ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 128 หาประโยชน์ไปทั่ว
บทที่ 128 หาประโยชน์ไปทั่ว
สวี่ชีอันเบื่อมาก
ตอนที่ได้ป้ายหยกขององค์หญิงรองก็เคยคิดว่าสักวันหนึ่งอาจต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ แค่คิดไม่ถึงเลยว่ากรรมจะตามสนองได้เร็วขนาดนี้
สถานการณ์ตอนนี้ถ้าหากเกิดขึ้นในชาติก่อน มากสุดก็แค่ ‘หนุ่มน้อยทำข้อสอบตัวเลือก’
ต้องจุกตายแลกกับโดนสองฝ่ามือ
พออยู่ในยุคโบราณนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจต้องแลกกับแผลเป็นขนาดใหญ่เท่าปากชามก็ได้
“กระหม่อมมาปรึกษาปัญหากับองค์หญิงใหญ่เกี่ยวกับคดีซังผอพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันหันกายกอบหมัดคารวะให้กับยายตัวร้ายเป็นการบอกว่าเขามีงานราชการ
แต่เขาประเมินสติปัญญาขององค์หญิงรองสูงไป หรืออาจจะประเมินความดื้อรั้นและป่าเถื่อนของนางต่ำไป นางเท้าเอวแค่นเสียงเย็นว่า “เจ้าไม่มาปรึกษาข้าล่ะ”
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งฟังแล้วก็ยิ้มเย็นทันที “ข้อดีที่สุดของหลินอันคือมั่นอกมั่นใจ”
คำประชดที่คนโง่ก็ฟังออก
องค์หญิงใหญ่มารับพลังโกรธแทนข้าแล้ว…สวี่ชีอันโล่งอก ‘พวกเจ้าทะเลาะกันไปเถอะ ให้ข้าเป็นอากาศธาตุก็พอแล้ว’
องค์หญิงรองขัดแย้งกับพี่สาว ทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็กๆ จนมาถึงการทะเลาะกันทั้งต่อหน้าและลับหลังในปัจจุบันนี้ แต่ละอย่างล้วนรับมือไม่ได้เลย
“ฮว๋ายชิ่ง สวี่ชีอันเป็นคนของข้า เขารับหยกห้อยเอวของข้าไปแล้ว รับปากว่าจะรับใช้ข้าแล้ว” องค์หญิงรองบีบเอว พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะเย็นชาออกมา
“นกที่ดีย่อมเลือกไม้ทำรัง ใครให้คนบางคนขี้เหนียวล่ะ อยากให้ม้าวิ่ง แต่ไม่ให้หญ้าม้า ข้านี่ใจกว้างมากแล้วนะ”
เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่ไม่พูดจา นางก็เดินมาอยู่ข้างตัวสวี่ชีอัน ดวงเนตรงามมองจิกสวี่ชีอัน จากนั้นจึงประกาศอำนาจ “เจ้าอยากจะใช้คนของข้า ก็ได้ แต่ต้องตกลงกับข้าก่อน วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากให้เจ้าเรียกใช้คนของข้า”
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งจิบชา ยิ้มหวานไม่พูดจา ท่าทางมั่นอกมั่นใจ
องค์หญิงรองเกลียดท่าทางเช่นนี้ของนางที่สุด นัยน์ตาสีดำตัดขาวชัดเจนจ้องนางเขม็ง จากนั้นจึงเอ่ยกับสวี่ชีอัน “ยังไม่ตามข้าไปอีก”
สวี่ชีอันไม่ขยับ ไม่มองทั้งองค์หญิงรองและองค์หญิงใหญ่ “ทั้งสองพระองค์ กระหม่อมเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จงรักภักดีต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“หุบปาก” องค์หญิงทั้งสองพระองค์โพล่งขึ้นพร้อมกัน
“…”
สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว ความขัดแย้งขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เอง มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ฝ่ายเดียว องค์หญิงรองตัวร้ายชอบท้าทาย องค์หญิงใหญ่ผู้แข็งกร้าวเผด็จการก็ยินดีเดินหน้าชนทุกการท้าทาย
เขาเป็นแค่คนขี้ประจบฐานะต่ำต้อยที่ถูกเสียบไว้ตรงกลางเท่านั้นเอง
นี่มันเทียบได้กับคุณหนูลูกเศรษฐีสองคนแย่งของเล่น จากนั้นก็ให้ของเล่นเลือกเองว่าจะอยู่กับใคร
เขาเผชิญหน้ากับสายตาขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ สวี่ชีอันพ่นลมหายใจออกมาแล้วหันไปมองหลินอัน “ขออภัยองค์หญิงรอง กระหม่อมยังมีงานราชการที่ต้องปรึกษากับองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
พูดจาไพเราะยิ่ง แต่ที่จริงแล้วเป็นการบ่งบอกท่าทีว่าเขาเลือกองค์หญิงใหญ่
ทันใดนั้นองค์หญิงหลินอันก็กัดริมฝีปาก ประกายแสงน้ำในดวงพระเนตรรูปดอกท้อส่องประกาย มองจ้องสวี่ชีอันล้ำลึก ก่อนหันหน้าเดินจากไป
นางแพ้อีกแล้ว ทั้งยังเสียหน้าต่อหน้าฮว๋ายชิ่งอีกแล้ว อีกฝ่ายนั่งนิ่งอย่างมั่นใจ ปล่อยให้ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่งฉีกหน้านาง
องค์หญิงหลินอันผู้หยิ่งยโสไม่เคยไม่ได้รับความเป็นธรรมขนาดนี้มาก่อน และไม่เคยพ่ายแพ้ขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน
นางจากไปเงียบๆ
สวี่ชีอันเมินเฉยต่อการจากไปขององค์หญิงรอง เขาพูดคุยกับองค์หญิงใหญ่ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งอยู่สองสามประโยค แล้วจู่ๆ ก็ลูบหน้าอก เหมือนคิดอะไรได้ ก่อนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
“โอ๊ะ ป้ายหยกยังไม่ได้คืนให้องค์หญิงรองเลย เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงใหญ่ส่งเสียง “อืม” ด้วยอารมณ์ที่ไม่แย่นัก น้ำเสียงนางไพเราะเสนาะหู
สวี่ชีอันออกจากตำหนักหรูหราอย่างเอื่อยเฉื่อย คว้าตัวทหารรักษาพระองค์ที่ประตูเอ่ยว่า “องค์หญิงรองเสด็จไปไหนแล้ว”
ทหารรักษาพระองค์ชี้ไปทางหนึ่งให้เขา
สวี่ชีอันเหมือนกับสุนัขเร่ร่อนหลุดจากสายจูง เขาก้าวเร็วๆ ตามไป ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็มองเห็นเงาร่างสีแดงเพลิงขององค์หญิงรองนำนางกำนัลสองคนก้าวเร็วๆ ไหล่หอมกรุ่นสั่นไหวแผ่วเบา
“องค์หญิงรองโปรดรอก่อนพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันตามไปพลางตะโกนเสียงดัง
องค์หญิงหลินอันได้ยินแล้วก็ไม่สนใจ กลับเดินเร็วกว่าเดิม เอวเล็กบิดไปมา ชายกระโปรงปลิวไสว
สวี่ชีอันก้าวเร็วๆ ตามไปทันแล้วขวางอยู่หน้าองค์หญิงหลินอัน ยังไม่ทันได้พูดก็ชะงักไปก่อน “พระองค์ร้องไห้เหรอพ่ะย่ะค่ะ”
ระดับความต้านทานของจิตใจต่ำเกินไปล่ะสิ…
องค์หญิงหลินอันหันหน้าไปทางอื่นทันที ให้เขาเห็นแค่ใบหน้าครึ่งซีกอันงดงาม ก่อนเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าสุนัขรับใช้ เจ้าตามข้ามาทำอะไร จะวางแผนชั่วหรือยังไง”
