ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 217 สวี่ชีอัน ‘ข้าโล่งใจแล้ว’
บทที่ 217 สวี่ชีอัน ‘ข้าโล่งใจแล้ว’
สวี่ชีอันก้มหน้ามองกระจก รออยู่พักหนึ่ง ผู้ที่ตอบกลับเป็นคนแรกคือหญิงสาวเอวบางหมายเลขห้าจากซินเจียงตอนใต้
หมายเลขห้า ‘อวิ๋นโจวอยู่ห่างจากพวกเราทางนี้ไกลพอสมควร ข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้’
นางคิดว่าหมายเลขสองขอความช่วยเหลือจากในสามมิติงั้นหรือ หมายเลขห้าคงจะนอนละเมอแล้ว ทว่าไอคิวผู้นี้ก็เหลือทนจริงๆ…มุมปากสวี่ชีอันกระตุก
ต่อด้วยหมายเลขหกเหิงหย่วน ‘เกิดอะไรขึ้น ใต้เท้าสวี่ที่อวิ๋นโจวเป็นอย่างไรบ้าง’
หลี่เมี่ยวเจินตอบไปก่อนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่กลับไม่ได้รีบร้อนประกาศรายละเอียดของคดีราวกับกำลังรอบางสิ่ง
นางกำลังรอข้าหรือว่ารอหมายเลขหนึ่งไม่ก็หมายเลขสี่ ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น…พวกรับหน้าที่เป็นมันสมองของกลุ่มไม่เอ่ยอะไร นางก็ไม่เปิดปากหารือรายละเอียดของคดี…สวี่ชีอันเข้าใจความคิดของหมายเลขสอง จึงช่วยเขียนแทนและกรอกข้อมูลลงไป
‘ลองบอกมาว่าคดีของอวิ๋นโจวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว’
หลี่เมี่ยวเจินผ่อนลมหายใจ ปลุกเร้าจิตใจ หากมีเพียงหมายเลขห้าและหมายเลขหกตอบกลับ เช่นนั้นนางก็ไม่พร้อมจะพูด
ตอนนี้ข้อความขั้นตอนของคดีทั้งหมดถูกกรอกลงไปในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีอย่างละเอียด
ข้อมูลมีจำนวนมากเกินไป นางส่งเป็นระยะๆ ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีจึงจะเล่าเหตุการณ์ได้กระจ่าง
สิ่งที่ตอบกลับหลี่เมี่ยวเจินคือความเงียบของสวี่ชีอัน ขณะที่นางกังวลและร้อนใจเล็กน้อย ในครั้งนี้หมายเลขหนึ่งที่มักแอบซุ่มก็เป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน
‘หนีไม่พ้นความเป็นไปได้สองประการ ประการแรก จริงๆ แล้วเหลียงโหย่วผิงไม่ใช่คนของพรรคฉี การที่เขาส่งสมุดบัญชีให้สวี่ชีอันคงมีแผนอื่นแอบแฝง ประการที่สอง เหลียงโหย่วผิงหายตัวไปแล้ว’
เหลียงโหย่วผิงหายตัวไปแล้ว…หลี่เมี่ยวเจินขบคิดคำพูดของหมายเลขหนึ่ง ประการที่สองดังกล่าวเป็นไปได้ว่านางอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เมื่อคำนึงถึงความน่าเชื่อถือ นางจึงส่งข้อความบอก ‘เป็นไปได้หรือไม่ที่หยางชวนหนานกับเหลียงโหย่วผิงเป็นพวกเดียวกันและกำลังแสดงกลยุทธ์ทุกข์กาย[1]’
