ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 130 สวี่ชีอัน
บทที่ 130 สวี่ชีอัน
สวี่ชีอันเหรอ
หากกล่าวว่าครั้งก่อนมังกรวิญญาณระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าว โดยที่ข้างกายฮว๋ายชิ่งก็มีสวี่ชีอันอยู่ ทว่าครั้งนี้ สวี่ชีอันกลับไม่ได้อยู่ใกล้ๆ
มีเหตุผลอื่นที่ทำให้มังกรวิญญาณคลั่ง แต่ทหารรักษาพระองค์มากมายขนาดนั้นกลับคุมมันไม่อยู่ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่ชีอันมันดันทำตัวเชื่องเสียอย่างนั้น
ข้อสงสัยนี้แวบเข้ามาในหัวของเว่ยเยวียน แล้วถูกสะบัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
เขาเคยสืบภูมิหลังของสวี่ชีอันแล้ว ประวัติขาวสะอาด ธรรมดาไม่น่าสงสัย หากต้องเชื่อมโยงเขากับมังกรวิญญาณเข้าด้วยกัน ก็ออกจะเป็นไปไม่ได้อยู่สักหน่อย
การที่จู่ๆ มังกรวิญญาณก็สงบขึ้นมากะทันหัน สามารถใช้ ‘ระบายอารมณ์เสร็จแล้ว’ หรือ ‘ไม่อยากทำร้ายองค์หญิงหลินอัน’ มาอธิบายได้
เกรงว่าฝ่าบาทก็คงจะคิดเช่นนี้
ทั้งเชื้อพระวงศ์และขุนนางเดินทอดน่องไปทางพระราชวัง ไม่ได้ทรงเกี้ยว แล้วจู่ๆ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็พูดขึ้นว่า “อ๋องสยบแดนเหนือไม่ได้กลับเมืองจิงจ้าวมาหลายปีแล้วสินะ”
แววตาเว่ยเยวียนสาดประกายวาบ กล่าวพร้อมยิ้ม “หลายปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “หลังฤดูใบไม้ผลิปีหน้าให้เรียกตัวเขากลับมาเถอะ ข้าก็คิดถึงเขาแล้วเหมือนกัน”
…
สวี่ชีอันขับรถม้าไปตามถนนกว้างขวางในเมืองชั้นใน มีทหารหุ้มเกราะสองกองอยู่ทั้งด้านหน้าและหลังรถม้า
เว่ยเยวียนนั่งอยู่ในรถม้า
“เว่ยกง มังกรวิญญาณตัวนั้นเป็นอะไรเหรอขอรับ เลี้ยงสัตว์ร้ายที่อันตรายขนาดนี้ไว้ในเขตพระราชฐาน ไม่กลัวจะทำร้ายผู้คนเหรอขอรับ” สวี่ชีอันลองหยั่งเชิง
สุ้มเสียงอ่อนโยนของเว่ยเยวียนดังมาจากในรถม้า “มังกรวิญญาณมีนิสัยอ่อนโยนมาโดยตลอด คนที่ไม่ใช่คนในราชวงศ์ แค่ไม่ไปแตะต้องมันก็จะไม่ถูกมันโจมตีแล้ว”
“ไม่มียกเว้นเหรอขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยถามไปเรื่อย พยายามทำให้น้ำเสียงของตนดูสงบนิ่ง
ผ่านไปพักหนึ่ง เว่ยเยวียนก็เอ่ยเงียบๆ “ไม่มียกเว้น”
…สวี่ชีอันเงียบไป
หลังจากไม่เอ่ยอะไรออกมาพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็กล่าวอีกว่า “เว่ยกง ข้าสืบเรื่องบางอย่างได้ เรื่องนี้ทำให้คดีสับสนเลือนรางมากขึ้น ข้าน้อยจึงไม่แน่ใจอยู่สักหน่อยขอรับ”