ขอบตาของนางแดงก่ำ ใบหน้าขาวราวหิมะยังคงเหลือคราบน้ำตาอยู่บ้าง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเพิ่งร้องไห้เพราะความน้อยใจมา
แต่กลับขับให้นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
สวี่ชีอันเห็นองค์หญิงหลินอันไม่เดินจากไปและไม่ตะโกนเรียกคน ทันใดนั้นเขาก็ดีใจขึ้นมา รู้สึกว่ายังกู้คืนได้ จึงพูดอย่างจริงจังว่า
“ความซื่อสัตย์ที่กระหม่อมมีต่อพระองค์นั้นไม่ได้ตีสองหน้าแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงหลินอันพลันเงยหน้าขึ้นมายิ้มเย็น “สวี่ชีอัน เจ้าเห็นข้าเป็นคนปั่นหัวง่ายนักเหรอ”
สุนัขซื่อสัตย์ของฮว๋ายชิ่งผู้นี้เป็นพวกตีสองหน้า คาดไม่ถึงว่าอยากจะเหยียบเรือสองแคมอีก น่ารังเกียจยิ่งนัก
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาแต่งกลอนได้ดีทั้งยังเป็นที่ถูกใจฮว๋ายชิ่งล่ะก็ ตนก็ไม่อยากจะสนใจผู้ชายน่าขยะแขยงเช่นนี้หรอก
ความประทับใจต่อสวี่ชีอันขององค์หญิงหลินอันลดลงจนถึงขีดต่ำสุด
“บางทีในสายตาขององค์หญิงรอง กระหม่อมคือคนไร้ยางอายที่หาประโยชน์ไปทั่ว” สวี่ชีอันถอนหายใจกล่าว
“กระหม่อมไม่อาจโต้แย้ง ป้ายหยกชิ้นนี้ขอองค์หญิงทรงรับคืนไปเถิด ป้ายหยกที่ดีเช่นนี้ ไม่ควรต้องถูกฝังไปพร้อมกับศพกระหม่อม”
องค์หญิงรองเกลียดน้ำหน้าสวี่ชีอันนัก กำลังจะเก็บป้ายหยกกลับก็ได้ยินประโยคสุดท้ายพอดี นางผงะไป “เจ้าพูดอะไร”
สวี่ชีอันไม่ตอบ ก้มหน้าลูบคลำป้ายหยกในมือกล่าวว่า “องค์หญิงรองเป็นคนใจกว้าง ไม่เคยมีบุคคลตำแหน่งใหญ่โตคนใดยินดีมอบป้ายหยกส่วนตัวให้แก่กระหม่อมเลย กระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก องค์หญิงรองปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ แต่กระหม่อมเป็นคนไม่รู้จักชั่วดีเองพ่ะย่ะค่ะ”
เขาถอนหายใจอย่างเศร้าซึม ส่งมอบป้ายหยกไปอีกครั้ง “อาจเป็นเพราะกระหม่อมกับองค์หญิงรองไม่มีวาสนาต่อกัน โปรดรับคืนไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงรองหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ยังไม่ให้อภัยเขา ถึงอย่างนั้นในฐานะที่เป็นองค์หญิงที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงโปรดปรานมากที่สุด นางจึงได้ยินคำประจบสอพลอมามากมาย
เพียงแต่แววตาของชายผู้นี้จริงใจยิ่ง น้ำเสียงก็ซื่อตรงมาก องค์หญิงรองยอมฟังคำอธิบายของเขาแล้วกล่าวว่า
“ฝังศพที่เจ้าพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง”
สวี่ชีอันหัวเราะขมขื่น “เดิมทีกระหม่อมคิดว่าองค์หญิงรองน่าจะเคยสืบเรื่องของกระหม่อม…”
เรื่องนี้ยังไม่ได้ทำเลยจริงๆ…องค์หญิงหลินอันไม่สบายใจ ไม่ช้าก็นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยอย่างประหลาดใจ “โทษตัดเอวเหรอ”
