ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 225-1 การเสียสละของสวี่ชีอัน (1)
บทที่ 225-1 การเสียสละของสวี่ชีอัน (1)
เสียงการฆ่าฟันดังขึ้นทันที กองทหารพยัคฆ์ทะยานที่เฝ้าอยู่ข้างนอกกับเหล่ากบฏของกรมทหารม้าได้เปิดฉากต่อสู้กัน มีทั้งเสียงหน้าไม้ เสียงปืนไฟ และเสียงอาวุธที่ปะทะกัน…
เสียงดังลอดเข้ามาในหูของฝูงชนอย่างชัดเจน
ระยะไกลมีกบฏ ระยะใกล้มีพ่อมดแห่งความฝัน นี่เป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ซึ่งทำให้สีหน้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยิ่งตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ หัวใจก็จมลงสู่ก้นบึ้ง
ยังดีที่ต่างก็เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมากประสบการณ์ เคยประสบการนองเลือดและการเข่นฆ่าจนชิน พร้อมทั้งมีความทะเยอทะยานสูงส่ง
“คุ้มกันฆ้องทองคำเจียงและผู้ตรวจการจางเข้าไปในห้องโถง” ฆ้องเงินแซ่จ้าวเอ่ยเสียงดัง พร้อมกับชักกระบี่ออกมา
เจียงลวี่จงดึงแขนเสื้อของอีกฝ่ายแน่น อยากเอ่ยเช่นนั้นแต่แรก แต่ฆ้องเงินอีกท่านซึ่งอยู่ด้านหน้าเขาชิงเอ่ยเสียก่อน
“ใต้เท้า ข้าทราบดี พ่อมดแห่งความฝันไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ระยะประชิด ตราบใดที่ระวังอย่าให้เขาสัมผัสโดนผม เนื้อหนังและเลือด เขาก็จะไม่สามารถใช้วิชาเข่นฆ่าได้”
ฆ้องเงินแซ่ทังฉีกยิ้มพลางเอ่ย “ใช่แล้ว ใต้เท้า เขาไม่อาจเอาชนะนักรบระดับสี่เช่นพวกเราได้ หากเรายังเอาชนะพ่อมดแห่งความฝันระดับสี่ไม่ได้อีก อย่างนั้นก็น่าอับอายยิ่งนัก”
พวกฆ้องทองแดงเห็นหัวหน้าของตนมีความมั่นใจเช่นนี้ พวกเขาก็โล่งใจ
วิธีการของพ่อมดแห่งความฝันนั้นแปลกประหลาด รู้เพียงว่าเขาไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ซึ่งหน้า ณ จุดนี้ ในฐานะฆ้องทองแดง พวกเขารู้ข้อมูลของอีกฝ่ายเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ขัดกับความคาดหวังของฆ้องทองแดง คิดไม่ถึงว่าเจียงลวี่จงจะไม่ยอมปล่อยมือ ในวันปกติแล้วฆ้องทองคำท่านนี้ทำตัวราวกับเทพเจ้า แม้แต่จะยืนยังไม่มั่นคง ทว่าเขายังคงดึงแขนเสื้อของฆ้องเงินท่านนั้นไว้แน่น
“หนีไปซะ!” เจียงลวี่จงเอ่ย
ฆ้องเงินแซ่จ้าวหันกลับมาพร้อมฉีกยิ้มเอ่ย “ใต้เท้า ท่านจะให้พวกข้าพาท่านผู้ตรวจการหนีไปเห็นทีคงทำไม่ได้ขอรับ”
เจียงลวี่จงส่ายหน้า “พาผู้ตรวจการจางไปด้วยพวกเจ้าคงหนีไม่พ้น ข้าจะให้พวกเจ้าหนีไปเสีย”
“ฆ้องทองคำเจียงไม่ต่อสู้สักยกแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแพ้” ฆ้องทองแดงท่านหนึ่งเอ่ย น้ำเสียงของเขาดังมาก ราวกับเป็นการให้กำลังใจตนเองเช่นกัน
ฆ้องเงินแซ่จ้าวดึงแขนเสื้อกลับมาอย่างแรง ดึงจนเจียงลวี่จงเซไปมา
ฆ้องเงินแซ่ทังพยุงเขาไว้ ถอนหายใจพลางเอ่ย “ครั้นกลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว ท่านต้องเลี้ยงสุราพวกข้านะขอรับ”
สุดท้ายฆ้องเงินท่านนั้นไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงหันไปคารวะเจียงลวี่จง
มือข้างหนึ่งของฆ้องเงินแซ่จ้าวยกด้ามกระบี่ ส่วนอีกมือหนึ่งชักหน้าไม้ออกมาจากเอวก่อนจะเหนี่ยวไก เสียงจากการดีดสายดัง ‘ปัง’ พ่นลูกธนูปลายแหลมคมออกมาเป็นจำนวนมาก
‘ปังๆๆ…’
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ ต่างพากันยกหน้าไม้ขึ้นยิงอย่างพร้อมเพรียง
ผู้ตรวจพิสูจน์ศพที่กลายเป็นหุ่นเชิดร้องคำรามอยู่ตรงหน้าเจ้าเมือง ไม่สนลูกธนูที่พุ่งเข้าใส่ร่างกายจนทะลุไปถึงด้านหลัง
“ไปตายซะ!”
