ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 192 (1) แม่หม้าย
บทที่ 192 (1) แม่หม้าย
ทันทีที่เท้าทั้งสองเหยียบลงบนโกลนม้า ม้าศึกที่ส่งมาจากค่ายทหารชิงโจวตัวนี้ก็กู่ร้อง ขาทั้งสี่ทรุดลงคุกเข่ากับพื้น สวี่ชีอันพลันบินทะยานเข้าไปในป่าทึบราวกับนกยักษ์ตัวหนึ่ง
ดาบยาวสีดำทองส่องประกาย พร้อมกับตัดหัวได้คนหนึ่ง เชือดคอจนสายเลือดพุ่งเป็นน้ำพุ
อย่าไปมอง อย่าไปมอง…ในหัวของสวี่ชีอันหวนกลับไปนึกถึงกองคาราวานที่สิ้นชีวิตอย่างน่าสังเวช ก็ใจแข็งขึ้น เขายกมือตวัดดาบคร่าชีวิตของโจรภูเขาคนแล้วคนเล่า
ด้วยพลังฝึกตนแบบครึ่งก้าวสู่ระดับหลอมวิญญาณของเขา การสังหารโจรชั่วกลุ่มนี้ก็เหมือนกับหั่นแตงหั่นผัก ทั้งยังมีดาบยาวดำทองที่คมกริบจนตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลนเล่มนี้อีก คราวนี้ก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้แม้แต่ครู่เดียว
‘ชิ้งๆ!’
ประกายดาบแผดเผาฟาดฟันมาจากด้านหลัง กิ่งไม้ใบหญ้าตามทางร่วงหล่นอย่างไร้สุ้มเสียง รอยตัดเรียบกริบ
พลังจิตอันแข็งแกร่งของสวี่ชีอันทำให้เขารับรู้ถึงการโจมตีได้ล่วงหน้า เขาจึงบิดเอวแล้วหันตัวกลับ ดาบยาวสีดำทองทำลายประกายคมดาบของชายฉกรรจ์ผู้ใช้ดาบเหล็กกล้าคนหนึ่งได้ทันท่วงที
คนผู้นั้นฟันกองทหารพยัคฆ์ทะยานที่ขวางทางอยู่ด้วยดาบเดียว แล้วแสยะยิ้มพุ่งมาหาสวี่ชีอัน ขณะเดียวกัน ชายฉกรรจ์ร่างผอมสองคนก็ถือดาบทหารมาตรฐานเข้ามาโจมตีสวี่ชีอันจากทั้งซ้ายขวา
ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่มีศัตรูขนาบสองข้างพร้อมกับชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่มุ่งเข้ามา
บนถนน เจียงลวี่จงที่หรี่ตามองดูการต่อสู้อยู่ตลอดเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะออกมา “ฝีมือของโจรสามคนนี้ไม่เลวเลย คนหนึ่งเป็นระดับหลอมปราณขั้นสูงสุด อีกสองคนมีพลังปราณอ่อนกว่าหน่อย แต่ก็ไม่ใช่พวกไก่อ่อนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับหลอมปราณ”
ได้ยินดังนั้น ฆ้องเงินคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ต้องช่วยเขาไหมขอรับ”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมองเจียงลวี่จงพร้อมกัน รอให้เขาออกคำสั่ง
สำหรับพวกเขาแล้ว สวี่ชีอันที่มีพลังฝึกตนแค่ระดับหลอมปราณไม่อาจต้านทานการล้อมโจมตีของยอดฝีมือระดับเดียวกันถึงสามคนได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอ่อนหัดอยู่มาก ฆ่าคนมาไม่เยอะ ยังขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง
บนสนามรบนั้น บางครั้งประสบการณ์ต่อสู้จริงก็สำคัญกว่าพลังฝึกตน
จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงรู้ว่าสวี่ชีอันกำลังทะลวงระดับหลอมวิญญาณ แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไร เพราะตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะอ่อนเพลีย ซึ่งส่งผลต่อพลังต่อสู้อย่างยิ่ง
เจียงลวี่จงผายมือราวกระบี่เงียบๆ จ้องมองสวี่ชีอันที่มีอันตรายรายล้อม เขาเตรียมพร้อมลงมือช่วยเหลือได้ทุกเวลา “รออีกหน่อย”
ระดับหลอมปราณสามคน…ชายฉกรรจ์ที่ใช้ดาบเหล็กกล้ามีพลังปราณกล้าแกร่ง เขาคือระดับหลอมปราณขั้นสูงสุด…อีกสองคนกลับด้อยกว่ามาก…โจรภูเขาของอวิ๋นโจวมีคุณสมบัติสูงถึงเพียงนี้เลยหรือ ถึงได้สุ่มเจอระดับหลอมปราณถึงสามคนได้ง่ายขนาดนี้
สวี่ชีอันถือดาบ สีหน้าเคร่งขรึม เขาพุ่งเข้าไปเพื่อตวัดดาบฟันชายฉกรรจ์ที่ใช้ดาบเหล็กกล้าก่อน ขณะเดียวกันนั้น ในหัวที่ระลึกถึงภาพสิงโตทองคำร้องคำราม
“โฮก!”
ลำคอของเขาส่งเสียงร้องคำรามดังลั่นออกมา สั่นสะเทือนทั้งป่าเขา สะท้านจนทำให้สองฝ่ายที่กำลังเข่นฆ่าเป็นพัลวันชะงักนิ่งไปชั่วคราว
ชายฉกรรจ์ที่ใช้ดาบเหล็กกล้ารู้สึกราวกับมีสายฟ้าระเบิดขึ้นที่ข้างหู นัยน์ตาของเขาซึมกะทือไปช่วงสั้นๆ ความคิดอ่านตกอยู่ในสภาวะชะงักงัน
เพียงการชะงักงันแค่เสี้ยววินาทีก็ตัดสินความเป็นความตายของเขาได้แล้ว
‘สวบ!’
ท่ามกลางประกายแสงคมปลาบของดาบยาวสีดำทอง ชายฉกรรจ์ผู้ใช้ดาบเหล็กกล้าถูกผ่าครึ่งทั้งเป็น อวัยวะที่ถูกฟันจนไหลเกลื่อนทั่วพื้นและผสมปนเปไปกับเลือด
หลังจากสวี่ชีอันฆ่าคนไปแล้วก็ได้ทีขี่แพะไล่ หันกายกลับมาโดยไม่ชะงักแม้แต่น้อย แล้วระลึกถึงภาพยักษ์ตัวใหญ่ขึ้นมาในหัว เพียงชั่วพริบตา เขาก็ราวกับกลายร่างเป็นเทพสงครามที่รบราไปทั่วทุกหนแห่ง พลังปราณพลุ่งพล่าน
‘เคร้ง…สวบ…’
ชายร่างผอมคนหนึ่งในนั้นตวัดดาบขึ้นมากั้น แต่ก็ถูกฟันจนหักได้อย่างง่ายดาย จากนั้นดาบยาวสีดำทองก็แทงเข้าที่หน้าอกของเขา
ชายร่างผอมอีกคนเห็นท่าไม่ดีจึงคิดหนี แต่ถูกขวางไว้ด้วยการระดมยิงจากกองทหารพยัคฆ์ทะยาน สวี่ชีอันตามไปแล้วระลึกถึงการคำรามของสิงโตทองคำอีกครั้ง มันสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็สังหารด้วยดาบเดียว
ทั้งกระบวนท่าก็ใช้เวลาเพียงสิบกว่าอึดใจสั้นๆ เช่นกัน
‘นี่มัน’ …หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ดูการต่อสู้อยู่ส่งเสียงตกตะลึงออกมา
“พลังปราณของเขาล้ำลึกทรงพลัง เหนือกว่าระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดทั่วไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่ข้าก็ยังกล้าพูดได้แค่ว่าเก่งกว่าเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ฆ้องเงินคนหนึ่งเอ่ยอย่างตื่นตะลึง