วันนั้นตอนที่ฮว๋ายชิ่งแนะนำเขา หลินอันก็อยู่ที่นั่นด้วย
ได้ยินฮว๋ายชิ่งบอกว่าเขาใช้ดาบฟันผู้บัญชาการ จึงถูกตัดสินให้ต้องโทษตัดเอว…องค์หญิงหลินอันเม้มริมฝีปากแดง ถือโอกาสเช็ดคราบน้ำตาที่หางตาออกไป น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเล็กน้อย แต่อารมณ์โมโหเล็กๆ ยังมีอยู่ นางแค่นเสียงกล่าว “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับฮว๋ายชิ่งด้วย”
“องค์หญิงใหญ่ใคร่รู้เรื่องคดีซังผอมาก หวังจะติดตามสถานการณ์ปัจจุบันของคดีให้ได้ พระนางกล่าวว่าขอเพียงกระหม่อมรายงานได้ตรงต่อเวลา จะสัญญาว่าหลังจากคดีเสร็จสิ้น ไม่ว่ากระหม่อมจะทำผลงานชดใช้ความผิดได้หรือไม่ พระนางก็สามารถขอความเมตตาจากฝ่าบาทแทนกระหม่อมได้พ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันจ้องมององค์หญิงรองอย่างจริงใจ
“กระหม่อมรู้สึกว่าองค์หญิงรองทรงปฏิบัติต่อกระหม่อมอย่างจริงใจ แต่กระหม่อมเป็นนักโทษ ไม่อาจตอบแทนบุญคุณที่น่าซาบซึ้งใจขององค์หญิงรองได้ ดังนั้นจึงคิดจะตอบรับองค์หญิงใหญ่ หลังจากกระหม่อมพ้นโทษแล้วจะเป็นม้ารับใช้ให้กับพระองค์”
ถ้าหากความจริงใจสามารถวัดกันได้ เช่นนั้นความจริงใจในแววตาของสวี่ชีอันก็เหมือนกับน้ำทะเล ทำให้จิตใจขององค์หญิงรองอ่อนยวบลงไปไม่น้อย
นางกล่าวอย่างโกรธๆ “เหตุใดเจ้าไม่บอกข้า เสด็จพ่อรักข้ามากที่สุด ข้าขอความเมตตาแทนเจ้าไม่ใช่ว่าปลอดภัยกว่าฮว๋ายชิ่งเหรอ”
พูดจบนางก็เห็นใบหน้าของสวี่ชีอันปรากฏคลื่นอารมณ์ผันผวนรุนแรงขึ้นมา ราวกับซาบซึ้ง และเหมือนกับตกตะลึง
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงสั่นๆ ของฆ้องทองแดงตัวเล็กผู้นี้ “ฝ่าบาท…คาดไม่ถึงว่าจะยินดีขอความเมตตาจากองค์เหนือหัวให้กับฆ้องทองแดงที่เพิ่งรู้จักกันคนหนึ่งด้วย”
ที่แท้เขาก็คิดว่าตนให้ความช่วยเหลือไม่ได้นี่เอง ดังนั้นจึงเห็นฮว๋ายชิ่งเป็นฟางช่วยชีวิต…องค์หญิงหลินอันทั้งโมโหทั้งตลก อันที่จริงเมื่อกี้เป็นแค่คำพูดโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อพูดคุยมาจนถึงตอนนี้ นางก็เหมือนขี่หลังเสือลงไม่ได้อยู่สักหน่อย จึงพยักหน้าพลางกล่าวว่า
“แน่นอน ข้าไม่เคยปฏิบัติต่อคนของตัวเองอย่างไม่เป็นธรรม”
สวี่ชีอันจดจ้องนางอยู่เนิ่นนาน ก่อนกอบหมัดคำนับ พูดชัดถ้อยชัดคำเสียงนิ่งขรึมว่า “ฝ่าบาท ตอนนี้กระหม่อมเพียงอยากจะซื้อที่เท่านั้น”
หลินอันไม่เข้าใจ กล่าวอย่างงุนงง “ซื้อที่เหรอ”
สวี่ชีอันเอ่ยจริงจัง “ชื่อของมันคือที่ปักหลักปักใจ”
องค์หญิงหลินอันผงะไป รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทันใดนั้น ความเกลียดชังที่เคยมีต่อสวี่ชีอันก็หายไปจนหมด ถ้าหากก่อนหน้านี้เพียงอยากแย่งของเล่นกับฮว๋ายชิ่ง เช่นนั้นตอนนี้ก็รู้สึกจริงๆ ว่ามีลูกน้องเช่นนี้อยู่ช่างไม่เลวเลย