ฆ้องเงินจ้าวทะยานขึ้นสูงมากกว่าสิบลี้ ท่ามกลางเสียงอิฐสีเขียวที่แตกร้าว กระบี่ด้ามยาวขนาดมาตรฐานที่อยู่ในมือพลันปล่อยพลังปราณออกมาในอากาศ
‘สวบ!’
หุ่นเชิดผู้ตรวจพิสูจน์ศพถูกตัดออกเป็นสองท่อนทันที ครั้งนี้เส้นเลือดสูบฉีดแรง พยายามจะรวมร่างกายเขาไว้ด้วยกันอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ
เจ้าเมืองผู้เป็นพ่อมดแห่งความฝันหลบเลี่ยงคมกระบี่ได้อย่างยืดหยุ่น แรงกระบี่ที่แหลมคมทำให้พื้นดินฉีกขาดออกจากกันและกระจายไปจนถึงขั้นบันไดทางเข้าห้องโถง ทำให้เกิดเสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น
ฆ้องเงินอีกสองท่านตามเข้ามาโจมตี พวกเขาก้มตัววิ่งอย่างบ้าคลั่งและรวดเร็วยิ่งจนเหลือเพียงภาพติดตา และร่วมมือกันฆ่าพ่อมดแห่งความฝัน
ขณะที่เข้าโจมตีในเวลาเดียวกัน ข้อมูลเกี่ยวกับระบบพ่อมดปรากฏในความคิดของฆ้องเงินทั้งสอง
เกิดความขัดแย้งขึ้นเป็นครั้งคราวระหว่างต้าฟ่งและสำนักพ่อมด ข้อมูลของพ่อมดต่ำกว่าระดับสี่ไปจนถึงระดับสี่ ต่างมีเก็บรวบรวมไว้ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างละเอียดทีเดียว
พ่อมดระดับเก้าสามารถแปลงร่างมนุษย์ให้กลายเป็นหุ่นเชิดได้ เสริมด้วยวิชาลับเพื่อกระตุ้นความสามารถ การเผาไหม้เลือดบริสุทธิ์ทำให้มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งในชั่วพริบตา ยิ่งยกระดับเพิ่มมากขึ้นเท่าใด ความเร็วการเผาไหม้เลือดบริสุทธิ์ยิ่งรวดเร็วเท่านั้น จนกว่าไฟจะมอดดับลง
ขณะเดียวกัน พ่อมดระดับเก้ายังสามารถกระตุ้นศักยภาพจากมิตรสหายที่อยู่รอบๆ ได้ ขณะเดียวกันก็นำการเผาไหม้เลือดบริสุทธิ์เป็นการแลกเปลี่ยน ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า ‘วิญญาณโลหิต’
ความสามารถด้านการควบคุมของพ่อมดระดับเก้าคือคำสาป ของที่เป็นสื่อนำ และคำสาปเพื่อฆ่าเป้าหมาย อย่างเช่น ช่วงเวลาตกฟากของวัน เดือน ปีและเวลาเกิด ของใช้ส่วนตัว รวมไปถึงเลือดเนื้อเป็นต้น ดังนั้นพ่อมดระดับเก้าจึงถูกเรียกว่า ‘ปรมาจารย์แห่งคำสาป’
ข้อดีก็คือแปลกประหลาดยากจะคาดเดา และยากที่จะป้องกัน
ข้อเสียคือแค่สามารถสาปแช่งและฆ่าเป้าหมายที่มีขอบเขตต่ำกว่าของตนเองเท่านั้น
สมญาของพ่อมดหมายเลขเก้าคือ ‘คนทรง’ สามารถควบคุมซากศพและภูตผี ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจทางตอนเหนือหรือต้าฟ่งในสนามรบล้วนได้รับความทุกข์ทรมานจากคนทรงทั้งนั้น
พ่อมดระดับหกเรียกว่า ‘หมอดู’ เชี่ยวชาญวิชาพยากรณ์ แสวงหาโชคและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ขอบเขตของพ่อมดระดับนี้สามารถใช้สองคำเท่านั้นเพื่ออธิบาย คือมั่นคงและสมมติ รวมถึงใช้หนึ่งประโยคอธิบาย คือบุคคลที่มีความมั่นคงและมากประสบการณ์ เมื่อออกไปข้างนอกไม่จำเป็นต้องดูปฏิทินโหราศาสตร์ แค่คำนวณดวงชะตา ก็สามารถรู้ความโชคดีหรือร้ายของวันนี้แล้ว
พ่อมดระดับห้าเรียกว่า ‘ผู้ถวายเครื่องบูชา’ สามารถทำพิธีกรรมเพื่อเรียกวิญญาณบรรพบุรุษและควบคุมด้วยตนเองได้ หากวิญญาณที่ถูกอัญเชิญเป็นทหาร เช่นนั้นเครื่องเซ่นไหว้ก็ต้องเป็นทหารหนึ่งนาย หากเป็นนักพรต เครื่องเซ่นไหว้ก็คือนักพรตหนึ่งท่าน