หมายเลขหนึ่ง ‘มีความเป็นไปได้น้อย กฎระเบียบของวงราชการครั้งนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไรหยางชวนหนานก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบ อยู่ที่ว่าจะหนักหรือเบาเท่านั้น หากเจ้าเป็นหยางชวนหนาน เจ้าจะกระโดดลงหลุมที่ขุดไว้เองหรือ เหลียงโหย่วผิงสังหารผู้เตรียมการคนก่อน เผาทำลายส่วนที่มีปัญหาในสมุดบัญชี…ข้าเห็นด้วยกับการคาดเดานี้ ดังนั้นเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นคนของพรรคฉี’
บัดนี้หมายเลขสี่ได้แสดงความเห็นแล้ว ‘ดังนั้นหมายเลขหนึ่งคิดว่าสำนักพ่อมดเข้าสู่ห้วงฝัน สอบปากคำที่อยู่ของเหลียงโหย่วผิงจากสองฆ้องทองแดง มีความเป็นไปได้มากว่าเหลียงโหย่วผิงหายตัวไปแล้ว’
การวิเคราะห์ของหมายเลขหนึ่งได้เปิดลู่ทางความคิดให้สวี่ชีอัน
เหลียงโหย่วผิงได้หายตัวไป ดังนั้นคนของสำนักพ่อมดจึงต้องการหาเขาให้พบโดยเร็วงั้นหรือ เพราะหากเขาตกไปอยู่ในมือของ ‘ศัตรู’ เช่นนั้นคงเผยข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตนออกไปมากมาย…
ผู้บงการอยู่เบื้องหลังของอวิ๋นโจวผู้นั้นเข้าใจว่าเหลียงโหย่วผิงถูกพวกเราจับกุมแล้ว ดังนั้นจึงสั่งให้คนของสำนักพ่อมดมาสอบปากคำในห้วงฝัน…ข้ากับอาซ่งและอาจูเคยติดต่อกับเหลียงโหย่วผิง ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นคนจับกุมเหลียงโหย่วผิง เพราะข้าตื่นอยู่ตลอด ดังนั้นจึงทำได้เพียงเข้าสู่ห้วงฝันสอบปากคำซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยว…
ทว่าล่วงเลยมาสามวันถึงจะมาสอบปากคำงั้นหรือ?
หลี่เมี่ยวเจินกำกระจกหยกใบเล็กเอาไว้ รออยู่พักหนึ่งก็ไม่เห็นหมายเลขสามแสดงความเห็นสักที เขาเพียงเพิ่งจะเริ่มถามก็ไร้เสียงตอบกลับตามมา สิ่งนี้ทำให้หลี่เมี่ยวเจินร้อนใจเล็กน้อย
หมายเลขสามเป็นคนปราดเปรื่องยิ่ง ความคิดเห็นและมุมมองของเขาไม่เพียงแต่เป็นคำตอบมาตรฐาน ทว่าก็ชี้ทางสว่างให้ผู้คนได้มากพอเช่นกัน
หมายเลขสอง ‘หมายเลขสาม เจ้าหลับอีกแล้วหรือ เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับคดีนี้’
ข้านั่งมองอยู่นี่ไง…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ
เขารู้ว่าสมาชิกคนอื่นในพรรคฟ้าดินก็กำลังรอความเห็นของเขาอยู่เช่นกัน จึงส่งข้อความบอก ‘ข้าก็มีข้อสงสัยเช่นกัน พ่อมดขั้นหกมีพลังในการพยากรณ์โชคชะตา เหตุใดจึงบอกที่อยู่ของเหลียงโหย่วผิงไม่ได้ นอกจากนั้นพ่อมดยังมีพลังสาปสังหาร สมมติว่าเหลียงโหย่วผิงสมคบคิดกับอีกฝ่าย หลังจากที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายหายตัวไป อาจจะแพร่งพรายความลับ การฆ่าปิดปากก็เป็นทางเลือกที่แน่นอนที่สุด’
หมายเลขสี่ ‘ข้าจะตอบคำถามนี้เอง วิชาสาปสังหารของพ่อมดทำได้เพียงพุ่งเป้าไปยังเป้าหมายที่มีระดับต่ำกว่าตน จำกัดอยู่ที่ระดับของเหลียงโหย่วผิง น่าจะมีคนปกป้องเขา เป็นผู้ใดก็มิอาจทราบ คนที่ทำแบบนี้ได้มีมากมาย ส่วนพลังในการพยากรณ์โชคชะตา ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสูงของระบบขั้นสูงล้วนมีวิธีการรับมือกับการพยากรณ์ที่พุ่งเป้ามายังตน ทว่าก็มิอาจคุ้มครองผู้อื่นได้ เว้นเสียแต่ระบบหนึ่ง’