แต่พอนึกถึงว่าเมื่อกี้ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ ผู้นี้เพิ่งจะทำนางโกรธจนร้องไห้ นางก็แค่นเสียงออกมา ร้องด่าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนยวบ “เจ้าสุนัขรับใช้”
…สำเร็จ
สวี่ชีอันโล่งอกเหมือนปลดภาระหนัก
เจอกับสถานการณ์แบบให้เลือกหนึ่งในสองเช่นนี้ อย่าคิดแก้ที่ปัญหาเด็ดขาด แต่ต้องคิดว่าจะแก้คนที่สร้างปัญหาอย่างไร
องค์ประกอบสำคัญคือ แยกพวกนางออกจากกัน จัดการไปทีละคน
องค์หญิงใหญ่เป็นผู้หญิงนิสัยแข็งกร้าวเผด็จการ ทั้งยังเฉลียวฉลาด ดังนั้นเมื่ออยู่ในวาระที่เป็นสาธารณะ ก็จะต้องเข้าข้างนาง ต้องให้หน้านาง
ส่วนองค์หญิงรองค่อนข้างดื้อรั้น เป็นทั้งกระสอบทรายและเป็นทั้งนางมารน้อยทรงเสน่ห์ เป็นยายตัวร้ายที่ชอบหาเรื่องยั่วยุ แต่ความคิดของนางตื้นเขิน เป็นองค์หญิงที่ถูกตามใจจนเสียคน อารมณ์ร้ายอย่างยิ่ง แต่กลับเกลี้ยกล่อมได้ง่าย
ขอเพียงเจ้ามีคารมคมคาย ทำให้นางเปลี่ยนจากโกรธเป็นชอบได้ก็พอ เพราะเป็นผู้หญิงจึงต้องใช้คำพูดหวานหู
จากบุคลิกที่แตกต่างกันขององค์หญิงทั้งสอง สวี่ชีอันที่อยู่ในสนามรบก็พิจารณาแผนรับมือที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดีเท่านั้น แต่ยังทำให้องค์หญิงรองสัญญาว่าจะขอความเมตตาแทนเขาด้วย เป็นการซื้อประกันภัยทางการค้าในอนาคตได้
ทั้งยังไม่เสียเงินสักแดง
สวี่ชีอันอยู่ด้านหน้าองค์หญิงรอง หยิบป้ายหยกออกมาจากอกเสื้ออย่างระมัดระวังราวกับนั่นไม่ใช่ป้ายหยก แต่เป็นของล้ำค่า
แววตาขององค์หญิงรองอ่อนโยนลงมากทันที
“เช่นนั้น กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันคิดจะหนีแล้ว
“จะรีบไปที่ใด” องค์หญิงหลินอันจ้องเขาอย่างโกรธๆ “เจ้าเป็นลูกน้องของข้า ข้ายังต้องใช้เจ้าไปทำงานอีกนะ”
นางขุดมุมกำแพงของฮว๋ายชิ่งได้แล้ว ก็ย่อมต้องให้พี่น้องคนอื่นๆ ได้เห็นกัน แบบนี้ถึงจะได้หน้าและทำให้ฮว๋ายชิ่งเสียหน้า
“ฝ่าบาทโปรดรับสั่ง” สวี่ชีอันกล่าวอย่างจนปัญญา
องค์หญิงรองผู้ไร้ห่วงไร้กังวลพบว่าตนไม่มีอะไรให้เขาทำ จึงเอียงศีรษะกล่าวว่า “อืม วันนี้อากาศไม่เลว ทั้งยังไม่มีฮว๋ายชิ่งผีน่ารำคาญนั่นอีก ข้าจะไปเล่นกับมังกรวิญญาณ เจ้าก็ตามข้ามา ข้าไม่ต้องใช้ทหารรักษาพระองค์แล้ว”
…
จักรพรรดิหยวนจิ่งยืนอยู่ข้างแท่นสูง พิจารณาดูมังกรวิญญาณที่นอนคว่ำหน้าอยู่ริมฝั่ง จ้องตากับดวงตาราวกับกระดุมดำคู่นั้นของมังกรวิญญาณ
“เจ้าเป็นอะไร หลินอันเล่นกับเจ้ามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ววันก่อนจู่ๆ ไปสะบัดนางตกน้ำด้วยเหตุใด” องค์จักรพรรดิหยวนจิ่งดุว่ามังกรวิญญาณ
มังกรวิญญาณที่เป็นสัตว์ประหลาดโบราณเช่นนี้ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทเดียวกับเผ่าปีศาจ หากต้องการหา ‘ประเภทเดียวกัน’ เช่นนั้นก็ต้องเป็นเทพเจ้ากู่ที่เป็นสัตว์โบราณเหมือนกันแล้ว