ส่วนขีดจำกัดคือ สามารถเรียกวิญญาณที่อยู่ในระดับเดียวกันกับตนได้เท่านั้น
พ่อมดระดับสี่คือ ‘พ่อมดแห่งความฝัน’ ขอบเขตความสามารถของเจ้าเมืองท่านนี้คือการเดินเข้ามาในความฝัน ฆ่าคนโดยไร้ตัวตน วิธีที่ใช้ได้ผลหากพบเจอพ่อมดแห่งความฝันก็คือห้ามนอนหลับ แค่ไม่ให้โอกาสให้เขาได้จัดพิธีกรรมและอัญเชิญดวงวิญญาณมาประทับร่าง ก็เอาชนะได้แล้ว! ฆ้องเงินจ้าวให้กำลังใจตัวเอง
เวลานี้ เขาได้ยินเสียงพึมพำ พอหันกลับไปมองอย่างกะทันหัน พบว่าเป็นขุนนางที่ถูกมองข้ามท่านหนึ่ง เขากรีดข้อมือของตนเอง ก่อนใช้เลือดวาดลวดลายที่แปลกประหลาดและซับซ้อนลงบนพื้น ปากก็พึมพำคาถาบางอย่างซึ่งเข้าใจได้ยาก
ฆ้องเงินจ้าวตกตะลึง
พริบตาเดียวต่อมา พลังปราณที่ทรงพลังพลันปรากฏอยู่ภายในร่างเจ้าเมือง ควันมืดดำปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา เป็นเงาคนที่เลือนรางเงาหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน คมกระบี่ของฆ้องเงินทั้งสองถูกตัดออกจากกัน
กระบี่เล่มยาวได้เฉือนเสื้อผ้าและฟันไปบนร่างเจ้าเมือง เสียงกระทบโลหะที่รุนแรงปะทุขึ้น ร่างเงาดำที่อยู่เหนือศีรษะของเขาสั่นคลอนเล็กน้อย
ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง
“ใครบอกพวกเจ้าว่าพิธีกรรมต้องให้พ่อมดเป็นผู้กระทำด้วยตนเอง ความจริงแล้ว หุ่นเชิดก็สามารถทำได้”
พ่อมดแห่งความฝันที่มีร่างเงาด้านบนเป็นใบหน้าท่านเจ้าเมืองหัวเราะเยาะ พลางยกมือขึ้น คว้าคอของฆ้องเงินทั้งสองไว้แน่น ตามด้วยเสียงดัง ‘กร๊อบ’ ฆ้องเงินทั้งสองสิ้นลมหายใจในทันที
พ่อมดระดับสี่สังหารฆ้องเงินทั้งสอง ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการบีบมดสองตัวให้ตายหรอกหรือ
“ไอ้สารเลว!”
ภายในห้องโถงใหญ่ มีเสียงคำรามที่ชวนให้ใจเต้นแรงดังออกมา เหมือนกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ใกล้จะสิ้นหวัง
นั่นคือความกราดเกรี้ยวทว่าไร้อำนาจของเจียงลวี่จง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยความโกรธ
พวกฆ้องทองแดงที่ยังมีชีวิตอยู่ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักว่าฆ้องเงินหลายท่านเพียงเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับพวกเขาเท่านั้น
พ่อมดไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิดจริง แต่ระดับสี่ก็ยังคงเป็นระดับสี่ แตกต่างแค่ช่องว่างระหว่างขอบเขตทั่วไป เรียกได้ว่าสู้ระยะประชิดไม่ชำนาญเมื่อเทียบกับผู้อื่นในระดับเดียวกัน
“มัวขี้ขลาดอยู่ไยกัน”
ฆ้องเงินจ้าวตะโกนเสียงดังไปยังพวกฆ้องทองแดงที่ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความตื่นตระหนก
ในเวลานี้ฆ้องเงินผู้นี้ที่รู้แต่กิน ดื่ม เที่ยวหอนางโลม และเล่นการพนัน ยังคงถือดาบของเขาไว้มั่นเหมือนนักรบที่ยอมสู้จนตัวตาย
“เวลาสองก้านธูป พวกเราต้องต่อสู้เพื่อฆ้องทองคำเจียงเป็นเวลาสองก้านธูป นับแล้วยังมีเวลาอีกเยอะ” ฆ้องเงินจ้าวตะโกนสั่ง
“หนวกหู”
……………………………..