“ว่ามา”
“วันนี้ข้าน้อยไปที่วัดมังกรเขียวมา ได้รู้ความลับเรื่องหนึ่งเข้า วัดมังกรเขียวมีภิกษุรูปหนึ่งสมญานามว่าเหิงฮุ่ย กว่าหนึ่งปีก่อนเขามีความสัมพันธ์กับผู้แสวงบุญหญิงนางหนึ่งที่มักจะมาที่วัดบ่อยๆ จึงแอบขโมยอาวุธเวทมนตร์ที่สามารถปกปิดกลิ่นอายชิ้นหนึ่งของวัดมังกรเขียวแล้วพากันหลบหนีไป” สวี่ชีอันบอก
“ส่วนผู้แสวงบุญหญิงนางนั้นก็คือท่านหญิงผิงหยางที่หายตัวไปนานนั้นเอง”
เสียงทุ้มต่ำของเว่ยเยวียนดังออกมาจากในรถม้า “เหตุใดเจ้าไม่กล่าวตอนมารายงานก่อนหน้านี้”
เพราะอยากไปตอแหลกับองค์หญิงใหญ่ก่อนน่ะ…อา ไม่สิ ไปสร้างความประทับใจต่างหาก…สวี่ชีอันละอายเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“ก่อนที่จะแน่ใจว่าเงื่อนงำมีประโยชน์ ข้าน้อยไม่กล้าหลอกลวงเว่ยกงหรอกขอรับ พอได้พบองค์หญิงใหญ่แล้วถึงรู้ว่าการจากไปของท่านหญิงผิงหยางอาจเกี่ยวพันกับการต่อสู้ระหว่างกลุ่มชนชั้นสูงกับกลุ่มขุนนางบุ๋นได้ ตอนนี้ข้าน้อยยังไม่กล้ารับรองว่าท่านหญิงผิงหยางและภิกษุเหิงฮุ่ยเกี่ยวข้องกับคดีซังผอขอรับ แม้ว่าบนตัวของกองร้อยโจวชื่อสวงผู้เป็นองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์จะพกอาวุธเวทมนตร์ปกปิดกลิ่นอาย แต่คนผู้นี้ก็ได้หลบหนีออกจากเมืองจิงจ้าวไปแล้ว จะเป็นอาวุธเวทมนตร์ของวัดมังกรเขียวชิ้นนั้นหรือไม่ ผู้ใดจะรู้ได้เล่าขอรับ”
เรื่องนี้เว่ยเยวียนไม่ได้ตอบกลับ
รถม้าวิ่งเข้ามาในหน่วยงานราชการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันวางบันไดไม้ขนาดเล็กลง แล้วเชิญเว่ยเยวียนลงมา
สองมือของเว่ยเยวียนซ่อนไว้ในแขนเสื้อ เหลือบมองเขาคราหนึ่งโดยที่สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ จากนั้นกล่าวว่า “ตามข้าไปที่หอเฮ่าชี่”
นี่กำลังจะสั่งสอนกันใช่ไหม สวี่ชีอันเดินตามไปอย่างจนใจ ก้าวเข้าไปในหอเฮ่าชี่ เว่ยเยวียนสั่งให้สวี่ชีอันชงชา ส่วนตนยืนชมทิวทัศน์ที่โถงสังเกตการณ์
เวลาผ่านไปทุกขณะ จนกระทั่งสวี่ชีอันตะโกนบอกว่าชงชาเสร็จแล้ว
ความจริงแล้วก็แค่ต้มน้ำกับแช่ใบชา กระบวนการง่ายมาก
เว่ยเยวียนเดินมาข้างโต๊ะแล้วเหลือบมองดูก่อนส่ายหน้าเอ่ย “แก้วแรกต้องเททิ้งก่อน ห้ามดื่มทันที จะขมเกินไป มันปกปิดความหวานของชา”
เจ้ากำลังสอนข้าทำเรื่องต่างๆ อยู่เหรอ
“ข้าน้อยเป็นคนหยาบ ไม่มีประสบการณ์…””ในหัวของสวี่ชีอันนึกไปถึงสีหน้าเย่อหยิ่งของลุงต๋า[1] แล้วใบหน้าก็เผยรอยยิ้มต่ำต้อยของโจวซิงซิง[2] ออกมา
