ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 237-2 ความคืบหน้าครั้งใหญ่ของคดี (2)
บทที่ 237 ความคืบหน้าครั้งใหญ่ของคดี (2)
พอนางออกไปแล้ว สวี่ชีอันก็ไปนั่งที่โต๊ะ ด้านหนึ่งรู้สึกเสียดายที่ไม่อาจใช้ ‘หยกหรูอี้’ มาตรวจสอบได้ ด้านหนึ่งก็วิเคราะห์ให้องค์หญิงผู้ไม่รู้เรื่องราวทั้งสองฟัง
“วันที่พระสนมฝูตกจากหอ คนใช้ในตำหนักไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แบบนี้ก็มีสองความเป็นไปได้ หากไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาทบังคับนางไว้ ก็เป็นต้องพระสนมฝูยินยอมพร้อมใจให้องค์รัชทายาทเอง”
ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า “หากเต็มใจยอมแล้ว เหตุใดในห้องถึงมีร่องรอยต่อต้านดิ้นรนด้วยเล่า”
ดูก็รู้ว่าเจ้าไม่มีประสบการณ์…สวี่ชีอันหัวเราะกล่าว “ก็ยังมีอยู่สองสถานการณ์ หนึ่งคือพระสนมฝูไม่ยินยอมในตอนแรก จึงได้ต่อต้าน แต่องค์รัชทายาทใช้วิธีการบางอย่างบีบบังคับนาง สอง บางครั้ง…ก็ไม่จำเป็นต้องทำบนเตียง”
องค์หญิงทั้งสองหน้าแดงขึ้นพร้อมกันแล้วแค่นเสียงออกมา
“เช่นนั้นเหตุใดพระสนมฝูถึงได้ตกจากหอสูง เจ้าเคยบอกว่านางถูกคนผลักตกลงมานี่นา” ฮว๋ายชิ่งสงสัย
“มีคำถามบางอย่างที่กระหม่อมยังหาคำตอบไม่ได้” สวี่ชีอันเอ่ยวิเคราะห์
“วันที่เกิดเรื่อง พระสนมฝูดื่มสุรา หากกระหม่อมเป็นองค์รัชทายาทก็สามารถบีบบังคับด้วยเหตุนี้ แล้วสร้างเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวได้ ร่างสูงยาวของพระสนมฝูอาจจะหมิ่นเหม่กึ่งจะตกแล้วก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องผลักลงจากหอสูงเลย แม้ว่าพอองค์รัชทายาทจะสร่างเมาแล้วต้องการฆ่าคน ก็ไม่ควรทำหลังจากจบเรื่องสิ เพราะเมื่ออยู่ในช่วงปล่อยความปรารถนาจนหมดแล้ว ผู้ชายจะใจเย็นที่สุด ไม่มีทางหุนหันพลันแล่นแน่นอน
“ยังมีจุดที่น่าสงสัยอีกเรื่อง หากพระสนมฝูต้องการทำเรื่องเช่นนั้นจนต้องขับไล่นางข้าหลวงและขันทีในหอสูงออกไป ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลต้องให้นางข้าหลวงประจำกายไปเชิญองค์รัชทายาทด้วยซ้ำ เว้นแต่ว่าทั้งคู่มีสัมพันธ์ลับกันอยู่แล้ว แต่จากการตรวจสอบของสามสำนักใหญ่ รวมถึงคำให้การของพวกขันทีและนางข้าหลวงในตำหนัก พระสนมฝูไม่เคยข้องเกี่ยวกับองค์รัชทายาทมาก่อน”
“ก็หมายความว่า เสด็จพี่องค์รัชทายาทของข้าถูกใส่ร้ายจริงๆ น่ะสิ” แววตาของยายตัวร้ายเปล่งประกายแวววาว
“ความเป็นไปได้นี้มีไม่น้อยเลย แต่ยังไม่ถึงเวลากล่าวสรุป” สวี่ชีอันพยักหน้า
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยถาม “เจ้าดูออกได้อย่างไรว่านางข้าหลวงผู้นั้นปิดบังอยู่”
เพราะนัยน์ตาของนางกระจ่างแจ้งคมชัด ทั้งยังจ้องมองมาที่สวี่ชีอันราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่อาจเปิดเผยความจริงได้
