ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 228-4 ค่าบำเหน็จ (2)
บทที่ 228-2 ค่าบำเหน็จ (2)
“ผู้บงการอยู่เบื้องหลังคือซ่งฉางฟู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เรื่องโหรที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไปนี่มันอย่างไรกัน”
“โหรที่อาศัยในป่าสามารถฝึกตนจนถึงระดับขั้นนี้ได้เชียวรึ? เจ้าต้องรู้ว่าขั้นพ่อมดแห่งความฝันเพิ่งค้นพบได้เพียงหกร้อยปีเท่านั้น แตกต่างจากทหารและขั้นอื่นๆ ที่มีมาเป็นเวลาช้านาน อีกทั้งยังมีนักพรตที่บำเพ็ญตนในป่าเป็นจำนวนมหาศาล แม้แต่ระบบขงจื๊อที่สืบทอดมาจากต้นกำเนิด การควบคุมวิธีบำเพ็ญตนยังคงเข้มงวด มีเพียงนักรบไร้ผู้นำที่บรรลุถึงระดับสูงสุดเท่านั้นถึงจะมีอิสรภาพ นี่เป็นอีกเหตุผลที่ระบบหลักดูถูกนักรบ
“อีกอย่าง โหรที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าผู้นั้น เหตุใดต้องช่วยเหลือข้าด้วย จุดประสงค์ของเขาคืออะไร”
ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็นึกถึงสิ่งหนึ่งออก นั่นคือโหรที่อยู่ในคดีภาษีเงิน โหรที่ทำเงินปลอมขึ้นมากับโหรในคดีอวิ๋นโจวอาจเป็นคนคนเดียวกัน หรืออาศัยอยู่ในเขตเดียวกัน
ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุผลเพื่อช่วยเหลือข้า ตัวเลือกนี้สามารถตัดออกได้…แก๊งหลานเต่าเกือบฆ่าเหลาจื่อจนต้องลี้ภัยเป็นระยะทางหลายพันลี้ และเกือบฆ่าอารองอีกด้วย…สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้วเพราะความปวดหัว
สำนักโหราจารย์ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย
“อะแฮ่ม…” สวี่ชีอันกระแอมไอ “ข้ามีเรื่องจะบอกพี่หยาง”
“ว่ามา”
สวี่ชีอันบอกหยางเชียนฮ่วนตั้งแต่ต้นจนจบ เกี่ยวกับการมีตัวตนของโหรไร้นาม จากนั้นจึงเอ่ยถาม “สำนักโหราจารย์ของพวกเรามีคำลับอะไรซ่อนอยู่หรือไม่”
“สำนักโหราจารย์ของพวกเรา?” หยางเชียนฮ่วนที่หันหลังให้ขณะถามกลับ
“ถึงอย่างไรแม่นางไฉ่เวยช้าเร็วก็ต้องแต่งงานกับข้า”
“เฮ้อ” หยางเชียนฮ่วนเหน็บแนมไปทีหนึ่ง ต่อมาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สำนักโหราจารย์มีความลับอยู่จริง ตัวอย่างเช่นที่อาจารย์ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องของบูรพาจารย์เลย แต่ข้ารู้ดี ว่าอาจารย์เคยฆ่าอาจารย์ของตนเอง”
ฆ่าอาจารย์ของตนเอง…สวี่ชีอันหวนรำลึกถึงเอกสารก่อนหน้านี้ และนึกถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับท่านโหราจารย์รุ่นแรกในการสืบสวนคดีซังผอ
ท่านโหราจารย์รุ่นแรกคือผู้สนับสนุนราชวงศ์เก่าเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ผิงไห่หวางในตอนแรก หลังจากจักรพรรดิอู่จงองค์ต่อมาได้ขึ้นครองบัลลังก์ ท่านโหราจารย์ถึงได้กลายเป็นท่านโหราจารย์ในตอนนี้
ข้อมูลเกี่ยวกับท่านโหราจารย์รุ่นแรกถูกลบออกจากประวัติศาสตร์อย่างหมดจด แม้แต่นักปราชญ์หญิงอย่างองค์หญิงฮว๋ายชิ่งที่สามารถรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่ผู้สอนศาสนาที่ฝ่าฟันอุปสรรครอบด้านแห่งศาสนาพุทธเมื่อห้าร้อยปีก่อน ต่างก็หาข้อมูลไม่พบ
ที่แท้ท่านโหราจารย์ได้ฆ่าอาจารย์ของตนจริงๆ ถึงแม้ตอนแรกจะเป็นแค่การคาดเดา แต่ตอนนี้มันคือเรื่องจริง…สวี่ชีอันเอ่ย “ความหมายของพี่หยางคือ โหรที่ปรากฏตัวในอวิ๋นโจว กับท่านโหราจารย์รุ่นแรกมีความเกี่ยวข้องกัน?”