“คำถามที่เราควรสนใจก็คือ เขาเอาวิชาตระหนักรู้ของสำนักพุทธมาจากไหน นั่นมันสิงโตคำรามเลยนะ” ฆ้องเงินคนหนึ่งกล่าวเสริม
“ยังมีอีกเรื่อง เขาเหมือนจะฝึกการตระหนักรู้สองอย่างพร้อมกันเลย…ทั้งยังเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ นี่มันถึงขั้นทะลวงระดับหลอมวิญญาณได้เลยนะ”
“เขาเพิ่งจะเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้แค่สองเดือนเท่านั้นเอง”
พูดกันไปพูดกันมา เหล่าฆ้องเงินก็เงียบลง สีหน้าซับซ้อน
ปฏิกิริยาของฆ้องทองแดงนั้นเล่นใหญ่ยิ่งกว่า พวกเขาตาโตอ้าปากค้างจ้องมองเงาของสวี่ชีอัน ภาพการสังหารโจรระดับหลอมปราณสามคนจนราบคาบเมื่อครู่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัว
ถึงอยู่ระดับหลอมปราณเช่นเดียวกัน แต่พลังต่อสู้ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน และระดับหลอมปราณของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ทรงพลังยิ่งกว่าทหารทั่วไป
แต่ก็ยังไม่ถึงระดับเกินมนุษย์มนาเช่นนี้
สวี่ชีอันสามารถสังหารจอมยุทธ์สามคนได้ภายในเวลาสั้นๆ ทั้งยังไม่บาดเจ็บใดๆ อีก นี่หมายความว่าหากฆ้องทองแดงที่อยู่ที่นี่เข้าไปดวลกับเขาตัวต่อตัว คงไม่มีใครสู้ได้เกินสิบกระบวนท่าแน่ ทั้งนี้ก็รวมพลังของอาวุธเวทมนตร์ฆ้องทองแดงไปแล้วด้วย
ปกติทุกคนจะหัวเราะหยอกเย้าและนั่งอยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน แต่ตอนนี้ได้รู้ซึ้งแล้วว่าที่แท้เจ้านั่นก็สามารถสู้กับพวกเขาสิบคนได้
เจียงลวี่จงยิ่งรู้ดีว่าสวี่ชีอันยังไม่ได้ใช้เคล็ดวิชา ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ของเขาเลย
…
เมื่อจัดการโจรกลุ่มนี้เรียบร้อยแล้ว กองทหารพยัคฆ์ทะยานก็นำตัวคนธรรมดาที่ถูกมัดไพล่หลังไว้กลุ่มหนึ่งออกมาจากในป่า พวกเขามีทั้งหมด 25 คน หลังจากสอบถามดูก็รู้ถึงสถานะว่าเป็นพ่อค้า
ในจำนวนนั้นมีสตรีผู้หนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ นางไม่ได้อ่อนหวานแช่มช้อยอย่างสาวน้อย แต่อวบอิ่มมีเสน่ห์เหมือนลูกท้อฉ่ำๆ มีเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านบุปผาเท่านั้นถึงจะเข้าใจความงดงามของสตรีเจ้าเนื้อเช่นนี้
“ขอบคุณใต้เท้าทั้งหลาย ขอบคุณใต้เท้าทั้งหลาย…”
พ่อค้าที่ได้รับความช่วยเหลือสำนึกบุญคุณเป็นล้นพ้น เอาแต่คุกเข่าโขกหัวไม่หยุดหย่อน
ผู้ตรวจการจางปลอบโยนพวกเขาอย่างใจดีแล้วเปิดเผยฐานะออกมา พร้อมรับรองว่าจะส่งพวกเขากลับสู่ใจกลางของอวิ๋นโจว ซึ่งก็คือเมืองไป๋ตี้
“ฝังศพพวกนี้ให้หมด จัดระเบียบสินค้าแล้วให้นำไปพร้อมกัน” ผู้ตรวจการจางเอ่ย
เจียงลวี่จงพยักหน้า ออกคำสั่งให้กองทหารพยัคฆ์ทะยานทำงาน
“เดี๋ยว!”
