ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 225-2 การเสียสละของสวี่ชีอัน (2)
บทที่ 225-1 การเสียสละของสวี่ชีอัน (2)
“แกว่งเท้าหาเสี้ยน” หลังจากตะลึงงันไปชั่วขณะ พ่อมดแห่งความฝันก็หัวเราะออกมา
‘ตึง ตึง!’ สวี่ชีอันกระโดดลงจากกำแพง ถือกระบี่ยาวสีดำทองที่ท่านโหราจารย์มอบให้ กัดฟันเอ่ย “ผู้ที่แกว่งเท้าหาเสี้ยนคือเจ้าต่างหาก เจ้าลูกหมา”
“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ามาทำไม” สีหน้าของเจียงลวี่จงเปลี่ยนไปอย่างมาก “มารดาของเจ้าส่งมาตายหรืออย่างไร เจ้าช่วยพวกเราไม่ได้หรอก ไป รีบหนีไปเสีย”
ข้ายังจะหนีพ้นอยู่หรือ…สวี่ชีอันคิดในใจ
ความจริงแล้วเขาหนีไปไม่ได้ เพราะพ่อมดแห่งความฝันพันธนาการเขาไว้แล้ว เขากำหมัดอย่างช้าๆ ควันดำเหนือศีรษะส่ายขยับเล็กน้อย ราวกับกำลังสะสมพลังอยู่
“หนิงเยี่ยน นี่เจ้า…” ผู้ตรวจการจางหลับตาลง “เจ้ากำลังทำอะไร”
สวี่ชีอันไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย ใช้จิตสื่อสารหาไต้ซือเสินซู
“ไต้ซือ รีบช่วยข้าสังหารคนผู้นี้ที”
“ไต้ซือ”
“บัดซบ ไต้ซือ ท่านอยู่หรือเปล่า ท่านอย่าแกล้งข้าสิ”
“ไต้ซือ มารดาข้าเถอะ…”
กลุ่มหมัดถาโถมเข้าใส่ใบหน้า กระแสลมและเสียงคำรามพัดเข้ากกหู
ตอนนี้เอง พลันมีเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังไปทั่ว “สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา”
ใต้ฝ่าเท้าของสวี่ชีอัน มีลวดลายเป็นระลอกส่องสว่าง ยกสิ่งกีดขวางที่โปร่งแสงขึ้นมา
‘ตูม!’
พลังปราณกำลังระเบิดด้านนอกสิ่งกีดขวางออก เสียงของการระเบิดนั้นดังอื้ออึง อิฐสีเขียวที่วางอยู่บนพื้นถูกยกลอยขึ้นทันที ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
ห้องโถงใหญ่ของกองสมุหเทศาภิบาลทรุดตัวไปกว่าครึ่ง เกิดเสียงดังกึกก้อง
อาการหูอื้ออยู่เป็นเวลานานผ่านพ้นไป สวี่ชีอันได้ยินเสียงคำรามของเจียงลวี่จง “หยางเชียนฮ่วน เจ้าเองก็อยู่ที่อวิ๋นโจว เหตุใดถึงได้เฝ้านิ่งดูดาย เหตุใดเมื่อครู่เจ้าไม่ลงมือเล่า”
สวี่ชีอันหันกลับมาทันที พลางเห็นเงาร่างในชุดขาวหันหลังให้พวกเขาอยู่
การที่หยางเชียนฮ่วนปรากฏตัวเขาไม่แปลกใจเลย เพียงอยากเอ่ยว่า ‘ไอ้ผีทะเล ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที’
สวี่ชีอันสงสัยมานานแล้วว่าโหรที่ลักพาตัวเหลียงโหย่วผิงซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของใครสักคนในสำนักโหราจารย์ เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นหยางเชียนฮ่วนมากที่สุด
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงด้วย
‘ข้าน้อยแซ่หยางกระทำมาทั้งชีวิต แล้วจะอธิบายให้คนอื่นฟังด้วยเหตุใด’ ประโยคนี้ปรากฏในใจของหยางเชียนฮ่วนแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป เขาถอนหายใจพลางเอ่ยอธิบาย
“ข้ามาอวิ๋นโจวเพราะคำสั่งของท่านอาจารย์ ไม่นานก็จะไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
ท่านโหราจารย์ให้ภารกิจเขาคือเฝ้าดูสวี่ชีอันให้ดี
สวี่ชีอันอยู่ที่ไหน เขาก็อยู่ที่นั่น
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเมื่อฆ้องเงินหลายคนถูกฆ่าตาย
“ข้าจะพาพวกเจ้าออกไป” ลวดลายภายใต้ฝ่าเท้าหยางเชียนฮ่วนขยายกว้างขึ้น ปกคลุมสวี่ชีอัน รวมถึงผู้ตรวจการจางและคนอื่นๆ
“ฮึ!”