‘แกร๊กๆ’…เว่ยเยวียนหยิบกล่องผ้าออกมาจากในแขนเสื้อ ยิ้มพลางกล่าวว่า “เปิดดูสิ”
สวี่ชีอันเปิดกล่องผ้าตามคำสั่ง ด้านในมีเม็ดยาขนาดเท่าเม็ดลำไยสีส้มใส กลิ่นหอมเข้มข้นของยาพุ่งปะทะจมูก
“นี่คือโอสถทองคำที่ฝ่าบาททรงประทานให้ ช่วยเสริมให้พละกำลังแข็งแกร่งและเพิ่มพูนพลังปราณ ราชครูหลอมอยู่หลายเดือน และหลอมออกมาได้หม้อหนึ่ง พันทองคำก็ยากจะซื้อได้” เว่ยเยวียนปิดกล่องผ้า งอนิ้วเคาะกล่อง “มันเป็นของเจ้าแล้ว”
สวี่ชีอันไม่อยากจะเชื่อ
“ของสิ่งนี้ไม่มีค่าสำหรับข้า ผลที่มอบให้จอมยุทธ์ระดับสูงมีไม่มาก คิดไปคิดมาแล้ว ตอนนี้ผู้ที่จำเป็นต้องเลื่อนระดับการฝึกตนมากที่สุดก็คือเจ้า” เว่ยเยวียนกล่าวยิ้มๆ ในเมื่อข้าเคยบอกว่าจะเลี้ยงดูเจ้า ก็ย่อมไม่ยิงธนูไร้เป้า[3]”
“ขอบคุณเว่ยกง” ความดีใจและความตื้นตันบนใบหน้าของสวี่ชีอันเปล่งออกมาจากใจ เขารู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาโดยปริยาย คำพูดมีเหตุผลน่าเชื่อถือหนึ่งประโยควาบผ่าน
‘เสียไปให้สุด แล้วจะได้ทุกอย่างที่ควรได้’
“หลังเจ้าหลอมละลายโอสถทองคำแล้ว พลังปราณคงจะเต็มตันเถียน พอถึงตอนนั้นก็จะตระหนักรู้ล่วงหน้าได้และเลื่อนขั้นจิตเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ ความก้าวหน้าในการฝึกตนของเจ้าก็จะเร็วกว่าจอมยุทธ์ระดับเดียวกันอย่างน้อยหนึ่งในสาม” เว่ยเยวียนกล่าว
นี่ก็คือข้อดีของการที่พึ่งพาองค์กรใหญ่และเกาะขาใหญ่เอาไว้นั่นเอง หากข้าเป็นผู้ฝึกตนทั่วไป เกรงว่าต้องติดอยู่ที่ระดับขั้นหลอมปราณเหมือนกับอารองแน่ๆ…สวี่ชีอันดีใจยิ่งที่วันนั้นตนเลือกได้ถูกต้องที่สุด
เพราะเห็นว่าหมายเลขเก้ากับหมายเลขหกกำลังล่ามนุษย์หมาป่ากันอยู่ จึงไม่เสี่ยงไปลองถาม แต่หันหน้าไปหาเว่ยเยวียน บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแทน
หากไม่มีเรื่องนี้ เขาคงไม่ได้รับความชื่นชมและความไว้วางใจจากเว่ยเยวียนเร็วขนาดนี้หรอก
หากไม่ได้ความไว้ใจของเว่ยเยวียน ได้แค่คำชื่นชมอย่างเดียว ก็เกรงว่าเขาคงต้องสะสมผลงานอย่างยากเย็น ไม่ได้เป็นเหมือนตอนนี้ที่บอกจะให้โอสถทองคำก็ให้เลย
“เว่ยกง ระดับต่อไปของขั้นหลอมวิญญาณคือกระดูกเหล็กผิวทองแดง เช่นนี้ควรจะฝึกฝนอย่างไรดีขอรับ” สวี่ชีอันปรึกษาอย่างระมัดระวัง