สวี่ชีอันที่กำลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุกลับมาแล้วตะโกนหยุดกองทหารพยัคฆ์ทะยาน
ผู้ตรวจการจางและเจียงลวี่จงมองด้วยสายตาสอบถาม สวี่ชีอันเดินมาอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนแล้วขมวดคิ้วเอ่ย “เรื่องราวดูแปลกๆ ขอรับ”
“หือ” เจียงลวี่จงมองไปรอบๆ แล้วรวบรวมจิตสัมผัสดูพักหนึ่ง “รอบๆ ไม่มีการซุ่มโจมตีนะ”
นี่เป็นเรื่องโจรป่าดักปล้นกลางทางธรรมดาๆ เท่านั้น เรื่องเช่นนี้ล้วนเกิดขึ้นที่อวิ๋นโจวทุกวี่วัน
“ไม่ใช่ซุ่มโจมตีขอรับ” สวี่ชีอันส่ายหน้า “ข้าตรวจดูที่เกิดเหตุแล้ว พบว่าคนส่วนใหญ่ที่ตายล้วนเป็นผู้คุ้มกัน พ่อค้าและคนธรรมดาเหล่านี้กลับปลอดภัยดี สินค้าก็ไม่บุบสลาย พวกโจรปล้นชิงถึงขั้นไม่ได้ฉีกผ้าใบคลุมสินค้าเพื่อตรวจนับของที่ริบมาเลยขอรับ ใต้เท้าทั้งสองไม่คิดว่าแปลกหรือขอรับ เป็นโจรปล้นสะดม แต่กลับปล่อยให้สินค้าที่มีค่าราคาสูงกระจายไปทั่วพื้นและเพิกเฉยไปเสีย”
ผู้ตรวจการจางเอ่ยเสียงขรึม “บางทีอาจไม่มีเวลาจัดการก็ได้”
สวี่ชีอันเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดถึงมีเวลาลักพาตัวคนเล่าขอรับ ถ้าหากข้าเป็นโจร ข้าย่อมปล้นเพื่อเงินทอง สินค้าแต่ละคันรถเหล่านี้สิถึงจะเป็นเป้าหมายของข้า แม้แต่คนธรรมดาเหล่านี้ข้าก็คงจะสังหารไปด้วยแล้ว เหตุใดต้องทำเรื่องเกินจำเป็นอย่างลักพาตัวพวกเขาด้วย นอกเสียจากว่า…”
เจียงลวี่จงและผู้ตรวจการจางสบตากัน คนแรกขมวดคิ้วมุ่นแล้วกล่าวว่า “นอกเสียจากว่าเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่สินค้า แต่เป็นคน”
สวี่ชีอันพยักหน้า กวาดตามองผู้คนที่รอดตายแต่ในใจยังคงหวาดผวา “ลองถามดูคงรู้ขอรับ”
เขากวักมือเรียกพ่อค้าวัยกลางคนคนหนึ่งเข้ามาเอ่ยถาม “เจ้าเป็นผู้ใด”
“ข้าน้อยเป็นพ่อค้าผ้าไหมจากเมืองไป๋ตี้ขอรับ ข้านำผ้าไหมสองพันพับจะไปทำการค้าที่ชิงโจว เนื่องจากเส้นทางยาวไกล กลัวว่าจะเจอโจรดักปล้น จึงเดินทางไปชิงโจวด้วยกันกับกองคาราวานของท่านจ้าวขอรับ…อ้อ ท่านจ้าวหลงขอรับ คนผู้นี้มีความสามารถเป็นพิเศษ เคยเดินมาแล้วทั้งเส้นทางดำขาว โดยปกติกองคาราวานของเขามักจะปลอดภัยมากนะขอรับ
“ข้าน้อยกับเขาทำงานด้วยกันมาหลายครั้ง ใครเล่าจะคิดว่าวันนี้…เฮ้อ ล่าห่านป่ามาตลอดฤดูหนาว สุดท้ายถูกห่านจิกตาบอด[1]เสียแล้ว จ้าวหลงผู้นี้ก็เป็นคนเหมือนกัน ทั้งยังน่าเชื่อถือมาก น่าเสียดายนัก”