หยางเชียนฮ่วนส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ อย่าถามมากเลย เจ้าไม่เข้าใจระบบโหร แม้แต่ชายผู้แปลกประหลาดอย่างข้าจะหายากในโลก ก็ไม่อาจล่วงรู้ว่าโหรอันดับหนึ่งและอันดับสองมีชื่อแซ่ว่าอะไร”
ตอนนี้สวี่ชีอันไม่ใช่ผู้มาใหม่อีกต่อไป โดยทั่วไปแล้วสถานการณ์นี้อาจพอมีความหมาย เมื่อรู้ข้อมูลของโหรอันดับหนึ่งและอันดับสอง ก็จะสามารถรู้ความลับมากมายของระบบโหร และความลับประเภทนี้บุคคลภายนอกไม่สามารถล่วงรู้ได้
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าโหรที่สามารถปิดกั้นกลิ่นอายได้คือลำดับที่เท่าใด พี่หยาง ท่านสามารถทำได้หรือไม่” สวี่ชีอันหยั่งเชิงอย่างไม่ยอมแพ้
“เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าก็ได้” หยางเชียนฮ่วนเอ่ย “ถ้าเป็นการปิดกั้นโชคชะตา โหรระดับปกติก็สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น แต่จะสามารถปิดกั้นชะตากรรมให้ผู้อื่นได้ ต้องมีระดับหกขึ้นไปเท่านั้น
“แต่ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า เหลียงโหย่วผิงสามารถขัดขวางการทำนายและการฆ่าล้างคำสาปของพ่อมดแห่งความฝันอันดับสี่ได้ มีแค่โหรระดับเดียวเท่านั้นที่ทำได้ สิ่งที่เหลียงโหย่วผิงถูกปิดกั้นไม่ใช่ชะตากรรม แต่เป็นโชคชะตาและความลับของสวรรค์”
หยุดชะงักไปสักพัก เขาก็พูดต่อว่า “โหรระดับสาม คืออาจารย์แห่งความลับสวรรค์…”
ระดับสาม?! โหรที่อยู่ในคดีอวิ๋นโจวผู้นั้นคือระดับสาม?! สวี่ชีอันค่อนข้างมึนงง รู้สึกว่าสมองตนเองใช้การไม่ได้แล้ว
คดีอวิ๋นโจวเกี่ยวข้องกับโหรระดับสามจริงๆ!
หากเป็นกรณีนี้ แน่นอนหยางเชียนฮ่วนซึ่งเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับสี่ไม่สามารถทำได้ น่ารังเกียจนัก หากรู้ข้อมูลสำคัญขนาดนี้ตั้งแต่แรก ข้าคง…ข้าไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร
สวี่ชีอันพูดในใจ แผนของโหรระดับสาม แม้จะสามารถมองทะลุแต่ก็ไม่อาจพูดได้
นี่ไม่ใช่ความขี้ขลาด นี่คือวิธีการของผู้ใหญ่ที่ผ่านกระบวนการคิดมาแล้ว
ต้องรักษาเกียรติซึ่งกันและกันไว้
“จำไว้ว่าเจ้าต้องเก็บเป็นความลับ อย่าได้บอกให้ใครรู้ โดยเฉพาะเรื่องที่อาจารย์ฆ่าอาจารย์ของตน” หยางเชียนฮ่วนหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยเสริม
“ข้าไม่ได้กลัวอาจารย์ แต่ข้าคิดว่าเขามีอายุถึงปูนนี้แล้ว ไม่ควรล้มเหลวในตอนที่สายไป ข้าต้องให้เกียรติเขาบ้าง”
ยิ่งเจ้าอธิบายมากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น…ข้าจะกล้าพูดส่งเดชได้อย่างไรกัน นิ้วเดียวของท่านโหราจารย์ก็สามารถบดขยี้ข้าให้ตายได้แล้ว…สวี่ชีอันพยักหน้า เอ่ยอย่างเห็นด้วย “ข้าคิดว่าควรให้เกียรติแก่ท่านโหราจารย์บ้าง”
หยางเชียนฮ่วนหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นผู้ชายที่น่าสนใจมาก เช่นเดียวกันกับข้า”
ประวัติของสำนักโหราจารย์มีไม่นานนัก หลายๆ อย่างสามารถตรวจสอบได้ง่าย ซึ่งแตกต่างจากปรมาจารย์เต๋าและลัทธิขงจื๊อ ระยะหลังเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งอดีตนั้นไม่อยู่ในบันทึกทางประวัติศาสตร์
สวี่ชีอันวางแผนที่จะลอบสืบสวนสำนักโหราจารย์หลังจากกลับเมืองหลวง พร้อมกับสืบเรื่องครอบครัวของซูซูไปด้วย คิดเสียว่าทำเพื่อคนที่ไร้ร่างกาย