จำนวนของมังกรวิญญาณมีน้อยมาก อายุขัยยาวนาน มีฐานะอยู่เป็นสัตว์เทพคู่บารมีของราชวงศ์มาตลอด
ไม่ว่าจะเป็นต้าฟ่งหรือราชวงศ์ก่อน ในวังล้วนเลี้ยงสัตว์ประหลาดเช่นนี้เอาไว้
“ฟู่…”
มังกรวิญญาณพ่นลมออกจมูกอย่างเกียจคร้าน นอนคว่ำอยู่ริมฝั่งอย่างหงอยเหงา ไม่สนใจเสียงตะคอกของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
ดวงตาสีดำราวกับกระดุมมองจ้องจักรพรรดิหยวนจิ่ง
เจ้าจะขี่หรือไม่ขี่ล่ะ
องค์รัชทายาทที่อยู่ข้างๆ สังเกตดูมังกรวิญญาณ เขาจำได้ว่าตอนนั้นมังกรวิญญาณก็นอนคว่ำอยู่ริมฝั่งเช่นนี้เหมือนกัน แต่คล้ายจะให้ความเคารพยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก ทั้งยังตัวสั่นงันงกยิ่งกว่าเสียด้วย
แต่ตอนนั้นเขาอยู่ห่างค่อนข้างมาก ไม่อาจมองเห็นสีหน้าท่าทางของมังกรวิญญาณชัดเจน เพียงเห็นท่าทางพอประมาณเท่านั้น ดังนั้นองค์รัชทายาทจึงไม่กล้ายืนยัน
มังกรวิญญาณเป็นพาหนะทางน้ำของจักรพรรดิในอดีต ตำนานเล่าว่าในสมัยโบราณ เผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์ไม่ได้แยกกันชัดเจนเหมือนเช่นทุกวันนี้ แต่เป็นลักษณะอยู่รวมผสมปนเปกัน
ดังนั้นบางครั้งก็จะมีคนถูกเผ่าปีศาจจับกิน บ้างก็เป็นเผ่าปีศาจถูกเผ่ามนุษย์ล่า
มนุษย์ไม่เชี่ยวชาญทางน้ำ ทำอะไรปีศาจที่อยู่ในน้ำไม่ได้ มีเพียงจักรพรรดิมนุษย์เท่านั้นที่สามารถลงไปสังหารเผ่าปีศาจในน้ำได้อย่างง่ายดาย
โดยอาศัยสัตว์ประหลาดสะเทินน้ำสะเทินบกอย่างมังกรวิญญาณพวกนี้
จนถึงปัจจุบัน จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งย่อมไม่จำเป็นต้องลงน้ำไปสังหารเผ่าปีศาจแล้ว พาหนะทางน้ำก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ประดับไปเสียแล้ว
ตั้งแต่ฝึกเต๋าเป็นต้นมา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนมังกรวิญญาณเสียหลายปี อดไม่ได้ที่จะนึกถึงทิวทัศน์ยามขี่มังกรวิญญาณเวียนว่ายอยู่ในแม่น้ำจิงเหอเมื่อครั้งตนขึ้นครองบัลลังก์
“ข้าไม่ได้ใกล้ชิดเจ้ามาหลายปี คิดไปคิดมาเจ้าคงเหงามากสินะ” จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดถอนใจออกมา กระโดดเบาๆ ขึ้นไปที่เกราะหลังของมังกรวิญญาณ สองมือจับเขาคู่นั้นเอาไว้
มังกรวิญญาณคำรามเสียงยาวอย่างมีความสุข แขนขาทั้งสี่ขยับเขยื้อน เอี้ยวตัวเล็กน้อย ก่อนพาจักรพรรดิหยวนจิ่งว่ายไปในทะเลสาบ
…น่าอิจฉาจริงๆ องค์รัชทายาทมองภาพนี้แล้วจินตนาการว่าสักวันหนึ่งในอนาคตเมื่อตนได้ขี่มังกรวิญญาณ เหล่าองค์ชายองค์หญิงของเขาก็จะยืนอยู่ริมฝั่ง ชมดูอย่างกระตือรือร้น
และในตอนนี้เอง ทันใดนั้นมังกรวิญญาณที่ว่ายอย่างมีความสุขอยู่ในทะเลสาบพลันคำรามร้องออกมา ราวกับถูกบางอย่างกระตุ้น มันชูหัวขึ้นสูง ร้องคำรามสะเทือนหูไปพลางส่ายหัวพลาง แล้วสะบัดจักรพรรดิหยวนจิ่งออกไป
……………………………………..