ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 237 ความคืบหน้าครั้งใหญ่ของคดี (1)
บทที่ 237 ความคืบหน้าครั้งใหญ่ของคดี (1)
“มีอยู่สองสามเรื่องที่ต้องยืนยัน…”
ยายตัวร้ายถามด้วยเสียงดังฟังชัด “อะไรบ้าง”
ฮว๋ายชิ่งเม้มริมฝีปาก ด้านหนึ่งมองดูสวี่ชีอัน อีกด้านครุ่นคิดว่าเขาค้นพบอะไร เพราะตนที่สืบสวนอย่างละเอียดอยู่ในห้องเดียวกันก็ยังมึนงงสับสน ไม่มีเบาะแสหรือการค้นพบยิ่งใหญ่อะไรที่เป็นประโยชน์เลย
“อย่างแรก ถ้าหากพระสนมฝูถูกองค์รัชทายาทหมิ่นพระเกียรติจริงๆ พระนางจะต้องร้องขอความช่วยเหลือแน่ แต่เหตุใดขันทีกับนางข้าหลวงในตำหนักชิงเฟิงถึงไม่ได้ยินล่ะ พวกเราลงไปข้างล่างก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ…เจ้าไปเรียกนางข้าหลวงกับพวกขันทีรับใช้ทั้งหมดในตำหนักมา”
ประโยคสุดท้ายหันไปพูดกับหัวหน้าองครักษ์
เมื่อทุกคนลงไปชั้นล่าง ขันทีรับใช้และนางข้าหลวงทั้งหมดก็ถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่ตำหนักชิงเฟิงเรียบร้อยแล้ว มีทั้งหมดสิบสองคน สี่คนเป็นหญิง แปดคนเป็นขันที
“พวกเจ้าฟังให้ดี ท่านผู้นี้คือใต้เท้าสวี่ผู้ได้รับคำสั่งให้มาสืบสวนคดี เขามีอำนาจทุกอย่างในคดีพระสนมฝูถูกสังหาร ตอนนี้ใต้เท้าสวี่มีคำถามอยากจะถามพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องตอบทุกคำถาม ห้ามปิดบัง” หัวหน้าองครักษ์เอ่ยเสียงขรึม
“ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
ทุกคนก้มหน้ารับคำ
หัวหน้าองครักษ์พยักหน้าพอใจแล้วหันไปหาสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันหันไปหานางข้าหลวงหน้าตาหมดจดคนหนึ่งแล้วกวักมือเรียก “เจ้ามานี่”
นางข้าหลวงก้มหน้าแล้วเดินเตาะแตะไปหา
“เข้ามาอีก”
นางข้าหลวงน้อยมาอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอัน เขาเอ่ยกระซิบที่หูนางสองสามคำแล้วกล่าว “ไป”
นางข้าหลวงน้อยหันหลังวิ่งเข้าไปในหอสูงทันที
เขาจะทำอะไรน่ะ
ยายตัวร้ายกับขันทีงุนงงไม่เข้าใจ ส่วนฮว๋ายชิ่งคล้ายคิดอะไรอยู่
สวี่ชีอันมองนางข้าหลวงและขันทีคนอื่นๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าขอถามพวกเจ้า เหตุใดในวันที่พระสนมฝูเกิดเรื่อง ในหอสูงถึงไม่มีนางข้าหลวงคอยปรนนิบัติล่ะ”
นางข้าหลวงและขันทีหันไปมองหน้ากัน ต่างพากันอึกๆ อักๆ ไม่กล้าพูด
สวี่ชีอันแววตาคมกริบ เขาตวาดขึ้น “ผู้ใดปกปิด แม้รู้มูลเหตุแต่ไม่รายงาน จะถูกมองว่าเป็นผู้ต้องสงสัยที่สังหารพระสนมฝู และให้นำตัวเข้าคุกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทันที”
ขันทีน้อยคนหนึ่งรีบกล่าว “ตอบใต้เท้า พวกเราไม่กล้าเข้าใกล้หอสูงหรอกขอรับ”
ไม่กล้าเข้าใกล้หอสูง
??