“รอให้เจ้าไปถึงระดับหลอมวิญญาณขั้นสูงสุดก่อน ปราณ โลหิต และจิตเดิมก็จะผสานกัน ตอนนั้นร่างกายและพลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถอดรูปเปลี่ยนร่างหนึ่งครั้ง ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ให้ใช้ไม้กระบองตีกระทบร่างกายทุกส่วน เหมือนช่างตีเหล็กหลอมเหล็ก เพื่อกำจัดสิ่งเจือปน ควบแน่นกลายเป็นเหล็กกล้า”
ตีกระทบร่างกายทุกส่วนเหรอ สวี่ชีอันมีข้อสงสัยและความกังวลอยู่เต็มหัว เขาอยู่ตรงหน้าเว่ยเยวียน
“นั่นเป็นวิธีโบราณ” เว่ยเยวียนหัวเราะร่าแล้วกล่าวเสริม ไยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้จอมยุทธ์ยามฝึกตนจะใช้วิธีอาบยาแทน”
สวี่ชีอันโล่งอก เอ่ยขอคำแนะนำต่อ “ตอนที่ข้าน้อยอ่านข้อมูลดู พบว่าคำบรรยายที่เกี่ยวข้องกับขั้นห้าสลายแรงมีประมาณว่า ‘มอบชีวิตจากทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ขับเคลื่อนคล้ายท่อนแขน และแยกห่างเป็นเอกเทศ’ ”
คำบรรยายนี้ไร้แก่นสารอย่างยิ่ง ร่างกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีชีวิตเป็นของตัวเอง แล้ว ‘มอบชีวิตจากทุกส่วน’ นั่นมาจากไหนกัน
สวี่ชีอันทั้งรู้สึกว่าไร้สาระ และคิดว่าเป็นเรื่องตลก
เว่ยเยวียนพิจารณาเขา สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเล็กน้อยของเขาแล้วส่ายหน้ากล่าว “วิธีการฝึกตนแบบเฉพาะรอให้ระดับขั้นของเจ้าไปถึงแล้วค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ยิ่งรู้มากยิ่งคิดมากได้ง่ายๆ จนทำให้เป็นกังวล เอาล่ะ เจ้าก็กินยาเม็ดอยู่ที่นี่ ข้าจะดูว่าโอสถทองคำเม็ดนี้จะช่วยเจ้าเติมเต็มตันเถียนได้หรือไม่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับผลเช่นนี้ ข้าคาดคะเนตามคุณสมบัติของเจ้า แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ต้องดูถึงจะรู้”
เว่ยเยวียนมีความคาดหวังบางอย่าง
สวี่ชีอันร้อง “อืม” เขาเปิดกล่องผ้าออกมาแล้วกินโอสถทองคำเข้าไป
เขาใช้แรงเคี้ยวยาอย่างหนักแล้วกลืนลงท้อง ผ่านไปพักหนึ่ง บริเวณท้องก็เริ่มร้อนผ่าวราวกับจุดไฟหนึ่งกอง
เปลวเพลิงแผดเผาส่วนท้อง เหนือกว่าขีดจำกัดที่เขารับไหวอย่างเลือนราง
เขาไม่กล้าสะเพร่า สวี่ชีอันทำสมาธิฝึกลมหายใจ โคจรพลัง ชักนำพลังความร้อนให้หมุนเวียนอยู่ในร่างกาย
ฮู ฮู…
ภายในห้องชาอันกว้างขวางมีเสียงหายใจทรงพลังราวกับลมหายใจของสัตว์ขนาดยักษ์ดังอยู่
เว่ยเยวียนหรี่ตา สังเกตดูสวี่ชีอันเงียบๆ