ลวดลายแตกสลายด้วยเท้าพ่อมดแห่งความฝันด้วยฝ่าเท้าเดียว “หยางเชียนฮ่วน คิดจะช่วยคนที่อยู่ในกำมือของข้า เจ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอหรอก”
คำตอบของหยางเชียนฮ่วนคือ “สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา”
“อวดดี!” หนวดเคราแพะของพ่อมดแห่งความฝันสั่น เหมือนกับจะโมโหแล้ว
“จะไปหรือไม่” หูของสวี่ชีอันมีเสียงหยางเชียนฮ่วนดังเข้ามา “ข้าสามารถพาเจ้าไปได้แค่คนเดียว ยิ่งคนมาก การเรียกใช้ลวดลายจะยิ่งถูกทำลาย”
มุมปากสวี่ชีอันกระตุก “เจ้ายังมีอีกหนึ่งวิธี พาคนผู้นี้ไป”
“แต่ข้างนอกยังมีพวกกบฏหลายร้อยคน” หยางเชียนฮ่วนตักเตือน
“ข้ารู้” สวี่ชีอันตอบ
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ หยางเชียนฮ่วนก็เอ่ยตอบ “ได้”
เขากระทืบเท้าอย่างแรง ลวดลายแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว คราวนี้ มีเพียงพ่อมดแห่งความฝันเท่านั้นที่ถูกห่อหุ้มไว้ กว่าเขาจะตอบสนองกลับมา ทั้งสองก็หายตัวไปจากที่เดิมแล้ว
“พาเขาออกไปต่อสู้กันเองที่นอกเมืองนะ” สวี่ชีอันเอ่ยตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไม่มีการตอบกลับ
สวี่ชีอันนำร่างฆ้องเงินทั้งสองเข้าไปในห้องโถง ค่อยๆ วางไว้ปลายเท้าเจียงลวี่จง “ขออภัยที่ข้ามาช้าไป”
“ท่านไม่ควรมา” เจียงลวี่จงพูดเสียงขรึม
แต่ว่าข้ามาแล้วนี่นา…สวี่ชีอันอยากจะเล่นมุก แต่คำพูดของเขากลับกลายเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น
พวกฆ้องทองแดงช่วยพยุงกันเข้าไปในห้องโถง ทำการนั่งสมาธิเพื่อรักษาบาดแผล
เจียงลวี่จงเหลือบมองไปที่ฆ้องทองแดงที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ยังมีความโล่งใจอยู่บ้าง แต่เสียงการต่อสู้ภายนอกที่คลุมเครือยังไม่สิ้นสุดลง ทำให้เขาตระหนักได้ว่าทุกคนยังหลีกหนีจากภัยอันตรายไม่พ้น
“สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้ตรวจการจางมองออกไปด้านนอก
“มีกบฏประมาณสี่ร้อยถึงห้าร้อยนาย ตอนที่ข้าบุกฝ่าเข้ามา กองทหารพยัคฆ์ทะยานได้รับความเสียหายจนสิ้นแล้ว”
ฆ้องทองแดงลืมตาขึ้น ดวงตาของพวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ” ผู้ตรวจการจางหัวเราะอย่างขมขื่น “ดูเหมือนจะหนีชะตากรรมไม่พ้นเสียแล้ว ข้าทำผิดต่อองค์จักรพรรดิและทำลายความไว้ใจจากเว่ยกง”
“ท่านไม่ได้ทำผิดต่อพวกเขา แต่ท่านผิดต่อฆ้องเงินทั้งสามที่เสียชีวิตไปเท่านั้น” สวี่ชีอันเหลือบมองเขา พลางเดินไปยังธรณีประตู
“หนิงเยี่ยน เจ้าไปเสียเถอะ ด้วยพลังการต่อสู้ของเจ้า คงสามารถหลบหนีไปจากห้องโถงด้านหลังได้” เจียงลวี่จงดวงตาแดงก่ำ พลางเอ่ยเร่งเร้า
“ไป ไป ไป รีบไปเร็วเข้า วันนี้ข้าจะตายที่นี่พร้อมกับลูกน้องของข้า เจ้าคือคนที่เว่ยกงชื่นชอบ หากเจ้าตายอยู่ที่นี่ เว่ยกงต้องขุดหลุมฝังศพข้าเป็นแน่”
“ยังพอมีความหวัง หากพวกเรายืนหยัดต่อไปต้องมีคนมาช่วยแน่” ในสายตาของสวี่ชีอัน มองเห็นเงาของกบฏเริ่มฝ่าการโจมตีใกล้เข้ามาแล้ว