จิตวิทยาการแสดงสีหน้าในชั่วพริบตาน่ะสิ…สวี่ชีอันกล่าว “การแสดงออกและการเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์จะเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอย่างแน่นอน มันซื่อสัตย์ยิ่งกว่าปากคำเสียอีก”
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว “ข้าไม่เคยเห็นหนังสือเล่มใดบันทึกความรู้พวกนี้มาก่อน”
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าศึกษาเอง”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเบาๆ รู้สึกนับถือ “เจ้าเป็นอัจฉริยะนักคลี่คลายคดีจริงๆ”
อันที่จริงสิ่งสำคัญที่สุดในการคลี่คลายคดีไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นประสบการณ์และความรู้ หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ แม้เจ้าจะเป็นยอดอัจฉริยะแห่งการคิดวิเคราะห์ก็ไม่มีทางข้ามผ่านธรณีประตูมาได้ สวี่ชีอันหัวเราะขณะกล่าว “องค์หญิงทรงชมเกินไปแล้ว”
ตอนนี้เอง หัวหน้าองครักษ์ก็ตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง “ใต้เท้าสวี่ นำของมาแล้วขอรับ”
สวี่ชีอันยืดตัวขึ้นทันทีแล้วกล่าว “ต่อไปจะเป็นการพิสูจน์การคาดเดาของข้าว่าพระสนมฝูตายเช่นไร บางทีเราอาจจะรู้ได้ในไม่ช้า”
ทั้งสามลงมาที่ชั้นล่าง สวี่ชีอันรับราวกั้นหักๆ มาจากมือของทหารรักษาพระองค์แล้วตรวจดูรอยหักอย่างละเอียดซ้ำๆ
เขาตกอยู่ในภวังค์ความคิด
สตรีอาภรณ์แดงกับอาภรณ์ขาวพร้อมใจไม่รบกวนเขา
แม้ว่าเท้าเล็กๆ สองข้างใต้กระโปรงของยายตัวร้ายจะยังเหยียบย่ำอยู่ตลอด แสดงให้เห็นถึงความร้อนใจก็ตาม
เพราะว่าเมื่อครู่สวี่ชีอันพูดมาแล้วว่าจะได้รู้ถึงการตายของพระสนมฝูในไม่ช้า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับการคืนความบริสุทธิ์ให้เสด็จพี่องค์รัชทายาท นางร้อนใจยิ่งนัก
แต่ก็ไม่กล้ารบกวนความคิดของเขา
“ไป ไปที่ห้องเย็น รบกวนองค์หญิงใหญ่ช่วยไปเชิญหมัวมัว[1]ผู้หนึ่งมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันนำทุกคนเดินออกมาจากตำหนักชิงเฟิง ฮว๋ายชิ่งสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ด้านนอกตำหนักไปเชิญหมัวมัวชรามา
เมื่อมาถึงห้องเย็น นอกจากทหารรักษาพระองค์แล้ว สวี่ชีอัน ฮว๋ายชิ่ง หลินอัน ขันทีที่คอยควบคุมดูแล พร้อมกับหมัวมัวชรา ทั้งห้าคนก็เข้าไปในห้องน้ำแข็งเพื่อพบร่างของพระสนมฝูอีกครั้ง
“รบกวนหมัวมัวช่วยปลดเสื้อผ้าบนร่างของพระสนมฝูด้วย แล้วหันร่างนางกลับมาหน่อย” สวี่ชีอันกล่าว
หมัวมัวลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสวี่ชีอันหันหลังกลับโดยสัญชาตญาณ นางก็ใช้สายตาเอ่ยถามไปยังองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ไม่ได้มองหลินอัน