ผ่านไปพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็รู้สึกว่าพลังความร้อนในท้องลดลงไป พลังปราณเติมเต็มไปทั่วร่าง สภาพร่างกายดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ข้าในตอนนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีอาวุธเวทมนตร์ฆ้องทองแดงคุ้มกาย ข้าก็สามารถสังหารฆ้องเงินระดับหลอมวิญญาณให้ตายได้ด้วยดาบเดียว…สวี่ชีอันยินดีกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมาก
“ไม่เลว เจ้าเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะหาตัวจับได้ยากอย่างที่คิดจริงๆ” เว่ยเยวียนกล่าวเห็นชอบ
เขาลุกขึ้นหยิบหนังสือเล็กเล่มหนึ่งกับม้วนภาพวาดหนึ่งม้วนที่เตรียมไว้เรียบร้อยนานแล้วในชั้นหนังสือออกมา ก่อนส่งให้สวี่ชีอัน “ในหนังสือบันทึกเคล็ดวิชายามตระหนักรู้ เจ้าเรียนรู้จากในนั้น ส่วนม้วนภาพวาดนี้ก็คือของที่เจ้าจะต้องตระหนักรู้”
สวี่ชีอันคลี่ม้วนภาพวาด บนนั้นวาดภาพยักษ์ที่มีท้องฟ้าอยู่เหนือศีรษะ เท้าเหยียบดิน ท่าทางและลวดลายกล้ามเนื้อของเขาล้วนประณีตละเอียดอ่อน
แต่สิ่งทำให้ผู้คนตกตะลึงคือพลานุภาพเกรี้ยวกราดแบบโจมตีสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหยียบย่ำเก้าพสุธา ราวกับว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้
“ร่างธรรมของการตระหนักรู้จะส่งผลต่อระดับจิตใจของจอมยุทธ์ จิตวิญญาณชนิดนี้จิตรกรได้ประทับลงในภาพวาดแล้ว ข้าเลือกอยู่นาน คิดว่าร่างธรรมภาพนี้เหมาะสมกับเจ้าที่สุด” เว่ยเยวียนไม่ลืมปลูกฝังความรู้ให้กับเขา
สวี่ชีอันราวกับได้รับสมบัติล้ำค่ามา เขาเก็บหนังสือกับม้วนภาพวาดอย่างดีแล้วลองเอ่ยถาม “เว่ยกง ข้าน้อยสามารถตระหนักรู้พร้อมกับคนอื่นได้หรือไม่ขอรับ เอ่อ ข้าน้อยกับอารองของข้า”
เขาคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเว่ยเยวียน แค่พูดตรงๆ ก็พอแล้ว ไม่อาจคิดเล็กคิดน้อย เพราะมันปิดบังขันทีผู้มีสติปัญญาเข้าขั้นปีศาจผู้นี้ไม่ได้
“เจ้าแค่ต้องคืนม้วนภาพวาดกลับมาภายในสามเดือนเท่านั้น ระหว่างนั้นเจ้าจะใช้มันทำอะไรหรือเอาไปให้ใคร ข้าไม่ใส่ใจ” เว่ยเยวียนพูดจบแล้วเอ่ยเตือน
“ภาพร่างธรรมใดๆ ก็ตามล้วนมีค่าควรเมืองทั้งสิ้น ถ้าหากเสียหาย เงินเดือนอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของเจ้าก็จะไม่มีแล้ว”
ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็รู้สึกว่าภาพวาดม้วนนี้ร้อนลวกมือเป็นพิเศษ