สวี่ชีอันรู้สึกว่าตนคล้ายจะพบจุดสำคัญแล้ว มีบุรุษเข้ามาที่ห้องบรรทมของพระสนมฝู คนรับใช้ในตำหนักกลับไม่กล้าเข้าใกล้ นี่หมายความว่าอย่างไร
แปลว่าเหนือหัวของจักรพรรดิหยวนจิ่งมีทุ่งหญ้าเขียว[1]น่ะสิ
สวี่ชีอันแอบวาดหวังอยู่ในใจ
ขันทีน้อยอธิบาย “พระสนมฝูชอบดื่มสุรา พอดื่มมากเข้าก็จะเฆี่ยนตีดุด่าคนรับใช้ในตำหนักชิงเฟิงขอรับ พวกเรากลัวว่าจะถูกลูกหลง ดังนั้นยามที่พระสนมดื่มสุรา พวกเราก็จะไปอยู่ห่างหูไกลตาขอรับ”
“ทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้หรือ” สวี่ชีอันถาม
“ขอรับ ไม่มีข้อยกเว้น” ขันทีน้อยเอ่ยตอบ
“เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด”
พอถึงคำถามนี้ ขันทีน้อยก็อึกอักไปพักหนึ่งแล้วส่ายหน้า “พอบ่าวเข้ามาทำงานที่ตำหนักชิงเฟิง พระสนมฝูก็เป็นเช่นนี้แล้วขอรับ”
เจ้ามันเนื้อไก่สับ อายุไม่ช่วยอะไรเจ้าเลย…สวี่ชีอันกวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยถาม “ผู้ใดเป็นนางข้าหลวงประจำกายพระสนมฝู”
“บ่าวเจ้าค่ะ…” นางข้าหลวงที่ค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งเดินออกมา
“เจ้าตอบคำถามเมื่อครู่ของข้าหน่อย” สวี่ชีอันจ้องนาง
“เอ่อ คือ…” นางข้าหลวงมากวัยเอ่ยอย่างลังเล “หลายปีก่อนยังดีอยู่เจ้าค่ะ แต่หลายปีมานี้ อุปนิสัยของพระสนมนับวันก็ยิ่งประหลาด มักจะยืนอยู่บนหอสูงเพียงลำพัง ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังมองสิ่งใดอยู่ ยามที่ร่ำสุรา ก็มักจะชอบท่องบทกวีความรักที่น่าเจ็บปวดด้วยเจ้าค่ะ…”
นางกล่าวได้คลุมเครือมาก คงจะไม่กล้าข้องเกี่ยวกับพระสนมฝูและไม่กล้าแทรกแซงเรื่องหลังบ้านขององค์จักรพรรดิ แต่สวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งล้วนเป็นคนฉลาด ต่างก็ฟังเข้าใจความหมายที่แฝงนอกเหนือจากนั้น
นี่ก็คือความโศกเศร้าของผู้หญิงหงอยเหงาสินะ…เฮ้อ จักรพรรดิหยวนจิ่งนี่ไม่ทำตัวให้สมกับเป็นมนุษย์เลย วังหลังมีความงามมากมายขนาดนี้ ทั้งยังสวยงามเป็นเลิศ แต่กลับวิ่งไปฝึกเต๋าและหักห้ามใจละเว้นเรื่องทางโลกเสียอย่างนั้น…สวี่ชีอันถอนหายใจแล้วถามต่อ
“แล้ววันที่เกิดเรื่อง มีใครได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพระสนมฝูบ้างหรือไม่”
ทุกคนพากันส่ายหน้า
สวี่ชีอันไม่พูดอะไร เขามองไปทางหอสูงแล้วพยักหน้าเบาๆ
ทุกคนมองตามสายตาของเขา บนระเบียงสังเกตการณ์มีนางข้าหลวงที่เพิ่งเข้าไปในหอสูงเมื่อครู่ยืนอยู่ เมื่อได้รับสัญญาณจากสวี่ชีอัน นางข้าหลวงก็รีบปิดประตูตารางของหอสังเกตการณ์ทันที ผ่านไปครู่หนึ่ง ด้านในก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมา
เมื่อมาถึงขั้นนี้ ยายตัวร้ายใบหน้าเมล็ดแตงที่ไม่ค่อยฉลาดนักก็เข้าใจความหมายของสวี่ชีอันแล้ว
“สารเลว พวกเจ้ากล้าโกหกหรือ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังฟังชัดขนาดไหน” ยายตัวร้ายกล่าวด้วยความโมโห
คนรับใช้ในตำหนักตกใจ รีบกล่าวแก้ตัว
สวี่ชีอันกดมือลงเป็นท่าทางให้พวกเขาสงบ จากนั้นก็หันหน้าไปเอ่ยสั่งทหาร “นำราวกั้นที่หักออกมา….”