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้ากล่าว “ทำอย่างที่ใต้เท้าสวี่บอก”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หมัวมัวก็เอ่ยว่า “บ่าวทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันหันกายกลับมา พระสนมฝูร่างเปลือยเปล่า นอนอยู่บนแผ่นไม้ แผ่นหลังขาวซีดเต็มไปด้วยรอยช้ำของศพ แต่ไม่มีสิ่งที่สวี่ชีอันต้องการเห็น
“พอแล้วล่ะ” เขาพยักหน้า
เมื่อออกจากห้องเย็นกลับมาที่ห้องโถง หลินอันก็เอ่ยถามอย่างอดใจไม่ไหว “เป็นอย่างไรบ้าง พระสนมฝูตายได้อย่างไร เสด็จพี่องค์รัชทายาทของข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันเหลือบมองขันทีผู้ควบคุมดูแลแล้วกวาดมององค์หญิงทั้งสอง ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “พระสนมฝูน่าจะกระโดดลงมาเอง”
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ฮว๋ายชิ่งเลิกคิ้ว
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้ทุกคนต่างคาดไม่ถึง
“ราวกั้นหอสูงของตำหนักชิงเฟิงไม่มีร่องรอยผุพัง สมบูรณ์แข็งแรงมาก ถ้าหากพระสนมฝูถูกคนผลักลงมา ยามที่ร่างกายกระแทกเข้ากับราวกั้น ด้านหลังจะต้องมีรอยฟกช้ำสิ แต่เมื่อครู่ตรวจสอบดูแล้ว ด้านหลังของพระสนมฝูไม่มีรอยฟกช้ำที่มีลักษณะยาวเลย มีเพียงรอยช้ำของศพกับรอยช้ำวงใหญ่จากการตกหอสูงเท่านั้น” สวี่ชีอันกล่าว
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างครุ่นคิด “แต่นางก็กระแทกราวกั้นจนหักจริงๆ…หมายความว่า มีคนทำอุบายไว้ที่ราวกั้นหรือ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “นอกจากนี้ ก่อนที่พระสนมฝูจะตกลงมาได้ดื่มสุรา นางข้าหลวงของตำหนักชิงเฟิงกล่าวว่าพระนางมักจะขึ้นไปชมทิวทัศน์บนระเบียงสังเกตการณ์…กระหม่อมเดาว่านางคงจะคอยดูว่าฝ่าบาทจะมาหรือไม่ แต่แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญ
“จุดสำคัญคือ คนที่ดื่มสุราจะนอนคว่ำตามไม่ก็พิงราวกั้นตามสัญชาตญาณ พระสนมฝูหันหลังตกลงมา ดังนั้นในตอนนั้นนางคงจะพิงราวกั้น แต่ราวกั้นมีคนทำอุบายเอาไว้ ดังนั้นจึงตกหอสูงลงมาจนสิ้นชีพ เมื่อครู่กระหม่อมถามมาแล้ว ก็หมายความว่า วันนั้นพระสนมฝูทำ…อืม พวกท่านก็รู้ ดังนั้น โอกาสที่นางจะไปยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์จึงมีมากนัก
“ยามที่ผู้ตรวจพิสูจน์ศพตรวจสอบดู คำพูดที่ว่าไม่ได้ถูกล่วงล้ำก็สามารถใช้เป็นหลักฐานเสริมได้ และที่เหล่านางข้าหลวงในตำหนักชิงเฟิงไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ก็เพราะพระสนมฝูไม่ได้ถูกบีบบังคับ ย่อมไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลืออยู่แล้ว”
ฮว๋ายชิ่งและหลินอันตะลึงจนพูดไม่ออก คนหลังยินดีอย่างยิ่งเพราะการตกเป็นผู้ต้องสงสัยขององค์รัชทายาทจะเบาลงมากทันที
