ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 2 ปีศาจก่อปัญหา
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว “เจ้าจะเอาไปเพื่อการใด”
ข้าต้องการคลี่คลายคดี… สวี่ชีอันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าอยากรู้ต้นสายปลายเหตุของคดี ถ้าข้าจะต้องตาย ข้าก็อยากจะรู้สาเหตุที่ข้าโดนลงทัณฑ์ มิฉะนั้นข้าจะไม่ยอมจำนน”
พูดคำว่าคลี่คลายคดีออกไปตรงๆ สวี่ซินเหนียนอาจคิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว ดังนั้นสวี่ชีอันจึงเปลี่ยนวิธีพูดใหม่
อย่างไรสวี่ชีอันก็เป็นคนที่ทั้งดื้อรั้นและหัวแข็งอยู่แล้ว
สวี่ซินเหนียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ข้าได้อ่านสำนวนคดีแล้ว สามารถเล่าให้เจ้าฟังได้…”
สองสามวันที่ผ่านมาเขาวิ่งเต้นเพื่อสกุลสวี่ แต่เนื่องจากนี่เป็นคดีใหญ่เกินไปจึงไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ขณะที่เขารู้สึกจนใจกับการยื่นอุทธรณ์ที่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล สวี่ซินเหนียนก็เปลี่ยนความคิด ลองแก้ไขสถานการณ์ด้วยการตามล่าเงินภาษีกลับคืนมา
สวี่ซินเหนียนอาศัยสายสัมพันธ์กับสำนักศึกษาและเส้นสายที่มีอยู่เดิมของสกุลสวี่พร้อมกับติดสินบนเจ้าพนักงานให้คัดลอกสำนวนคดีมาให้เขา
แต่เขาไม่มีประสบการณ์ในการตัดสินคดีอาญาและการสืบสวนแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงต้องทิ้งมันไปด้วยความจนใจ
สวี่ชีอันยกมือขึ้นตัดบท “เจ้าไปคัดลอกมา การเล่าด้วยวาจาไม่มีความหมาย”
รายละเอียดคดีทั้งหมดอยู่ในสิ่งที่เขียน ต้องผ่านการพินิจพิเคราะห์ ทบทวน หากแบ่งพลังงานส่วนหนึ่งไปกับการฟัง สมองก็จะไม่สามารถพิจารณาและวิเคราะห์อย่างรอบคอบได้
ความสามารถในการให้เหตุผลเชิงตรรกะของสวี่ชีอันนั้นถือเป็นทักษะที่ดีที่สุดในชาติก่อนและโดดเด่นที่สุดในบรรดานักเรียนชั้นปีเดียวกัน
หากเป็นเมื่อก่อนสวี่ซินเหนียนไม่มีทางสนใจเขาแน่ แต่เมื่อคิดว่าพี่น้องจากกันครั้งนี้บางทีอาจเป็นการจากลาชั่วนิรันดร์
เขาจึงรับปากคำขอร้องสุดท้ายของพี่ชายแล้วกระซิบว่า “รอสักประเดี๋ยว”
จากนั้นจึงเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เสียงฝีเท้าหายไปตามทางเดิน สวี่ชีอันนั่งพิงลูกกรง ในใจรู้สึกหวาดหวั่น
เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ ความคิดที่จะคลี่คลายคดีนั้นเป็นเพียงความหวัง แต่การไม่ยอมจำนนนั้นเป็นความจริง
หนทางช่วยเหลือตัวเองที่คิดออกมีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ต้องลองดู พยายามดิ้นรนก่อนจะสิ้นลมหายใจดูสักตั้ง
วิธีการสืบสวนและสอบสวนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในปัจจุบัน การตรวจสถานที่เกิดเหตุ การควบคุมสอดส่อง และการชันสูตรพลิกศพ เป็นองค์ประกอบสำคัญสามประการที่จะขาดไม่ได้
คดีเงินภาษีที่สูญหายไม่มีใครเสียชีวิต ในสมัยโบราณก็ไม่มีกระบวนการควบคุมสอดส่อง และเขากำลังถูกจองจำ องค์ประกอบสำคัญสามข้อข้างบนไม่มีสักข้อที่ถูกแตะต้อง
โชคดีที่สำนวนคดีสามารถทำให้กลับไปสู่สถานที่เกิดเหตุได้ในระดับหนึ่ง
เขากำลังย่อยความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไปพร้อมกับการบังคับตัวเองให้กำจัดอารมณ์เชิงลบให้หมด มีเพียงสมองที่นิ่งสงบเท่านั้นจึงจะสามารถมีความคิดที่แจ่มแจ้งและชัดเจน อนุมานได้อย่างแม่นยำ
“จะอยู่หรือตาย มันขึ้นอยู่กับขั้นตอนต่อไป…” เขาพึมพำเบาๆ
เวลาหนึ่งก้านธูป (หนึ่งก้านธูป เท่ากับเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในปัจจุบัน) ค่อยๆ ผ่านไป สวี่ซินเหนียนก็กลับมาด้วยท่าทางรีบร้อน ยื่นกระดาษที่น้ำหมึกยังไม่แห้งสองสามใบให้เขา
“หมดเวลาแล้ว ข้าต้องไปแล้ว” สวี่ซินเหนียนลังเลครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าดูแลตัวเองด้วย”
สวี่ชีอันไม่ได้พูดอะไร ดวงตาของเขาถูกดึงดูดด้วยลายมือบนกระดาษเหล่านั้น
ช่วงเวลาเร่งรีบ ลายมือบนกระดาษเป็นการเขียนแบบหวัด ถ้าหากสวี่ชีอันไม่เคยเรียนโรงเรียนเอกชนมาหลายปีก็คงอ่านตัวอักษรยึกยือพวกนี้ไม่ออก
“การเรียนหนังสือก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน เพราะเจ้าของร่างเดิมเป็นคนไม่รู้หนังสือ…จบอย่างสวยงาม” สวี่ชีอันเย้ยหยันตัวเอง
ต้นสายปลายเหตุของคดีเงินภาษีที่สูญหายเป็นดังนี้
‘สามวันที่แล้ว ยามเหม่าสองเค่อ[1] (6:30 น.) สวี่ผิงจื้อคุ้มกันเงินภาษีไปยังเมืองหลวง ยามเฉิน[2]หนึ่งเค่อ เมื่อเดินทางถึงถนนกว่างหนาน ขณะกำลังข้ามสะพานไปทันใดนั้นก็มีลมแปลกๆ พัดมา ฝูงม้าต่างตกใจวิ่งลงไปในแม่น้ำข้างถนน
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงระเบิดดังสนั่น แม่น้ำพุ่งสูงถึงหกจั้ง (1 จั้งประมาณ 3.33 เมตร) และคลื่นขุ่นซัดสูงเสียดฟ้า
ทหารที่รับผิดชอบคุ้มกันเงินภาษีกระโดดลงไปในแม่น้ำเพื่อค้นหาเงิน แต่หาคืนมาได้แค่เพียงหนึ่งพันสองร้อยสิบห้าตำลึงเงินเท่านั้น ส่วนเงินที่เหลือนั้นสูญหายไป…’
นอกจากต้นสายปลายเหตุของคดีแล้วยังมีคำให้การที่รวบรวมมาจากผู้คนที่สัญจรไปมาในเมืองจิงจ้าวและคำให้การจากทหารที่เข้าร่วมหน่วยคุ้มกัน
ในคำให้การทั้งหมดสวี่ชีอันสังเกตเห็นประโยคที่เขียนด้วยพู่กันหมึกชาดสีแดงว่า ‘ปีศาจก่อปัญหา!’