จากนั้น เขาก็หันไปหานางข้าหลวงมากวัยแล้วกล่าว “เจ้าอยู่ก่อน คนอื่นไปได้”
นางข้าหลวงมีอายุผู้นั้นตื่นตระหนกเล็กน้อย สองมือปั่นป่วนอย่างไม่เป็นสุข
“กงกง[2] ท่านออกไปนอกตำหนักก่อน อีกเดี๋ยวพอเรียกแล้วเจ้าค่อยกลับเข้ามา” สวี่ชีอันเดิมคิดว่าขันทีน้อยที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวผู้นี้คงคัดค้าน เขาคิดจะใช้ฮว๋ายชิ่งกับหลินอันมากดดันคนอยู่แล้วเชียว
แต่สุดท้าย ขันทีน้อยก็ไม่ได้พูดอะไร ยอมหันกายออกไปแต่โดยดี
“เจ้าพบสิ่งใดแล้วใช่หรือไม่”
พอคนเดินออกไปแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็เอ่ยถามขึ้น
องค์หญิงผู้หยิ่งยโสเย็นชามีการคาดเดาของตนอยู่ในใจแล้ว เสียงร้องขอความช่วยเหลือบนหอสูงของนางข้าหลวงเมื่อครู่ ถึงอยู่ข้างนอกก็ได้ยิน แม้จะแผ่วเบามากก็ตาม
เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือ พระสนมฝูไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ สองคือ พระสนมฝูถูกคนบังคับไว้
“การฝึกตนขององค์รัชทายาทเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันถาม
“ฝึกวิชายุทธ์มาหลายปี ขี่ม้ายิงธนูล้วนเชี่ยวชาญทั้งนั้น” ฮว๋ายชิ่งตอบกลับ
อ้อ เป็นแค่ไก่อ่อนเท่านั้นสินะ…สวี่ชีอันพยักหน้า
องค์รัชทายาทอยู่ระดับหลอมจิต หรืออาจจะไม่ถึงก็ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ สำหรับพระราชโอรสหนึ่งพระองค์แล้ว การสืบเชื้อสายและขยายราชสกุลต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งใด วิชายุทธ์ในตัวจะนับเป็นอะไรได้ องค์จักรพรรดิก็ไม่จำเป็นต้องไปพุ่งรบโจมตีข้าศึกด้วย
อันที่จริง การเผชิญหน้ากับความงดงามโดยที่ยังนั่งสงบนิ่งได้ ก็ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่เช่นกัน
โดยเฉพาะเมื่อองค์รัชทายาททรงเป็นพระราชโอรส ข้างกายมีสาวงามรายล้อมดุจก้อนเมฆ เกรงว่าคงจะรักษาความบริสุทธิ์ดุจหยกของวัยมุทะลุได้ยากน่ะสิ
สวี่ชีอันรู้สึกว่าต้องเป็นคนที่มีความพากเพียรพยายามแบบตนต่างหาก ถึงจะสามารถรักษาความโสดตั้งแต่ออกจากท้องแม่มาได้ถึงสิบเก้าปี
“แม้ว่าองค์รัชทายาทจะมีพลังฝึกตนเพียงผิวเผิน แต่หากต้องการใช้กำลังกับสตรีอ่อนแอ คิดว่าคงเป็นเรื่องง่ายดายมาก ดังนั้นบางทีพระสนมฝูอาจจะไม่มีโอกาสร้องขอความช่วยเหลือออกมาก็ได้” สวี่ชีอันกล่าว
“เสด็จพี่องค์รัชทายาทของข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้” ยายตัวร้ายรีบเอ่ยค้านทันที นี่เป็นความมั่นใจสุดท้ายในฐานะที่นางเป็นน้องสาวท้องเดียวกัน
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบยายตัวร้ายที่ทำหน้ากลมเป็นซาลาเปา เขามองไปยังนางข้าหลวงอายุมากพร้อมรอยยิ้มเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้พูดความจริงใช่หรือไม่”
แววตาของนางข้าหลวงฉายประกายตื่นตระหนก รีบโบกมือปฏิเสธ “ทุกคำของบ่าวเป็นจริงทุกประการเจ้าค่ะ ไม่ได้โป้ปดแม้แต่น้อย ใต้เท้าโปรดให้ความกระจ่างด้วย”
“ไม่ได้โกหก แต่ก็ไม่ได้พูดทั้งหมด ใช่หรือไม่” สวี่ชีอันใช้ฝักดาบตบที่หน้าขาของนางอย่างแรง
“ข้าไม่มีความอดทนนะ หากเจ้าไม่พูดก็ไปอธิบายกันในคุกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่ข้าไม่รับรองหรอกนะว่าผู้คุมคุกที่นั่นจะทำอะไรกับเจ้า”