ตึงๆๆ…เสียงฝีเท้าดังมาจากบันได หนานกงเชี่ยนโหรวเข้ามาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เมื่อมองเห็นภาพตระหนักรู้ในมือของสวี่ชีอันก็ชะงักไป เขาเอนตัวไปกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูเว่ยเยวียน
“รู้แล้ว” เว่ยเยวียนพ่นลมหายใจออกมา ใบหน้าไร้อารมณ์ “ตอนเล่นหมากเขาก็แอบส่งสัญญาณให้ข้าแล้ว จักรพรรดิของพวกเราพระองค์นี้สามารถทนต่อขุนนางกังฉินทุจริตได้ แต่อดทนต่อการท้าทายอำนาจเล็กน้อยไม่ได้”
สายลับที่เขาส่งไปแทรกอยู่ในพระราชวังถูกจับออกมาได้สามคน
สวี่ชีอันก้มหน้าเชื่อฟัง ทำเป็นไม่ได้ยิน
เว่ยเยวียนกล่าวยิ้มๆ “รออีกเดี๋ยวเถอะ ทองคำกับผ้าแพรไหมที่ฝ่าบาทตกรางวัลให้เจ้าไม่นานก็จะมาถึงแล้ว”
ยามพลบค่ำ ขุนนางรับใช้ในวังได้ส่งทองคำและผ้าแพรไหมที่จักรพรรดิหยวนจิ่งตกรางวัลมาให้ ทองคำหนึ่งพันตำลึงหนักประมาณหกสิบจิน (1 จิน มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม) ถูกใส่ไว้ในหีบใหญ่หนึ่งใบ
ผ้าแพรไหมห้าร้อยพับ แต่ละพับยาวสี่จั้ง ซ้อนอยู่เต็มสองคันรถม้า
ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในหน่วยงานยังไม่จากไป พากันมองดูเหล่าขุนนางรับใช้ในวังลากรถม้าเข้ามาในหน่วยงานอย่างแปลกใจ
สวี่ชีอันที่ได้รับรายงานออกมาต้อนรับอย่างปีติยินดี หลังรับมาแล้ว ขุนนางในวังก็ลากรถม้าจากไป
สวี่ชีอันเรียกพวกซ่งถิงเฟิงมาช่วยขนของ ให้นำทองคำและผ้าแพรไหมขึ้นรถม้าที่ยืมมาจากหน่วยงาน
“หนิงเยี่ยน เจ้ารวยแล้วนะเนี่ย” ซ่งถิงเฟิงทั้งยินดีทั้งอิจฉา เขาตบบ่าสวี่ชีอันหนักๆ
“ข้าไม่สน ค่าใช้จ่ายที่หอนางโลมเดือนหน้าเจ้าต้องเลี้ยงทั้งหมด”
สวี่ชีอันชำเลืองมองลวี่ชิงแล้วตอบอย่างโมโห “เหลวไหล แม้แต่ซ่องข้าก็ไม่ได้ไปเลยนะ”
พูดจบเขาก็เปิดหีบออกแล้วนำทองคำสี่แท่งออกมา แบ่งให้กับหลี่อวี้ชุน หมิ่นซานและหยางเฟิง กล่าวว่า “พวกเจ้านำไปแบ่งให้กับพวกพี่น้องเถอะ”
จากนั้นก็โยนให้ลวี่ชิงแท่งหนึ่งแล้วยิ้มพลางกล่าว “หัวหน้ามือปราบลวี่ อย่าปฏิเสธ”
ลวี่ชิงพยักหน้า
คนฝึกยุทธ์ช่างซื่อตรง สวี่ชีอันแย้มยิ้ม
“ขอบคุณใต้เท้าสวี่” ฆ้องทองแดงยี่สิบคนและมือปราบจากที่ว่าการหกคนตะโกนร้องยินดีแทบคลั่ง
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มุงดูอยู่ไกลๆ ต่างรู้สึกอิจฉา แทบอยากจะเข้าร่วมกลุ่มของสวี่ชีอันขึ้นมา ทองคำหนึ่งแท่งเหมือนจะห้าตำลึงทอง เมื่อแลกเป็นเงินขาวแล้วก็คือสี่สิบตำลึง ตกรางวัลทีหนึ่งถึงหนึ่งร้อยหกสิบตำลึง หัวหน้าคนไหนใจกว้างขนาดนี้บ้าง