“ปีศาจก่อปัญหา?!” รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัว ใจตกลงไปที่ตาตุ่ม
…
ห้องโถงด้านหลัง เมืองจิงจ้าว
หลังจากวิ่งวุ่นสามวันติดต่อกัน บุคคลสำคัญสามคนที่รับผิดชอบเงินภาษีที่สูญหายก็มารวมตัวกัน
เฉินฮั่นกวางข้าหลวงเมืองจิงจ้าวถือถ้วยชากระเบื้องลายครามในมือ จับฝาถ้วยปาดที่ขอบถ้วยเบาๆ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม
ขุนนางระดับสี่ชั้นเอกที่สวมเสื้อคลุมสีแดงปักลายห่านป่าถอนหายใจเบา ๆ “เหลือเวลาอีกสองวัน จักรพรรดิมีรับสั่งให้ข้าตามล่าเงินภาษีกลับคืนมาให้ได้ก่อนที่จะตัดศีรษะสวี่ผิงจื้อ ใต้เท้าทั้งสองท่านต้องเร่งมือแล้ว”
ทั้งสองท่านที่ข้าหลวงเฉินกล่าวถึง คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนในเครื่องแบบสีดำและเสื้อคลุมสีดำ จมูกโด่ง เบ้าตาลึกเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน มีสายเลือดของชนเผ่าหนานหมานครึ่งหนึ่ง
อีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้ารูปไข่ สวมชุดสีเหลือง ดวงหน้างดงาม ผิวพรรณขาวผ่อง กิริยาท่าทางงดงาม
นางถืออ้อยอยู่ในมือหนึ่งลำ สะพายกระเป๋าหนังกวางและเข็มทิศฮวงจุ้ยไว้ที่เอว ที่ชายกระโปรงสวมรองเท้าปักลายก้อนเมฆ แกว่งเท้าไปมา
ทั้งสองท่านนี้เป็นผู้ช่วยคลี่คลายคดี ชายวัยกลางคนชื่อหลี่อวี้ชุน เป็น ‘หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล’ ที่ขุนนางในราชสำนักต้าฟ่งต่างหวาดกลัว
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนี้ทำหน้าที่สอดแนม จับกุมนักโทษ และสอบสวน เป็นต้น และยังมีส่วนร่วมในการรวบรวมข่าวสารทางการทหารและปลุกระดมให้เกิดการกบฏขึ้นในฝ่ายศัตรู เป็นต้น ซึ่งไม่ได้อยู่ในสังกัดของหกกรมและไม่ได้อยู่ในสังกัดทางการทหาร เป็นหน่วยข่าวกรองของราชวงศ์ และยังเป็นเหมือนเครื่องตัดคอที่แขวนอยู่เหนือศีรษะของขุนนางทุกระดับ
ขุนนางทั้งหมดของต้าฟ่งล้วนเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘กลางวันไม่ทำเรื่องเลวร้าย กลางคืนไม่ต้องกลัวหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล’
ส่วนหญิงสาวในชุดกระโปรงสีเหลืองเป็นคนของสำนักโหราจารย์ ฐานะไม่ต่ำต้อย เป็นลูกศิษย์ของหัวหน้าสำนัก
ชายวัยกลางคนที่ปักฆ้องเงินบนหน้าอก เหลือบมองไปบริเวณปลายเท้าที่เต็มไปด้วยชานอ้อยที่หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเหลืองคายออกมาแล้วขมวดคิ้ว หมุนฝ่ามือหนึ่งครั้งก็เกิดกระแสลมหมุนเวียน รวมชานอ้อยไว้ในที่เดียว
ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อย เผยให้เห็นความปีติยินดีแวบหนึ่ง
จากนั้นจึงตอบข้าหลวงเฉินด้วยสีหน้าหนักใจว่า “คดีนี้คลุมเครือแปลกประหลาดยิ่งนัก บางทีพวกเราอาจจะกำลังหลงทาง”
“ใต้เท้าหลี่หมายความว่าอย่างไร” ข้าหลวงเฉินขมวดคิ้ว วิเคราะห์คดีมาจนถึงเวลานี้ ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเป็นฝีมือของปีศาจที่ก่อปัญหาปล้นเงินภาษีไป
“พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว สิ่งที่ควรทำเวลานี้คือรีบจับกุมปีศาจที่ก่อปัญหาให้เร็วที่สุด อย่าคิดเกี่ยวกับเรื่องเหลวไหลเหล่านี้อีกเลย” ข้าหลวงเฉินกล่าว
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ท้องพระคลังว่างเปล่า เกิดทุพภิกขภัยบ่อยครั้ง เงินภาษีหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงินเทียบเท่ากับการจัดเก็บภาษีของอำเภอทั่วไปเป็นเวลาหนึ่งปี
ความพิโรธของจักรพรรดินั้นสามารถเข้าใจได้
‘ข้าไม่มีเงินขนาดนี้ เจ้ายังทำให้ข้าย่ำแย่หนักกว่าเดิมอีก น่าโมโหยิ่งนัก’