คนแรกตกอยู่ในภวังค์ความคิด นางพึมพำและทบทวนการวิเคราะห์ของสวี่ชีอัน ราวกับนักเรียนดีเด่นที่กำลังย่อยความรู้จากอาจารย์
ขันทีผู้รับหน้าที่กำกับดูแลก้มหน้าลง แล้วพยายามจดจำทุกคำทุกประโยคของสวี่ชีอันอยู่เงียบๆ เพื่อนำไปรายงานให้หัวหน้ารู้ในภายหลัง
เมื่อฟังถึงตรงนี้ หมัวมัวชราก็เอ่ยแทรก “ใต้เท้าท่านนี้ ผู้ที่ตรวจสอบร่างกายของพระสนมฝูก็คือบ่าว มิใช่ผู้ตรวจพิสูจน์ศพ”
“อ้อ หมัวมัวนั่นเอง พอดีเลย ข้ามีรายละเอียดอยากถามสักหน่อย”
เขาลากหมัวมัวชรามาอีกด้านแล้วเอ่ยเสียงเบา “หมัวมัว พวกเจ้ามีมาตรฐานการตัดสินว่าร่างกายบริสุทธิ์อย่างไรหรือ…”
เขาเอ่ยถามข้อสงสัยด้วยเสียงแผ่วเบา
หมัวมัวผู้นั้นกล่าวตอบ “ตรงทุกประการเจ้าค่ะ”
“อ้อๆ ข้าเข้าใจแล้ว” สวี่ชีอันลอบเอ่ยในใจ ทักษะเรื่องอย่างว่าของหมัวมัวชราผู้นี้เชี่ยวชาญกว่าข้าเสียอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งแน่ใจได้เลยว่าพระสนมฝูไม่ได้แปดเปื้อน แต่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุจริงๆ เป็นอุบัติเหตุที่มีคนวางแผนไว้อย่างดี
ในเมื่อไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับราคะ เช่นนั้นการเป็นผู้ต้องสงสัยขององค์รัชทายาทจึงเบาบางอย่างยิ่ง
หลังจากได้รับการยืนยัน สวี่ชีอันก็เอ่ยว่า “ผู้ที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ น่าจะมีแต่นางข้าหลวงประจำกายผู้นั้นแล้ว”
‘นางข้าหลวงย่อมไม่มีทางสังหารพระสนมฝูแล้วใส่ร้ายองค์รัชทายาทอย่างไม่มีเหตุผลแน่’ นี่คือสิ่งที่ยายตัวร้ายก็ยังคิดออก
“เช่นนั้นผู้ที่สั่งการนางข้าหลวงคือใครกัน” ยายตัวร้ายเหลือบมองฮว๋ายชิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ
ฮว๋ายชิ่งยิ้มเย็นเยือก ยายตัวร้ายรีบมาหลบหลังสวี่ชีอันทันที
นางเกียจคร้านเกินกว่าจะตอแยหลินอัน จึงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าวของเละเทะในห้องจะอธิบายอย่างไร ก่อนที่พระสนมฝูจะตกลงมา นางข้าหลวงย่อมไม่อาจจงใจทำห้องเละเทะต่อหน้าพระนางแน่ และหลังจากพระสนมฝูตกจากหอสูง เรื่องก็ดึงดูดความสนใจของคนรับใช้ในตำหนักชิงเฟิงได้ทันที”
“อาจเป็นเพราะพระสนมฝูอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง จึงได้ทำข้าวของเละเทะ หรืออาจเป็นเพราะสุรามีปัญหา เช่นมียาหลอนประสาท” สวี่ชีอันอธิบาย
น่าเสียดายที่ผ่าพิสูจน์ศพพระสนมฝูไม่ได้ ดังนั้นการคาดเดานี้จึงไม่มีหลักฐาน
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน กระหม่อมอยากกลับไปไตร่ตรองและทบทวนคดีอีกครั้ง” สวี่ชีอันกล่าว
เขาบอกไม่ได้ว่าตนต้องการขอเวลาอู้งานต่างหาก
เมื่อส่งองค์หญิงหลินอันกลับไปยังสวนเส้าอินแล้ว สวี่ชีอันก็เห็นองค์หญิงฮว๋ายชิ่งรออยู่ด้านนอก เขาจึงเดินไปหาอย่างรู้ใจ
ทั้งคู่เดินไปข้างหน้าพร้อมกันเงียบๆ ทหารรักษาพระองค์ไม่ได้ตามมา พวกเขาถอยหลังไปไกล