เขาหันหน้ากลับไปคารวะผู้ตรวจการจาง “ท่านผู้ตรวจการเป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีน้ำเน่าอยู่เต็มท้อง แต่ท้ายที่สุดแล้วในใจยังคงนึกถึงประชาชนเป็นหลัก ข้าเกลียดโลกใบนี้ แต่ข้าดีใจ ที่ได้เห็นขุนนางดีๆ เช่นท่าน เช่นนั้น ข้าไม่อยากให้ท่านต้องตายตกไป”
จากนั้นเขาก็หันไปคารวะเจียงลวี่จง “ฆ้องทองคำเจียงเป็นหัวหน้าที่ดี ดื่มเหล้าดอกไม้ที่กองเจียวฟางนับว่าเป็นมื้อหนึ่ง หากมีโอกาสข้าค่อยเชิญท่านไปภายหลัง หากชอบพอคณิกานางใดขอให้บอก เว้นแต่แม่นางฝูเซียง”
เขามองไปที่ศพของฆ้องเงินทั้งสาม “แม้ว่าก่อนตายเขาจะเป็นคนเช่นไร อย่างน้อยเมื่อตายไป ก็ไม่ได้ทำให้หน่วยลาดตระเวนสามคำนี้ผิดหวัง”
สุดท้ายเขาได้คารวะไปทิศทางหนึ่ง และยกมือประสานขึ้นเหนือศีรษะ “เว่ยกงปฏิบัติต่อข้าอย่างมีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ และปฏิบัติเป็นอย่างดีในทุกๆ ที่ เมื่อได้รับผลประโยชน์อย่างไม่มีเหตุผลมักจะพุ่งตรงไปด้านหน้า เมื่อมีภัยอันตรายกลับถอยหลัง”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ปิดประตูห้องโถงใหญ่
เจียงลวี่จงตื่นตระหนกเล็กน้อย ตะโกนด้วยเสียงแหบแห้ง “หนิงเยี่ยน!”
ฆ้องเงินท่านหนึ่งริมฝีปากปากสั่น เอ่ยพึมพำ “ไม่ได้นะ ไม่ได้ เขากำลังปะทะเขตพลังปราณ เขาไม่สามารถปิดกั้นเอาไว้ได้แน่…”
ผู้ตรวจการจางหยัดยืนขึ้นอย่างสั่นเทา ขนาดลมที่พัดมาเบาๆ ยังทำให้เขาซวนเซจวนล้ม แต่เขายังพยายามที่จะยืนขึ้น พลางโค้งคำนับอย่างจริงใจไปทางแผ่นหลังของสวี่ชีอัน
พวกเขามองไม่เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ภายนอกแล้ว แต่ภายใน เสียงการยิงธนู เสียงอาวุธเวทมนตร์กระทบกัน เสียงการฆ่าฟันที่ดังก้อง มีเสียงร้องเพลงที่เดือดดาลของชายหนุ่มดังเข้ามา
“อัศวินหนุ่ม ร่วมมือกับเหล่าอัศวิน ปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความจริงใจ ครั้นพบเจออยุติธรรมพลันโกรธจนผมตั้งชัน ยืนขึ้นและพูดคุย ร่วมเป็นร่วมตาย สิ่งที่พวกเราชื่นชมคือความกล้าหาญที่โดนเด่น ดุร้ายและหยิ่งผยอง”
…
สวี่ชีอันรักษาการทางเข้าลาน ง้างกระบี่ฟันแล้วฟันเล่า…กบฏเข้ามาหนึ่งเขาก็ฆ่าหนึ่ง เข้ามาสองก็ฆ่าสอง
เกราะป้องกันที่อยู่ในกระบี่เล่มยาวซึ่งถูกผลิตขึ้นท่านโหราจารย์ท่านนี้เปราะบางราวกับกระดาษกาว นับประสาอะไรกับเลือดเนื้อ
ตอนแรกยังรู้สึกเหนอะหนะอยู่บ้างกับสองมือที่เต็มไปด้วยเลือดอย่างสยดสยอง แต่ยิ่งฆ่าคนมาก ก็ยิ่งเย็นชาต่อมันมากเท่านั้น
ในหมู่กบฏส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา มียอดฝีมือจากขั้นหลอมปราณไม่กี่คน สำหรับสวี่ชีอันผู้ซึ่งเต็มไปด้วยพลังปราณภายใน และเท้าที่ก้าวเข้าสู่เขตหลอมวิญญาณไปครึ่งหนึ่งแล้ว ความจริงมีความแตกต่างไม่มากนัก
ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถทนทานต่อการต่อสู้กับผู้คนจำนวนมากได้ อีกอย่างสภาพร่างกายของเขาย่ำแย่ยิ่งนัก หลังจากตัดศีรษะคนไปมากกว่าสิบในคราวเดียว สวี่ชีอันก็หมดเรี่ยวแรง ภายในท้องเกิดพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แขนขาชาวาบ ก่อนจะหมดสติ
สิ่งที่ลำบากที่สุดยังคงเป็นหน้าไม้ ลูกธนูเหล่านั้นที่ปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสาย เดิมทีก็ไม่ใช่แค่กระบี่เล่มเดียวถึงจะสามารถสู้ได้อยู่แล้ว
โชคดีที่มีอาวุธเวทมนตร์ของฆ้องทองแดงผูกติดอยู่ที่หน้าอก ทำให้กระบี่ หอก และหน้าไม้ทำร้ายร่างกายเขาไม่ได้ สวี่ชีอันพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกันลูกศรที่ถูกลอบยิงพุ่งมาทางประตู ส่วนพื้นที่อื่นๆ ก็ปล่อยมันไป
หลังจากตัดศีรษะคนไปห้าสิบคนในคราวเดียว สวี่ชีอันก็มาถึงขีดจำกัดอันดับแรกแล้ว พลังปราณในร่างกายหมดสิ้น ดวงตาเป็นสีดำทั้งหมด วิญญาณเหมือนสระน้ำที่เหือดแห้ง ต่อมาก็เป็นลมล้มไป
หลังเขาผ่านขีดจำกัดนี้มาได้ กลับค้นพบสิ่งที่น่าแปลกใจ น้ำได้ผุดขึ้นจากสระน้ำที่เหือดแห้ง หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณไว้
ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น การแสดงสีหน้าที่ดุร้ายของพวกทหาร กล้ามเนื้อที่ปูดโปน และท่าทางการแกว่งกระบี่ไปมา…รายละเอียดทั้งหมดถูกบันทึกและตราตรึงอยู่ในใจอย่างแม่นยำ…
นี่คือขั้นหลอมวิญญาณ ขั้นหลอมวิญญาณที่สามารถมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ไม่ มันยังไม่ถึงขีดจำกัด ยังสามารถบรรลุต่อไปได้อีก
เผชิญความตายอย่างกล้าหาญ!
สวี่ชีอันเข้าใจสิ่งที่ไต้ซือเสินซูหมายถึงในทันที
การสะกดจิตวิญญาณอย่างไม่ยอมแพ้ ก็เหมือนการเผชิญความตายอย่างกล้าหาญในตัวของมันเอง แต่มันยังไม่เพียงพอ หากจิตวิญญาณเปรียบเสมือนเหล็กแท่งหนึ่ง เลื่อนขั้นจากนักรบธรรมดาไปสู่ขั้นหลอมวิญญาณ ก็เทียบเท่ากับการตีด้วยค้อนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
สิ่งที่สวี่ชีอันกำลังทำอยู่ตอนนี้คือการตอกตะปูซ้ำๆ อดทนฝึกฝนจิตวิญญาณ ทำลายขีดจำกัดครั้งแล้วครั้งเล่าบนเส้นแบ่งเขตระหว่างชีวิตและความตาย
หลังจากตัดศีรษะไปหนึ่งร้อยคน เขาก็ต้องเผชิญกับขีดจำกัดอีกครั้ง หลังจากยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง น้ำพุก็ผุดขึ้นใหม่ ทำให้พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง
“ไม่ไหวแล้ว ใกล้จะปิดกั้นไว้ไม่อยู่แล้ว…ไต้ซือที่เคารพรัก ข้าขอฝากชีวิตนี้ไว้กับท่าน ท่านอย่าได้มัวล้อเล่นกับชีวิตข้านะ…ในเมืองหลวงยังมีสาวๆ กลุ่มใหญ่ที่ข้าอยากรู้จักอีกมาก…”
หลังจากตัดศีรษะไปสองร้อยคนในคราวเดียว น้ำพุก็ไม่ผุดขึ้นมาอีก เพราะสวี่ชีอันได้ตายตกไปเพราะความอ่อนเพลียแล้ว
การเติบโตอย่างรวดเร็วของจิตวิญญาณไม่สัมพันธ์กับร่างกาย เขาเอาแต่สะกดจิตวิญญาณ ความจริงการสะกดร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่า จิตวิญญาณย่อมมีน้ำพุผุดขึ้นมาใหม่ ทว่าร่างกายไม่มี
……………………………….