กำลังคนมีจำกัด และทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง ต้องจัดการเรื่องอื่น จึงยากมากที่จะทุ่มกำลังคนและทรัพยากรทั้งหมด
ข้อดีของการสืบสวนร่วมกันหลายฝ่ายนั้นชัดเจน แต่ข้อเสียก็ชัดเจนเช่นกัน นั่นคือแย่งผลงาน!
‘สำหรับข้า ไม่ใช่ว่าคดีซังผอคลี่คลายแล้วข้าจะไม่เป็นไร ข้าจำเป็นต้องทำผลงานโดยเป็นตัวแปรสำคัญในคดีนี้ ศาลถึงจะยกเว้นโทษประหารชีวิตให้ข้า หากไม่มีทำผลงานเลยสักนิดเดียว เกรงว่ายากที่จะหนีจากการลงโทษตัดหัวที่ไช่ซื่อโข่ว… ใครกล้าขัดขวางการทำคดีของข้า ข้าไม่เกรงใจแน่นอน!’
เมื่อเกี่ยวข้องกับวงศ์ตระกูลและชีวิต สวี่ชีอันไม่ชักช้า คว้าดาบยาวสีดำที่อยู่บนโต๊ะ มองเจ้าหน้าที่ทุกคนรอบๆ และเอ่ยเสียงดังฟังชัด
“พวกเจ้าสืบสวนคดีต่อ ตรวจสอบบันทึกการผลิตและการใช้ทั้งหมดตั้งแต่กลางปีจนถึงปัจจุบัน หากค้นหาเบาะแสเจอ ทุกคนจะได้รับยี่สิบตำลึงเงินเป็นรางวัล”
ในฐานะผู้รับผิดชอบ เขามีสิทธิจะให้รางวัล โดยรางวัลก็มาจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
ดวงตาของเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มาจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นประกาย
ยี่สิบตำลึงเงินเทียบเท่ากับเงินเดือนข้าราชการของพวกเขาครึ่งปี
หลังจากทิ้งเจ้าหน้าที่ไว้ข้างหลัง สวี่ชีอันก็พาฆ้องเงินหมิ่นซานกับฆ้องทองแดงที่เหลือออกจากกรมโยธาอย่างเร่งรีบ และขี่ม้าเร็วไปที่กรมอาญา
กรมอาญาอยู่ไม่ไกล ควบม้าเร็วยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูป สวี่ชีอันก็เห็นประตูบานใหญ่สีแดงของกรมอาญาแล้ว
ประตูมีกองกำลังทหารคุ้มกัน ทหารชุดเกราะที่อาวุธครบมือสองแถวเฝ้าอยู่
หยางเฟิงกับฆ้องทองแดงหกคนถูกขวางอยู่ด้านนอก ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน
“กรมอาญาสืบสวนคดีตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิ ซึ่งทำได้ดีที่กรมอาญา ผู้ที่ขัดขวางการทำคดี สังหารไม่เว้น” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนที่เป็นผู้นำถือดาบด้วยมือข้างเดียว และด่าทอหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
ข้างหลังเขา ทหารชุดเกราะหลายสิบคนจับด้ามดาบไว้
เส้นเลือดบนหน้าผากของหยางเฟิงปูดด้วยความโกรธ เขาคงจะไม่เคยมีช่วงเวลาที่บึ้งตึงเช่นนี้ ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าด่าทอเขาซึ่งๆ หน้ามาก่อน
แม้ว่าเขาจะจับด้ามดาบอยู่เช่นกัน แต่ก็ไม่กล้าประมาท ผู้รับผิดชอบไม่อยู่ที่นี่ เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะอ้างตัวว่ามาทำคดีตามคำสั่งของจักรพรรดิ และเป็นไปไม่ได้ที่กรมอาญาจะไม่รู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ได้รับคำสั่งให้ร่วมทำคดีนี้ แต่พวกเขาจงใจกันคนไว้ด้านนอก
นี่เป็นการจงใจทำให้พวกเขาอับอาย และจงใจขัดขาพวกเขา
“เหอะ!” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนที่เป็นผู้นำเยาะเย้ย เขาถือดาบด้วยมือข้างเดียว และมองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งคณะที่ขี่ม้าพุ่งเข้ามาจากไกลๆ
“กรมอาญาทำคดี หากคนที่ไม่เกี่ยวข้องบุกเข้าไปในกรมอาญาโดยพลการ สังหารไม่เว้น”
เขาเพิ่งตะโกนเสร็จ ก็เห็นฆ้องทองแดงหนุ่มที่ควบม้าอยู่ด้านหน้าสุดดึงหน้าไม้ที่เอวออกมา และลั่นไกอย่างไม่ลังเล
……………………………………