‘โครกคราก…’
ท้องของสวี่ชีอันเริ่มหิวแล้ว เขารีบออกมาจากโลงศพทันที “ข้าขอออกไปหาอะไรกินหน่อย”
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายการฟื้นคืนชีพของตนเองอย่างไร”
สวี่ชีอันหยุดนิ่งในทันใด จริงด้วย เขาจะอธิบายการฟื้นคืนชีพของตัวเองอย่างไร
บรรดาขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงใช่ว่าจะสามารถยกเหตุผลมากล่าวอ้างได้โดยง่าย อีกทั้งเขาไม่ใช่มือปราบตัวน้อยจากอำเภอฉางเล่ออีกต่อไปแล้ว อ้อ ปีนี้อาจยังเป็นอยู่
เป็นมือปราบตัวน้อยมาตั้งแต่แรก
สวี่ชีอันเอนหลังอยู่ในโลงศพเงียบๆ “ข้ายังไม่ออกไปดีกว่า รอให้ถึงเมืองหลวงค่อยสอบถามความคิดเห็นจากท่านพ่อข้า พี่หยาง เรื่องอาหารคงต้องรบกวนท่านแล้ว”
หยางเชียนฮ่วนพยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่มีปัญหา ก่อนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้ตายตกไปตั้งแต่เจ้ายังเล็ก และถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่โดยอารองหรอกหรือ”
“ความจริงแล้วข้าคือบุตรนอกสมรสของเว่ยเยวียน”
“อะไรนะ!” หยางเชียนฮ่วนตกใจสุดขีด
สวี่ชีอันเป็นลูกนอกสมรสของเว่ยเยวียน คิดไม่ถึงว่าเว่ยเยวียนจะมีลูกนอกสมรส?
…
เมืองชั้นใน จวนสกุลสวี่
วันรุ่งขึ้น หนานกงเชี่ยนโหรวพาฆ้องทองแดงสองคนไปเคาะประตูใหญ่ของจวนสกุลสวี่
อันที่จริงประตูด้านข้างได้เปิดออกแล้ว แต่เขาในฐานะฆ้องทองคำ ปกติต้องเดินผ่านประตูกลาง
คนเฝ้าประตูเหล่าจางเปิดประตูกลาง เมื่อเห็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งสามท่านก็รีบก้มศีรษะ พร้อมเอ่ย “ใต้เท้าทั้งหลาย มีธุระอันใดหรือขอรับ”
เพราะต้าหลางเป็นสาเหตุของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาจึงมีความเข้าใจในเรื่องลำดับขั้นและความแตกต่างของเสื้อผ้าในระดับหนึ่ง
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหญิงท่านนี้ปักลวดลายฆ้องสีทองอยู่ตรงหน้าอก ดูแล้วตำแหน่งต้องสูงกว่าต้าหลาง
ตอนนี้ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง หนานกงเชี่ยนโหรวกวาดสายตามองเหล่าจางเล็กน้อย สายตาพลันมองเข้าไปในจวน ก่อนเอ่ย “หัวหน้ากองร้อยกองดาบสวี่ต้าหลาง อยู่ในจวนหรือไม่”
เขาได้รับคำสั่งจากพ่อบุญธรรมให้มามอบเงินค่าบำเหน็จของสวี่ชีอัน เป็นเงินสามร้อยตำลึง
ราคาของฆ้องทองแดงมีค่ามากถึงเพียงนี้ กฎต้องเป็นกฎ
แต่หนานกงเชี่ยนโหรวรู้ว่าเงินปันผลที่บ้านสกุลสวี่จะได้รับจนสามารถกินใช้ได้ในอนาคตนั้น ไม่สามารถคำนวณได้อย่างแน่นอน อย่างเช่นตำแหน่งทางการของหัวหน้ากองร้อยกองดาบ ที่ยังสามารถได้รับเพิ่มเติมอีก
ปัญญาชนสำนักอวิ๋นลู่ที่กำลังจะเข้าร่วมการสอบท่านนั้น อาชีพในอนาคตคงไม่ถูกส่งไปยังเมืองที่ห่างไกลแน่นอน
“อยู่ อยู่ นายท่านและฮูหยินกำลังรับประทานอาหารอยู่ที่ห้องด้านหลังขอรับ เชิญใต้เท้าไปร่วมรับประทานอาหารที่ห้องด้านหน้าก่อนขอรับ ข้าน้อยจะไปตามนายท่านมาพบ”
เหล่าจางนำผู้ลาดตระเวนยามวิกาลทั้งสามไปยังห้องโถงด้านหน้าด้วยท่าทางนอบน้อม และสั่งให้คนใช้นำชาร้อนมาให้
ฆ้องทองแดงทั้งสองขอบคุณพวกเขาอย่างสุภาพและเป็นมิตรยิ่งนัก
หนานกงเชี่ยนโหรวไม่ได้รับชา เพียงเอ่ย “อย่าเสียเวลาเลย พาพวกเราเข้าไปที่นั่นเถอะ”
………………………………………………..