สวี่ชีอันมองไปยังกองคาราวานที่เป็นซากศพทันที ท่านจ้าวผู้นั้นก็อยู่ในนั้นด้วย
หลังจากสอบถามไปทีละคนๆ ก็พบว่าเป็นพ่อค้ากันหมด ทั้งยังไปทางเดียวกันด้วย สุดท้ายจึงเหลือเพียงสตรีผู้อวบอัดเท่านั้น
นางดูคล้ายอายุสามสิบต้นๆ ในยุคสมัยของสวี่ชีอัน อายุเช่นนี้ความจริงแล้วเป็นผู้หญิงวัยกำลังสุกงอมเลยล่ะ
“เจ้าล่ะ” สวี่ชีอันพินิจมองนาง “ผู้หญิงอ่อนแอตัวคนเดียวอย่างเจ้า เดินทางไปชิงโจวตามลำพังเพราะเหตุใด”
หยางอิงอิงลังเลเล็กน้อย ก่อนก้มศีรษะลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “เมื่อหลายปีก่อน สามีของข้าไปทำงานที่ชิงโจวเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้จดหมายส่งกลับมา บอกว่ากิจการที่ชิงโจวรุ่งเรืองอย่างยิ่ง จึงคิดจะกลับมารับข้าไปอยู่ที่ชิงโจวด้วยตัวเอง แต่เพราะทำการค้าจนเหนื่อยล้า จึงปลีกตัวออกมาไม่ได้ จึงให้ข้าเดินทางไปชิงโจวพร้อมกับกองคาราวานที่ไว้ใจได้ ข้าสอบถามอยู่นาน ทุกคนล้วนแต่บอกว่ากองคาราวานของท่านจ้าวนั้นดีที่สุด ทั้งปลอดภัยทั้งรักษาสัจจะเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้กล่าวได้สมเหตุสมผลมาก มองแวบแรกดูไม่มีข้อบกพร่องใด
ท่าทางออกจะสงบไปหน่อยนะ…แต่ในเมื่อเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา พอเห็นภาพเลือดชุ่มโชกเช่นนี้แล้วก็น่าจะหน้าซีดและร้องไห้เวลาพบเจอผู้คนไม่ใช่หรอกหรือ อีกอย่าง เวลาพูดสายตายังเอาแต่มองพื้นอยู่ตลอดเหมือนกับกำลังท่องจำ นี่คือท่าทางของคนไม่มีความมั่นใจ…
สวี่ชีอันกล่าว “ข้าขอถามเจ้าสักสองสามคำถาม”
หยางอิงอิงเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วก้มหน้าต่อ น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยว่า “ใต้เท้าเชิญถาม”
“สามีเจ้าชื่ออะไร”
หยางอิงอิงครุ่นคิด
“บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด”
“…”
“สามีเจ้ามีจุดเด่นบนใบหน้าใดหรือไม่”
“…”
“สามีเจ้าสูงเท่าใด”
“…”
“สามีเจ้าเขียนจดหมายว่าอะไร ขอเจ้าโปรดอธิบายให้ฟังสักหน่อย แล้วสามีของเจ้าทำธุรกิจใด”
หยางอิงอิงตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ทั้งงุนงงทั้งไร้ทางสู้ เงียบงันไปนาน นางก็ฟื้นสติกลับมา เอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “สามีของข้าน้อยนามว่า…”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว” สวี่ชีอันกวักมือเรียกกองทหารพยัคฆ์ทะยาน “ค้นตัวนาง”