“คิดไม่ถึงเลยว่าพอเจ้าออกโรง คดีของพระสนมฝูก็มีความคืบหน้า” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเอ่ยชื่นชม
“จริงๆ คดีนี้ไม่ยาก อย่างน้อยก็การพิสูจน์ว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก” สวี่ชีอันพูดจบก็เว้นระยะพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ตุลาการสามฝ่ายดูเหมือนจะไม่รีบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับองค์รัชทายาทเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ชีอันคิดมาตลอดว่าความรู้ด้านการวิเคราะห์และสืบสวนคดีในยุคสมัยนี้ล้าหลัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอัจฉริยะในตุลาการทั้งสามฝ่ายมีมากมายนัก
คดีพระสนมฝูไม่ได้มีรายละเอียดมากมายเหมือนคดีเงินภาษี และไม่ได้ลวงหลอกดั่งเช่นคดีซังผอ ยิ่งไม่ได้ใช้สมองหนักเหมือนคดีที่อวิ๋นโจว ทั้งยังมีวิธีการที่เกิดจากผู้ฝึกตนไม่มากนัก
หากต้องการคืนความบริสุทธิ์ให้องค์รัชทายาทก็เป็นเรื่องยากจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ดวงตาขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งมองตรงไปข้างหน้า เงียบงันไปพักหนึ่งก็เอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่ง ฆาตกรคือองค์รัชทายาท สอง องค์รัชทายาทถูกโยนความผิดให้”
สวี่ชีอันเปล่งเสียง ‘อืม’ ออกมา
“หากองค์รัชทายาทเป็นฆาตกรจริง เช่นนั้นเขาก็จะถูกปลดจากตำแหน่ง การตรวจสอบข้าราชสำนักเพิ่งจะจบลงก็ต้องเตรียมรับเรื่องการชิงบัลลังก์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสด็จพ่อหรือขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักก็ตาม ล้วนแต่ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ทั้งนั้น อีกอย่าง ทำเช่นนี้จะถูกพรรคพวกขององค์รัชทายาทเกลียดชัง เป็นการสร้างศัตรูโดยเปล่าประโยชน์
“หากองค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย เช่นนั้นในวังหลังจะมีใครมีความสามารถเช่นนี้บ้าง ใครจะกล้าใส่ร้ายได้แม้กระทั่งองค์รัชทายาท ตุลาการสามฝ่ายยิ่งไม่ต้องการทำให้ใครขุ่นเคือง พูดกันตามจริงแล้ว นี่ก็คือเรื่องในบ้านของเสด็จพ่อ”
สวี่ชีอันตอบอย่างตรงไปตรงมา “พระโอรสทั้งหมดที่มีสิทธิ์สืบทอดวังบูรพา[2] ล้วนแต่เป็นไปได้ทั้งนั้น”
ฮว๋ายชิ่งกล่าว “แต่ผู้ต้องสงสัยรายใหญ่สุดก็คือพี่ชายท้องเดียวกันกับข้า และเสด็จแม่ของข้าด้วย”
เพราะว่าองค์ชายสี่เป็นบุตรสายตรง นับเป็นผู้มีสิทธิ์สืบทอดคนแรก
“ความสงสัยก็เป็นแค่ความสงสัย ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐาน แม้แต่ฝ่าบาทก็ทำอะไรไม่ได้” สวี่ชีอันกล่าว
ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีโอรสในวังที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งพระสนมที่เป็นที่โปรดปรานล้วนเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งนั้น แต่ตราบใดที่ขาดหลักฐาน แม้จะมีข้อสงสัยมากแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้
ความจริงแล้วการต่อสู้ในวังนั้นเรียบง่ายและไร้ปรานียิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่นางสนมทุกคนในวังหลังจะมีเบื้องหลังซับซ้อน ล้ำลึก และเป็นจูกัดเหลียง[3]มากความสามารถกันทุกคน
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเบาๆ
“มีบางเรื่องที่กระหม่อมไม่เข้าใจ องค์ชายสี่เป็นโอรสสายตรง แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงได้แต่งตั้งพี่ชายครรภ์เดียวกับองค์หญิงหลินอันเป็นองค์รัชทายาทเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสวี่ชีอันถามคำถามนี้ออกมา แววตาก็จ้องมองไปที่ฮว๋ายชิ่ง หากนางมีสีหน้าเกลียดชังหรือต่อต้านออกมา เช่นนั้นก็หมายความว่าพฤติกรรมที่ตนเหยียบเรือสองแคมอาจทำให้นางไม่พอใจ อาจไม่เห็นตนเป็นคนสนิทอีกต่อไป
ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิดอยู่ในใจครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าพร้อมกล่าว “จิตใจของเสด็จพ่อไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ แต่ข้ามีโอกาสอยู่สองสามครั้งที่ได้ยินข่าวคราวบางอย่างมา…”
สวี่ชีอันรีบขัดจังหวะ “องค์หญิง กระหม่อมยังอยากมีชีวิตยืนยาวจนลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองนะพ่ะย่ะค่ะ”
หายากยิ่ง ฮว๋ายชิ่งยิ้มออกมาแล้ว “ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก ได้ยินไปก็เท่านั้น”
ผ่านไปพักหนึ่ง นางก็กล่าวต่อ “ในวังลือกันว่า สาเหตุที่องค์รัชทายาทได้เป็นองค์รัชทายาท ก็เพราะเฉินกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานในวังหลังเมื่อสมัยยังทรงพระเยาว์ เสด็จพ่อจึงยอมยกเว้นให้โอรสองค์โตจากพระสนมเป็นองค์รัชทายาท
“แต่เสด็จพี่เคยบอกกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า ตอนยังเล็กเสด็จพ่อปฏิบัติต่อเขาดียิ่ง ทั้งยังมักจะสั่งสอนเขาเรื่องการเป็นผู้ปกครองอยู่เลย…เจ้าลองคิดดูสิ หากไม่มีเจตนาจะให้เสด็จพี่ของข้าเป็นองค์รัชทายาท แล้วเหตุใดเสด็จพ่อต้องพูดเรื่องพวกนี้ให้ฟังด้วย”
สวี่ชีอันหันกายกลับมาแล้วโบกมือให้กับทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ไกลๆ จากนั้นเดินไปพร้อมกับฮว๋ายชิ่งอีกระยะหนึ่ง ยากจะปิดบังจิตใจที่ต้องการซุบซิบนินทา เขาลูบมือแล้วถามว่า
“เช่นนั้น เหตุใดสุดท้ายจึงแต่งตั้งโอรสองค์โตที่เกิดจากสนมได้เล่า”
……………………………………….
[1] หมัวมัว ชื่อเรียกของนางข้าหลวงระดับสูงในวัง
[2] วังบูรพา คือสถานที่พำนักขององค์รัชทายาท
[3] จูกัดเหลียง หรือชื่อจีนว่า จูเก๋อเลี่ยง รู้จักกันดีในชื่อขงเบ้ง