ข้าหลวงเฉินรับคดีนี้มาด้วยความระมัดระวัง ภาระบนบ่ากดดันจนทำให้ระยะนี้เขาถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า ไม่มีอะไรจะโต้แย้ง แต่กลับพูดว่า “มีความคืบหน้าเกี่ยวกับสวี่ผิงจื้อหรือไม่”
ข้าหลวงเฉินส่ายหน้า “ชายชาติทหารคนหนึ่งได้แต่โอดครวญว่าถูกใส่ร้าย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงินภาษีสูญหายไปได้อย่างไร”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเหลืองพูดเรียบๆ ว่า “ข้าทำนาย ‘ดวงชะตา’ ของเขาแล้ว เขาไม่ได้โกหก”
หลี่อวี้ชุนและข้าหลวงเฉินพยักหน้าและไม่ได้พูดถึงคนผู้นี้อีก
ในฐานะนักโทษ สวี่ผิงจื้อจึงถูกสอบสวนและทรมานเป็นคนแรก ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสถานการณ์ทางการเงิน เป็นต้น ล้วนถูกสอบสวนควบคู่ไปกับการทำนายดวงชะตาของสำนักโหราจารย์ เวลานี้ได้ขจัดความสงสัยไปหมดแล้ว
แน่นอนว่าการสูญหายของเงินภาษีถือว่าสวี่ผิงจื้อบกพร่องต่อหน้าที่ คงหนีไม่พ้นโทษประหารชีวิต
ชายวัยกลางคนและข้าหลวงเฉินต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม รู้สึกหนักใจ
มีเพียงหญิงสาวในชุดกระโปรงสีเหลืองที่มีความกดดันน้อยที่สุด หญิงสาวแทะอ้อยอย่างไม่คิดอะไรมาก
ในเวลานี้มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา เจ้าหน้าที่ของทางการคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ มือขวาถือกระบอกไม้ไผ่ลำเล็ก มือซ้ายถือถุงกระดาษไข ข้างในมีซาลาเปาไส้เค็มร้อนระอุลูกใหญ่
เจ้าหน้าที่ของทางการส่งกระบอกไม้ไผ่ให้ก่อน
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเหลืองไม่ได้รับไว้ ดวงตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวเหลือบมองไปที่ถุงซาลาเปาไส้เค็มลูกใหญ่
เจ้าหน้าที่ของทางการสลับลำดับอย่างรู้ดีว่าควรทำอย่างไร หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเหลืองกัดซาลาเปาไส้เค็มอย่างมีความสุข จากนั้นจึงรับกระบอกไม้ไผ่มาแล้วดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา เริ่มอ่านว่า
“คนของข้าบอกว่าตลอดเส้นทางยี่สิบลี้ไม่พบกลิ่นอายของปีศาจในแม่น้ำ และบนฝั่งก็ไม่พบร่องรอยใด”
‘ปัง!’
ในที่สุดบรรยากาศที่แสนอึดอัดก็ระเบิดออกมา ข้าหลวงเฉินตบโต๊ะด้วยความโมโห ใบหน้าที่โกรธขึ้งเปลี่ยนเป็นสีเขียว “เงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงินจะหายไปไหนได้ อย่างไรมันก็ต้องขึ้นฝั่ง ต้องขึ้นฝั่ง แต่นี่สามวันแล้วไม่พบแม้กระทั่งร่องรอยของอีกฝ่าย”
“บัดซบ ปีศาจที่ไหนกล้ามาเอาเงินภาษีของต้าฟ่งไป ข้าจะกำจัดมันให้สิ้นซาก!”
ตามล่าเงินภาษีกลับคืนมาไม่ได้เขาก็ต้องกลายเป็นหนังหน้าไฟ จักรพรรดิคงไม่สนพระทัยว่าเขาจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ เมื่อนั่งในตำแหน่งนี้ก็จะต้องเป็นหนังหน้าไฟ
แวดวงขุนนางก็เป็นเช่นนี้ ปีนขึ้นมาด้วยความยากเย็น แต่กลับตกลงไปอย่างง่ายดาย
หลี่อวี้ชุนชายวัยกลางคนถอนหายใจ พูดถึงเรื่องเมื่อครู่ต่อเลย “เป็นไปได้ไหมว่าเราสืบสวนผิดทาง มันอาจจะไม่ใช่ฝีมือของปีศาจก็ได้”
ข้าหลวงเฉินมองมาที่เขา หายใจเข้าลึกๆ ระงับความโกรธในใจ “ไม่ใช่ปีศาจแล้วลมปีศาจมาจากไหน ทำไมเงินถึงไหลลงแม่น้ำและหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุใดจึงเกิดคลื่นสูงหลายจั้งจนทำให้สองฟากฝั่งแตกเป็นเสี่ยงๆ”
…………………………………..
[1] ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00 น.ถึง 07.00 น. หนึ่งเค่อ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที ในที่นี้นักเขียนระบุเพิ่มมาว่าเป็น 6.30 น.
[2] ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07.00 น.ถึง 09.00 น.