เมื่อกล่าวเช่นนี้หมายเลขสี่ก็ชะงัก ไม่กี่วินาทีต่อมาจึงเอ่ยขึ้น ‘โหรของสำนักโหราจารย์’
ราวกับสายฟ้าผ่าลงกลางใจทุกคน
โหรของสำนักโหราจารย์? สวี่ชีอันตกตะลึง
หมายเลขสอง ‘หมายเลขสี่ เจ้าจะบอกว่าผู้ที่ลักพาตัวเหลียงโหย่วผิงคือโหรของสำนักโหราจารย์งั้นหรือ’
หมายเลขสี่ ‘หึๆ การคาดเดาทั้งหมดนี้ล้วนต้องเป็นข้อสันนิษฐานแรกที่เหลียงโหย่วผิงหายตัวไป’
หมายเลขหนึ่ง ‘หากเหลียงโหย่วผิงถูกโหรของสำนักโหราจารย์จับตัวไปจริง เช่นนั้นเหตุใดผู้ตรวจการจางจึงไม่ทราบ หรือว่าเขาจงใจปิดบังหมายเลขสอง’
หมายเลขสอง ‘ไม่เหมือนปิดบัง พวกเขาน่าจะไม่รู้จริงๆ ’
หมายเลขสี่ ‘นี่ก็ยิ่งควรค่าแก่การพิจารณา ทว่ามีจุดหนึ่งที่พวกเราต้องระมัดระวัง พวกเราคาดเดาจุดนี้ได้ คนของสำนักพ่อมดก็ต้องคิดได้เช่นกัน อย่างไรเสียโหรก็ควบคุมวิชาพยากรณ์และสาปสังหาร ดังนั้นจึงมีการสอบปากคำในห้วงฝันในค่ำคืนนั้น เพื่อลองเชิงว่าเหลียงโหย่วผิงตกไปอยู่ในมือของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้วหรือยัง การลองเชิงเช่นนี้คงไม่ทำเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง พวกเราสามารถซ้อนแผนได้ ตลบหลังผู้บงการเบื้องหลังกลับ เจ้าบอกเรื่องนี้กับผู้ตรวจการจาง เขารู้ว่าควรจะทำอย่างไร’
หมายเลขหนึ่งแสดงความเห็นต่อ ‘ยังมีอีกจุดหนึ่ง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามมาลองเชิงก็แสดงว่าเตรียมให้เหลียงโหย่วผิงตกไปอยู่ในมือของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยในสายตาของพวกเขา การตกไปอยู่ในมือของโหรสำนักโหราจารย์หรือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็มีค่าเท่ากัน หากเป็นเช่นนี้เห็นจะต้องเตรียมการแผดเผาหยกงามและก้อนกรวดไปพร้อมกัน เอาไว้ให้ดีเสียแล้ว’
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจสวี่ชีอันกับหลี่เมี่ยวเจินก็ตื่นตระหนก
หากเป็นแบบนี้จริงๆ เช่นนั้นมีแต่ต้องลงมือก่อนจึงจะได้เปรียบ จะจับตัวขโมยต้องจับหัวหน้าเสียก่อน…สวี่ชีอันคิดในใจ
ทว่าการวางแผนแก้ปัญหาตรงหน้า จะต้องหาผู้บงการเบื้องหลังให้พบเสียก่อน มิฉะนั้นศัตรูอยู่มุมมืด ข้าอยู่ที่สว่างก็ไร้วี่แวว
บัดนี้หมายเลขหนึ่งเอ่ยถาม ‘แม้คดีนี้จะยุ่งยาก ทว่าด้วยความสามารถของสวี่ชีอันก็คงจะไม่ถึงกับหมดปัญญาสู้เสียหรอก’
หมายเลขหนึ่ง พูดได้ก็พูดให้มากหน่อย ถ้าไม่ได้ก็ไปออกหนังสือสักเล่มเสีย…สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนตนถูกเลีย ช่างสบายเสียจริง
หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับ ‘เขากำลังปะทะกับระดับหลอมวิญญาณ สภาพค่อนข้างย่ำแย่’
หมายเลขหก ‘ใต้เท้าสวี่ปะทะกับระดับหลอมวิญญาณเร็วเยี่ยงนี้เลยหรือ ก่อนที่จะออกจากเมืองหลวง ยังอยู่ห่างจากจุดสูงสุดของระดับหลอมปราณเล็กน้อย ข้าคิดว่าจะเขาเลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณก็ต้องต้นฤดูใบไม้ผลิ ช่างเป็นพรสวรรค์ที่น่าทึ่งยิ่ง’
เหตุผลมีเพียงตัวของสวี่ชีอันที่รู้ นับแต่เขาเลื่อนเป็นระดับหลอมปราณ ก็มีปัญหากองใหญ่อยู่ข้างกาย เวลาที่บำเพ็ญเพียรยังมีน้อยอีก
ระหว่างรีบเดินทางไปยังอวิ๋นโจว นอกเสียจากคุยโวกับสหายข้าราชการ เวลาส่วนใหญ่ล้วนน่าเบื่อนัก ทำได้เพียงบำเพ็ญเพียร จึงพัฒนาอย่างรวดเร็วเยี่ยงปาฏิหาริย์
หมายเลขหนึ่ง ‘ไม่สิ พรสวรรค์นี้พอที่จะเรียกได้ว่าสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วประเทศ’
เดิมทีทุกคนมิได้แยแสนัก อย่างไรเสียระดับหลอมวิญญาณขั้นเจ็ดก็ไม่เท่าไร แต่ละคนในพรรคฟ้าดินล้วนเป็นอัจฉริยะ ไอคิวสูง คำพูดคำจาก็น่าฟัง นักรบระดับหลอมวิญญาณมิอาจพัดกระพือลูกคลื่นอะไรได้
ทว่าพอได้ยินหมายเลขหนึ่งกับหมายเลขหกเอ่ยเช่นนี้ จึงแห่กันมาสนใจ รวมถึงหลี่เมี่ยวเจินที่เคยติดต่อกับสวี่ชีอันในสามมิติ
หมายเลขสี่ ‘ฟังน้ำเสียงของเจ้าทั้งสอง ฆ้องทองแดงผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา หรือเขาเป็นอัจฉริยะ’
เหิงหย่วนครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับ ‘ไม่น่าใช่ ทว่าเขาเคยพบข้ายามที่ออกจากเมืองหลวง สภาพเขาตอนนั้นน่าจะเลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณในต้นฤดูใบไม้ผลิ ไม่คิดว่าจะเร็วเยี่ยงนี้ หมายเลขหนึ่งน่าจะเข้าใจเขามากกว่า’
หมายเลขหนึ่ง ‘ครั้งก่อนข้าเคยเล่าภูมิหลังของเขา ทว่าตอนนั้นไม่ได้บอกพวกเจ้า สวี่ชีอันคนนี้ยามที่เข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็อยู่แค่ระดับหลอมจิต จนกระทั่งตอนนี้คิดรวมทั้งหมดก็สองเดือน’
ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรมากมาย ทุกคนล้วนได้ยินข่าวใหญ่ที่แฝงอยู่ในประโยค
สองเดือนก้าวข้ามไปหนึ่งระดับ ไม่ว่าจะอยู่ระบบใดหรือพลังแบบใดก็ล้วนเป็นอัจฉริยะระดับสุดยอด
หมายเลขสี่อดคิดไม่ได้ว่าหมายเลขสามน่าจะเป็นญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน สาเหตุที่ปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าอาจจะเกี่ยวข้องกับญาติผู้น้องคนนี้ ตอนนี้ก็มีสวี่ชีอันผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้ปรากฏขึ้นอีก บ้านสกุลสวี่จากเมืองหลวงนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นดาวดวงใหม่ที่ทะยานขึ้นอย่างช้าๆ ของเมืองหลวงในอนาคตอันใกล้
นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้ญาติผู้น้องคนนั้น หรือจริงๆ แล้วคิดจะกินเรียบทั้งพี่ทั้งน้อง
หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง ในวันนั้นที่หมายเลขหนึ่งบอกนาง ทั้งหมดล้วนกล่าวถึงสวี่ชีอันคลี่คลายคดีได้เก่งกาจอย่างไร ทว่ากลับไม่ได้กล่าวถึงด้านพรสวรรค์
ไม่รู้ว่าเขาอดนอนอยู่กี่วันกี่คืน จู่ๆ หลี่เมี่ยวเจินก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมา
หมายเลขห้า ‘ยังพอได้ ทะลวงหนึ่งขั้นในสองเดือน’
หมายเลขห้าที่พูดสอดไม่ได้มาตลอดส่งข้อความแสดงความเห็น
หมายเลขสาม ‘นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ’
สวี่ชีอันเปิดใช้บัญชีสำรองแสร้งให้ตนดูเก่ง
หมายเลขห้า ‘หืม ข้าก็ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนี่นา ทว่าข้าเองก็ข้ามไปหนึ่งขั้นในสองเดือนเช่นกัน ตอนนี้ข้าเตรียมบ่มเพาะมิ่งกู่ ซึ่งเป็นระดับของขั้นหก จากขั้นแปดไปขั้นหกข้าก็ใช้เวลาเพียงสี่เดือน’
‘?’
ในหัวของทุกคนปรากฏเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆ
สี่เดือนข้ามไปสองขั้น สองเดือนข้ามหนึ่งขั้นได้สบายๆ…ดูเหมือนเหล่าสมาชิกในพรรคฟ้าดินจะรู้เหตุผลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนเชิญหมายเลขห้าเข้าร่วมพรรคฟ้าดินแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินกลิ้งไปมาบนเตียงด้วยความตื่นเต้น กำหมัดชูขึ้นอย่างแรง การขอความช่วยเหลือจากสมาชิกพรรคฟ้าดินเป็นทางเลือกที่ถูกต้องจริงๆ
หมายเลขหนึ่งที่มีความคิดล้ำลึก หมายเลขสี่ที่มีประสบการณ์ท่วมท้น และหมายเลขสามที่ฉลาดเฉลียวยิ่ง ด้วยความพยายามอันเป็นหนึ่งเดียวกันของพวกเขาก็จำแนกสายใยเหตุการณ์ของคดีได้กระจ่างอย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้ ถึงขั้นคิดหาวิธีรับมือต่อไปไว้ให้นางแล้ว
…
วันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันมาทานอาหารเช้าที่ห้องโถงพร้อมกับขอบตาที่ดำคล้ำ ไม่นานนักผู้ตรวจการจางกับเจียงลวี่จงพร้อมด้วยคนอื่นๆ ก็ลงมา
หลี่เมี่ยวเจินปรากฏตัวเป็นคนสุดท้าย สวมเกราะอ่อน แบกปืนสีเงิน สะโพกคาดดาบ ผมที่รวบเป็นทรงหางม้าสูงอันงดงามแกว่งไปมา เสน่ห์อันงามล่มเมืองตามท้าย
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวหันหลังกลับอย่างรู้กัน หันท้ายทอยให้ซูซู
หลี่เมี่ยวเจินมุ่งตรงไปที่โต๊ะของผู้ตรวจการจางกับเจียงลวี่จง ชำเลืองมองสวี่ชีอันก่อน แล้วเชิดคางเรียวแหลมขึ้นอย่างผยองเล็กน้อยพร้อมเอ่ย
“ข้าคลี่คลายคดีนี้ได้แล้ว!”