“???” หยางอิงอิงมองเขาทำตัวไม่ถูก การกระทำของใต้เท้าผู้นี้อยู่เหนือความคาดหมายของนางโดยสิ้นเชิง
นางถอยหลังอย่างตื่นกลัว สองแขนกอดทรวงอกเอาไว้ กัดริมฝีปาก สีหน้าอับอาย
“คิดนานไปแล้ว” สวี่ชีอันพินิจดูสตรีงามเปี่ยมเสน่ห์ด้วยรอยยิ้มหยี “ภรรยาคนหนึ่งยังต้องคิดตั้งเนิ่นนานถึงจะบอกชื่อแซ่และลักษณะเด่นของสามีออกมาได้ เช่นนั้นคนอื่นจะเชื่อถือได้อย่างไร คำโกหกใช่ว่าสร้างออกมาสุ่มๆ สองสามคำแล้วจะทำให้คนเชื่อถือได้ หากเจ้าไม่อยากถูกค้นตัวจงบอกความจริงมา เหตุใดโจรภูเขาเหล่านี้ถึงต้องมาขวางเจ้า”
หลังจากตีด้วยไม้ท่อนใหญ่ สีหน้าของหญิงสาวก็ค่อยๆ ซีดขาว สวี่ชีอันเอ่ยปลอบโยน “ใต้เท้าของข้าเป็นผู้ตรวจการที่มาจากราชสำนัก ในอวิ๋นโจวแห่งนี้ไม่มีขุนนางใดใหญ่ไปกว่าเขาแล้ว มีเรื่องอะไรแค่พูดออกมาเท่านั้น”
หยางอิงอิงมองไปยังผู้ตรวจการจาง ซึ่งคนหลังก็พยักหน้าเอ่ย “ข้ารับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งเพื่อไปตรวจสอบอวิ๋นโจว เจ้าเป็นสตรีชาวบ้านธรรมดา ไม่คุ้มที่จะหลอกลวงขุนนางอย่างข้าหรอก”
หยางอิงอิงก้มหน้าลง ชั่งน้ำหนักครั้งแล้วครั้งเล่าก็รู้ตัวว่าตนไม่มีทางเลือก จึงกัดฟันคุกเข่าลงกับพื้นทันใด
“ข้าน้อยหยางอิงอิง ครั้งนี้เดินทางไปชิงโจวก็เพื่อหลีกเลี่ยงภัยที่จะมาถึงตัว ขณะเดียวกันก็จะไปหาใต้เท้าหยางสมุหเทศาภิบาลแห่งมณฑลชิงโจวเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับสามีข้าและแก้แค้นด้วยเจ้าค่ะ”
ผู้ตรวจการจางไม่ได้พูดในทันที เขาเงียบงันไปพักหนึ่ง “สามีเจ้าคือผู้ใด เหตุใดต้องไปขอความเป็นธรรมจากใต้เท้าหยาง”
หยางอิงอิงร้องไห้ “สามีของข้าน้อยนามว่าโจวหมินเจ้าค่ะ”
ผู้ตรวจการจางเอ่ยเสียงหลง “อะไรนะ?!”
สวี่ชีอันและเจียงลวี่จงหันหน้าไปมองหยางอิงอิงทันใด
โจวหมิน สายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เสียชีวิตอยู่ที่อวิ๋นโจวผู้นั้น ผู้ที่เปิดโปงว่าผู้บัญชาการหยางชวนหนานแห่งอวิ๋นโจวสมคบคิดกับโจรภูเขา และลักลอบส่งทรัพยากรทางทหารเพื่อหาผลประโยชน์ เลี้ยงโจรเพื่อเสริมตำแหน่งตน
จดหมายลับถูกส่งไปเมืองหลวงได้ไม่นาน เขาก็ตายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียแล้ว
………………………………
[1] ล่าห่านป่ามาตลอดฤดูหนาว สุดท้ายถูกห่านจิกตาบอด หมายถึง มั่นใจมากเกินไปจนประมาทเลินเล่อและประสบเคราะห์