นางข้าหลวงและขันทีพวกนี้คิดมากทั้งยังขี้ขลาด การขู่ให้กลัวจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
นางข้าหลวงกัดริมฝีปาก นางเอ่ยอย่างปลงตก “องค์หญิงทั้งสอง ใต้เท้าสวี่ โปรดตามหม่อมฉันมาเพคะ”
นางหันกายเดินออกจากหอสูง สวี่ชีอัน ฮว๋ายชิ่ง และหลินอันเดินตามอยู่ข้างหลัง
เมื่อกลับมาจากหอสูง นางข้าหลวงก็เดินตรงไปยังใต้เตียงไม้ แล้วใช้แรงลากกล่องไม้ใหญ่กล่องหนึ่งออกมา ก่อนหยิบกล่องไม้กล่องเล็กหนึ่งใบออกมาจากใต้กองเสื้อผ้าเก่าหลายชุด
นางข้าหลวงก้มหน้า แล้วยื่นกล่องไม้ให้อย่างกล้าๆ กลัวๆ
สวี่ชีอันรับมา เมื่อเปิดกล่องดูและเห็นของในนั้นชัดๆ สมองของเขาก็มีเพียงสองคำ โอ้โห!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้างกายยังมีหลินอันกับฮว๋ายชิ่งอยู่ล่ะก็ เขาคงผิวปากหวือไปแล้ว
ในกล่องไม้มีวัตถุที่แกะสลักจากหยกอยู่
สวี่ชีอันเข้าใจทันทีว่าเหตุใดนางข้าหลวงถึงได้พูดอึกๆ อักๆ ไม่กล้าเอ่ยอะไร
ของสิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามในวังหลวง คุณธรรมเป็นอีกเรื่อง แต่ที่นี่คือพระราชวัง พระสนมคือสตรีของจักรพรรดิ ย่อมทำเรื่องเช่นนั้นไม่ได้
ไม่อย่างนั้นจักรพรรดิจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เมื่อถูกพบเข้า สถานหนักจะถูกนำตัวขังไว้ในตำหนักเย็น สถานเบาถูกลดขั้น
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมพระสนมฝูถึงต้องไล่คนออกจากหอสูง ดื่มสุราแล้วจิตใจไม่คงที่ก็อีกเรื่อง แต่ของที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เป็นอีกเรื่อง…โชคดีนะที่ข้าไล่ขันทีน้อยคนนั้นออกไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งได้ข้าฆ่าแน่ …สีหน้าของสวี่ชีอันซับซ้อน
“นี่คืออะไร” องค์หญิงหลินอันขมวดคิ้วกล่าว
สวี่ชีอันเหลือบมองนางแล้วมองไปทางฮว๋ายชิ่ง องค์หญิงผู้เย็นชาใบหน้าไร้อารมณ์กำลังเพ่งความสนใจไปที่วัตถุหยกสลักด้วยแววตาสับสน
ไม่หรอกมั้ง หลินอันไม่รู้จักก็ช่างเถอะ แต่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งที่โหยหาความรู้และบทกวีจะไม่รู้จักเลยเชียวหรือ
สวี่ชีอันกระแอมไอ แล้วอธิบายให้เหล่าองค์หญิงฟังด้วยเสียงเบาหวิว
หลินอันอุทาน ‘ว้าย’ ออกมา แล้วถอยหลังอย่างหวาดกลัว ใบหน้ากลมๆ ของนางแดงเถือก ลำคอและหูล้วนแดงก่ำ
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งแววตาหดเกร็งราวกับถูกไฟช็อต รีบหันหน้านี้ ใบหน้าขาวสล้างผุดสีแดงฝาดจางๆ
“พระ พระสนมฝู…นางกลับซ่อนของเช่นนี้เอาไว้ หนะ หน้าไม่อายนัก ระ รีบเก็บเร็วเข้า…” หลินอันก่นด่าอึกอัก
เจ้าอย่าตื่นตูมไป ไม่แน่ใต้เตียงของเจ้าอาจมีด้วยก็ได้…สวี่ชีอันปิดกล่องแล้วส่งคืนให้นางข้าหลวง พร้อมกล่าวว่า “เก็บกลับไป อย่าให้รกหูรกตาองค์หญิงทั้งสอง”
นางข้าหลวงทำตามอย่างว่าง่าย
สวี่ชีอันเอ่ยถาม “วันที่พระสนมฝูตกจากหอ ของสิ่งนี้อยู่บนเตียงหรือว่าอยู่ในกล่อง?”
“น่าจะยังอยู่ในกล่องเจ้าค่ะ” นางข้าหลวงกล่าว
หากบนเตียงมีของสิ่งนี้อยู่ สำนวนคดีคงจะเขียนเอาไว้…สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “นางข้าหลวงที่หายไปผู้นั้นก็เหมือนกับเจ้า เป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายพระสนมฝูใช่หรือไม่”
นางข้าหลวงพยักหน้า
“เอาล่ะ เจ้าไปได้”
…………………………………………..
[1] ทุ่งหญ้าเขียว เปรียบเปรยถึงการสวมเขา
[2] กงกง ชื่อเรียกของขันทีในวัง