ผู้ตรวจการจางกับเจียงลวี่จงสบตากัน สายตาของผู้ตรวจการจางเป็นประกายเล็กน้อย “พวกเราไปคุยกันที่ห้อง หนิงเยี่ยนเจ้าก็มาด้วย”
ภายในห้องหลี่เมี่ยวเจินเล่า ‘บันทึกสนทนา’ ให้ฟังอย่างสมจริงสมจัง ผู้ตรวจการจางกับเจียงลวี่จงที่ฟังก็ตะลึงงัน
“แม่ทัพหลี่ช่างละเอียดประหนึ่งเส้นผม ข้าเลื่อมใส” ผู้ตรวจการจางจิตใจฮึกเหิม ความอิดโรยจากการอดนอนก็จางหายไปไม่น้อย
เจียงลวี่จงจ้องมองแม่ทัพหญิงรูปโฉมงดงามใบหน้าทรงเมล็ดแตง[2]ด้วยความทึ่ง
หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะอย่างสำรวม ทันใดนั้นก็หันหน้ามองสวี่ชีอัน “ดูเหมือนเจ้าจะไม่เห็นด้วยกับการอนุมานของข้างั้นหรือ”
เหลวไหล พวกเราเป็นกลุ่มสหาย เจ้าจะเสแสร้งอะไรต่อหน้าข้า…เห็นอยู่ชัดๆ ยังจะเสแสร้ง…สวี่ชีอันให้ความร่วมมือด้วยการแสดงสีหน้าตื่นตระหนกและเลื่อมใส พร้อมเอ่ยยกย่อง
“การจัดการคดีและความสามารถในการอนุมานของแม่ทัพหลี่แกร่งกล้ายิ่งกว่าข้าเสียอีก สวี่ผู้นี้เลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง”
หลี่เมี่ยวเจินยิ้มเล็กน้อย “ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าตนจะมีพรสวรรค์ในการคลี่คลายคดีด้วย”
นางคิดว่าต่อหน้ายอดฝีมือเช่นสวี่ชีอันผู้นี้ การกดหัวเขาช่างรู้สึกดีเหลือเกิน
สวี่ชีอันก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน เพราะหากในอนาคตตัวตนถูกเปิดเผยแล้ว เขาคงจะเผชิญการตายตกทางสังคมไม่หยุดหย่อน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกว่าอนาคตเต็มไปด้วยแสงสว่างไปชั่วขณะหนึ่ง…สวี่ชีอันหัวเราะ
…
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ผู้ตรวจการจางก็กำลังเตรียมตัวไปสำนักกองทหารพยัคฆ์ทะยาน สุดท้ายกองทหารพยัคฆ์ทะยานก็เข้ามารายงานก่อน
“ท่านผู้ตรวจการจาง สมุหเทศาภิบาลซ่งพาขุนนางจำนวนมากมาเยี่ยมเยียน”
ผู้ตรวจการจางสบตากับเจียงลวี่จงและคนทั้งสามอย่างเงียบๆ ทันที
ประจักษ์ชัดว่าเหล่าขุนนางของอวิ๋นโจวมาเพื่อเรื่องของผู้บัญชาการหยางชวนหนานที่ถูกจับตัวไปเมื่อคืน ทว่าจากการเจรจาเมื่อครู่นี้ พวกเขาจึงตื่นตัว
บางทีนี่อาจเป็นการลองเชิงอย่างหนึ่งก็ได้ การลองเชิงที่มาจากผู้บงการเบื้องหลัง
……………………………………………………
[1] กลยุทธ์ทุกข์กาย หมายถึง การทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บเพื่อให้ศัตรูหลงเชื่อ
[2] ใบหน้าทรงเมล็ดแตง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หน้าทรงไข่ห่าน เป็นใบหน้าที่เล็กเรียว คางเชิดแหลมเล็กน้อย โหนกแก้มโค้งมน ใบหน้าเป็นรูปทรงวงรี อวบอิ่มเหมือนไข่หรือเมล็ดแตงโม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูปหน้าในอุดมคติของสาวจีน เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ความงามแบบดั้งเดิมของจีน โดย ‘ตี๋ลี่เร่อปา’ นักแสดงหญิงชาวจีนก็มีใบหน้าทรงนี้