“เงินรางวัลพวกนี้คือ…” หลี่อวี้ชุนเอ่ยถาม
“ตอนอยู่ในเขตพระราชฐานข้าช่วยองค์หญิงหลินอันเอาไว้ ฝ่าบาททรงประทานรางวัลให้ อืม รายละเอียดข้าไม่สะดวกเล่า” สวี่ชีอันตอบ
ไม่ได้ตกรางวัลเพราะความคืบหน้าคดีซังผอหรอกเหรอ
ทุกคนผงะไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเงินร้อนลวกมือ ละอายใจนัก เดิมทีพวกเขาคิดว่าฝ่าบาททรงประทานรางวัลให้สวี่ชีอันเพราะพอใจกับความคืบหน้าคดีซังผอ
สวี่ชีอันโบกมือ “สองสามวันนี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว ข้าไม่ปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานแย่ๆ หรอก”
ลวี่ชิงแย้มยิ้ม กวาดมองมือปราบของที่ว่าการด้านหลังคราหนึ่งและฆ้องทองแดงทุกคน พบว่าสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางหัวเราะดีใจออกมา
สวี่ชีอันมองซ้ายมองขวากล่าวว่า “แม่นางไฉ่เวยล่ะ”
“น่าจะกลับสำนักโหราจารย์ไปแล้ว”
ไม่หรอก นางจะต้องรื่นเริงมีความสุขอยู่ในร้านอาหารสักแห่งแน่…สวี่ชีอันคิดในใจ
หลังเลิกงาน เหล่าฆ้องทองแดงคุ้มกันของรางวัลไปยังจวนตระกูลสวี่
สวี่ชีอันขี่อยู่บนหลังม้า คิดว่ามีทองคำพวกนี้แล้ว ต่อไปแม้ว่าตนจะออกจากเมืองจิงจ้าว ที่บ้านก็มีเงินเพียงพอ ชดเชยส่วนที่ขาดไปตอนคดีเงินภาษีได้อย่างสมบูรณ์
อาสะใภ้ก็สามารถซื้อเครื่องประดับศีรษะและสวมชุดใหม่ๆ ได้อย่างมีความสุขแล้ว หลิงอินก็สามารถไปกินข้าวที่ร้านกุ้ยเยว่ได้บ่อยๆ และสินเจ้าสาวของหลิงเยวี่ย…อืม หลิงเยวี่ยยังเด็ก ไม่ต้องรีบแต่งงาน
ต่อไปเมื่อเอ้อร์หลางเข้าแวดวงราชการ ก็ไม่ถึงขั้นไม่มีเงินทองเชื่อมสัมพันธ์ คนน่าสงสารอย่างอารองก็จะได้ไม่ต้องนำเงินทั้งหมดมาจุนเจือครอบครัวแล้ว สามารถไปหอนางโลมได้หลายครั้งหน่อย
ชีวิตนี้อาสะใภ้คงไม่เคยเห็นผ้าแพรไพรมากมายขนาดนี้มาก่อนล่ะสิ…อา รู้สึกคันมือขึ้นมาหน่อยแล้ว กลับบ้านไปจะใช้ผ้าแพรไหมตบหน้านาง หรือว่าจะใช้ทองคำตบหน้านางดีล่ะเนี่ย…สวี่ชีอันอารมณ์ดีเหลือเกิน
………………………………………..
[1] ลุงต๋า (อู๋เมิ่งต๋า) นักแสดงตลกชาวฮ่องกง ภาพใบหน้ากระหยิ่มในภาพยนตร์ ‘คนตัดคน’ ของเขากลายเป็นที่พูดถึงในโลกอินเทอร์เน็ต
[2] โจวซิงซิง ตัวละครนำในภาพยนตร์เรื่อง ‘คนเล็กนักเรียนโต’ แสดงโดย โจวซิงฉือ
[3] ยิงธนูไร้เป้า สุภาษิตจีน หมายถึง กระทำหรือพูดจาเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีความหมาย