ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 246 ลอบสังหาร
บทที่ 246 ลอบสังหาร
หลังออกจากอารามรัตนะก็เป็นเวลายามเหว่ย สามเค่อ[1]แล้ว
สวี่ชีอันเข้าไปในพระราชวังและให้ทหารรักษาพระองค์นำความไปกราบทูล เขารอที่ประตูวังเป็นเวลาหนึ่งเค่อถึงยามเหว่ย สี่เค่อ ก่อนที่ขันทีน้อยจะมาถึง
“ใต้เท้าสวี่ พวกเราจะสืบสวนอย่างไรต่อไป” ขันทีน้อยถาม
“ไปหาฮองเฮาที่ตำหนักเฟิ่ง…จะเข้าเฝ้าฮองเฮาไม่จำเป็นต้องทูลฝ่าบาทล่วงหน้าใช่หรือไม่” สวี่ชีอันกล่าว
ขันทีน้อยรีบโบกมือ “ฝ่าบาททูลว่า ในวังหลัง ท่านอยากไปที่ไหนก็ไป แน่นอนว่า เงื่อนไขแรกคือมีข้ารับใช้ติดตาม โดยเฉพาะเมื่อเข้าเฝ้ากุ้ยเฟยกับฮองเฮา”
สวี่ชีอันพยักหน้า
หากต้องการเข้าเฝ้ามเหสีของจักรพรรดิ แน่นอนว่าไม่สามารถเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวได้
ชื่อเต็มของตำหนักเฟิ่งคือตำหนักเฟิ่งฉี ซึ่งเป็นตำหนักที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในวังหลัง ที่ประทับของจักรพรรดิไม่ได้อยู่ในนั้น
เมื่อมาถึงตำหนักเฟิ่งฉีก็ได้รู้ว่าฮองเฮากำลังงีบหลับอยู่ สวี่ชีอันกับขันทีน้อยรออยู่ที่ระเบียงทางเดินด้านนอกเกือบครึ่งชั่วยามแล้วนางข้าหลวงผู้น่าเอ็นดูคนหนึ่งก็นำความมาแจ้งว่า
“ฮองเฮาทรงตื่นแล้ว เชิญใต้เท้าสวี่เข้าไปได้”
สวี่ชีอันเข้าไปในตำหนักและเห็นฮองเฮาพระมารดาของแผ่นดินอยู่ในห้องโถงที่ตกแต่งหรูหรา นางสวมชุดคลุมสีเข้มปักด้วยไหมสีทอง บนหัวสวมมงกุฎงดงาม
คิ้วเข้มราวกับภาพวาด ริมฝีปากอวบอิ่ม นางไม่ใช่เด็กสาวแล้ว แต่ใบหน้ายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยคอลลาเจนและไม่เผยความแก่ชราออกมาเลย สิ่งนี้ทำให้ความงามอันรุ่งโรจน์ซึ่งไร้ที่ติของนางเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนของสตรีสูงวัยเข้าไป
ในบรรดาสาวงามที่ข้าเคยพบเจอนางอยู่อันดับสอง ลั่วอวี้เหิงอยู่อันดับหนึ่ง แต่ราชครูมีเสน่ห์ของตัวเองและมีบัฟเพิ่มเติม ขณะที่ฮองเฮาพึ่งพาพื้นฐานของตัวเอง…หากหญิงสาวเช่นนี้เป็นฮองเฮา ไม่มีผู้ใดในวังหลังสู้ได้
สวี่ชีอันรีบก้มหัวและรักษามารยาทกับกฎที่ขุนนางภายนอกคนหนึ่งควรมี
“เด็กหนุ่มผู้มากพรสวรรค์นั่นเอง”
เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาก็ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์เช่นกัน นางพินิจมองสวี่ชีอันและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ฮว๋ายชิ่งเอ่ยถึงเจ้าต่อหน้าข้าเป็นครั้งคราวและยกย่องชื่นชมเจ้า เรื่องที่เจ้าคลี่คลายคดีแปลกประหลาดหลายต่อหลายครั้ง ข้าเองก็ได้ยินมาบ้างเช่นกัน”
ความประทับใจแรกของทั้งสองฝ่ายไม่เลว
ไม่รู้ว่าสวี่ชีอันรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าฮองเฮาชื่นชมเขามาก โดยไม่เห็นเป็นคนนอกเลย
“เว่ยเยวียนได้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่โดดเด่นเช่นเจ้าถือเป็นโชคดีของเขา” ฮองเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รินน้ำชาให้ใต้เท้าสวี่”
นางข้าหลวงนำชาร้อนๆ มาให้ สวี่ชีอันรับด้วยมือทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ดื่มและถามอย่างตรงไปตรงมา “ข้าน้อยมาเพราะคดีของพระสนมฝู มีคำถามสองสามคำถามอยากถามฮองเฮา”
“เชิญใต้เท้าสวี่ถาม”
“ท่านรู้จักนางข้าหลวงชื่อหวงเสี่ยวโหรวหรือไม่”
“ข้าไม่รู้จัก” ฮองเฮาส่ายหน้า
“เช่นนั้นในตำหนักของฮองเฮามีสาวใช้ที่ชื่อเหอเอ๋อร์หรือไม่”
“มีสิ” ฮองเฮานิ่งเงียบไปสองสามวินาทีและพยักหน้าช้าๆ
“หรงหมัวมัวแห่งเซี่ยเก๋อเล่าว่า เมื่อสี่ปีก่อน หวงเสี่ยวโหรวเคยฆ่าตัวตายโดยไม่มีเหตุผลและนางข้าหลวงที่อยู่ห้องเดียวกันกับนางในขณะนั้นก็ช่วยนางไว้ นางข้าหลวงคนนั้นคือเหอเอ๋อร์ที่อยู่ตำหนักของฮองเฮา”
“เหอเอ๋อร์ไม่เคยไปที่เซี่ยเก๋อ” ฮองเฮาปฏิเสธทันที
สวี่ชีอันพูดต่อ “หลังจากข้าน้อยตรวจสอบศพ พบว่านางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรวได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ชีวิต ไม่ใช่เรื่องที่นางข้าหลวงคนหนึ่งจะช่วยได้และหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงก็ไม่อาจช่วยได้เช่นกัน ต้องเป็นยาครอบจักรวาลที่กินแล้วฟื้นจากความตายเป็นแน่”
ฮองเฮาจ้องมองสวี่ชีอันและตรัสเบาๆ “ใต้เท้าสวี่มีหลักฐานยืนยันคำพูดนี้หรือไม่”
“ศพคือหลักฐานขอรับ”
“แล้วยาเม็ดนั่นล่ะ”
“…ไม่มีขอรับ” สวี่ชีอันส่ายหน้า
คนที่ฉีกบันทึกรายรับรายจ่ายของห้องโอสถหลวงคือฮองเฮาเหรอ
ฮองเฮาพยักหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเหนื่อยแล้ว ส่งใต้เท้าสวี่ออกจากตำหนักด้วย”
เจ้าเพิ่งงีบเสร็จไม่ใช่เหรอ…ริมฝีปากของสวี่ชีอันอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่สองสามครั้ง เขาลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้และตามนางข้าหลวงออกจากตำหนักเฟิ่งฉีไป
….
สวี่ชีอันมองดวงอาทิตย์ “ขันทีน้อย รายชื่อที่ข้าให้เจ้ารวบรวมจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
ขันทีน้อยหยิบกระดาษเซวียนจื่อที่พับไว้ออกมาจากในอกเสื้อ “ข้าน้อยกำลังจะมอบให้ใต้เท้าสวี่”
ไม่เลว ประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาก สมกับเป็นคนที่พระราชวังสั่งสอนออกมา
สวี่ชีอันคลี่รายชื่อออกและกวาดตามอง มีชื่อนางข้าหลวง ขุนนางรับใช้กับทหารรักษาพระองค์สิบกว่าคนแจกแจงอยู่บนนั้น
“พวกเรามาสอบสวนทีละคนตามรายชื่อบนนี้กันเถิด” สวี่ชีอันกล่าว
“ด้านฮองเฮา…”
“แน่นอนว่าตรวจสอบไม่ได้”
สวี่ชีอันถอนหายใจ แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะให้อภิสิทธิ์แก่เขามากมาย อยากสอบสวนใครก็สอบสวน แต่ฮองเฮาถึงตายก็คงไม่ให้ความร่วมมือและสวี่ชีอันเองก็ไม่อาจใช้กำลังได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ นั่นก็คือฮองเฮามีผีอยู่ในใจ
คงไม่ใช่ฮองเฮาทำจริงๆ เช่นนั้นฮว๋ายชิ่งก็ไม่ได้น่าสงสารนักหรอก ข้าควรจะสืบสวนต่อไปหรือไม่ แต่หากไม่สืบสวน ยายตัวร้ายจะไม่น่าสงสารหรือ มาๆ สนามรบแบบให้เลือกหนึ่งในสอง…สวี่ชีอันถอนหายใจเงียบๆ ในใจ
แต่จะว่าไปแล้ว ฮองเฮาสวยมากจริงๆ อายุมากแล้วยังมีเสน่ห์เช่นนี้ ตอนสาวๆ คงสวยมาก ไม่แปลกใจที่นางได้เป็นฮองเฮา
ใบหน้าของฮว๋ายชิ่งกับฮองเฮาคล้ายคลึงกัน
“เปรียบเทียบกันแล้ว ข้ายังคงรู้สึกว่าลั่วอวี้เหิงดีกว่า เพราะนางพึงพอใจรสนิยมหลายอย่างของข้า…อ้อ ซูซูก็เช่นกัน”
สวี่ชีอันอดคิดถึงคำพูดของนักบวชเต๋าจินเหลียนเมื่อครู่ไม่ได้ ลั่วอวี้เหิงมีพร้อมหลากหลายบุคลิกจึงสามารถทำให้ผู้ชายเห็นส่วนที่ตัวเองชอบได้และสิ่งที่เขาเห็นก็คือ สาวน้อยวัยแรกแย้มอายุยี่สิบปี หญิงสาวอายุสามสิบปี สตรีสูงวัยอายุสี่สิบปี…
“ข้าไม่อยากยอมรับเลยว่าข้าลามกจริงๆ”
ในชั่วยามต่อมา สวี่ชีอันสอบปากคำคนบนรายชื่อ เพราะเวลามีจำกัด เขาจึงต้องรีบออกจากพระราชวังก่อนกำแพงพระราชวังจะปิด ดังนั้นเขาจึงสอบปากคำทันเพียงแค่หนึ่งในสามเท่านั้น
ท่ามกลางเสียงระฆังปิดกำแพงอันดังก้อง เขาออกจากพระราชวังไปอย่างราบรื่น ดึงแม่ม้าน้อยของตัวเองมาจากหน่วยองครักษ์ราชวัลลภ นำดาบยาวสีดำทองที่ท่านโหราจารย์มอบให้กลับคืน ก่อนจะออกจากเขตพระราชฐานไปอย่างช้าๆ
เวลานี้ ตะวันเหลือเพียงแสงเท่านั้น
ห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาลเริ่มขึ้นแล้ว คนสัญจรบนถนนก็หายไป สวี่ชีอันสวมเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนตรวจการณ์ยามวิกาลและมีตราทองคำอยู่กับตัวอีก นอกจากภายในพระราชวัง สถานที่ที่เหลือก็ผ่านไปได้โดยไร้การขัดขวาง
‘กุบกับๆๆ…’
แม่ม้าน้อยเดินไปบนถนนที่ไร้ผู้คนอย่างช้าๆ สวี่ชีอันไตร่ตรองบริบทของคดีพระสนมฝู
พระสนมฝูเป็นเหยื่อรายใหญ่สุดในคดีนี้ เหยื่อสังเวยที่ใช้เพื่อใส่ร้ายองค์รัชทายาทและคนที่ลงมือก็คือหวงเสี่ยวโหรวซึ่งถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว
หวงเสี่ยวโหรวเคยได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ได้ฮองเฮารักษา ดังนั้นฮองเฮาจึงมีบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อนาง
และพระราชโอรสสี่ของฮองเฮาก็เป็นทายาทตามกฎหมาย องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันเกิดจากนางสนม ฮองเฮาไม่ยินยอมให้ตำแหน่งองค์รัชทายาทตกไปอยู่ผู้อื่น ดังนั้นนางจึงวางอุบาย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทและทวงตำแหน่งวังบูรพาคืน
แรงจูงใจชัดเจนมาก รายละเอียดคดีทั้งหมดก็สมเหตุสมผล ขาดเพียงแค่หลักฐาน
ใช่ ตอนนี้ยังขาดหลักฐานที่จะพิพากษาฮองเฮา
“หรงหมัวมัวพูดถูก ภายในวังในที่ล้ำลึกแห่งนี้มีความลับที่ไม่อาจบอกได้เยอะเกินไป หากเท้าข้างหนึ่งติดอยู่ในนั้นแล้วก็ไม่อาจดึงออกมาได้ เดิมทีข้าคิดว่าคดีนี้ต้องใช้เวลา ไม่คิดว่าความคืบหน้าจะเร็วขนาดนี้ คราวนี้แม้แต่โอกาสถ่วงเวลาก็ไม่มี จักรพรรดิหยวนจิ่ง ไอ้ลูกหมา หากยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ พรุ่งนี้ข้าจะลาหยุดเสีย”
เวลานี้มีภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน ด้านหลังสันหลังคาฝั่งซ้ายมีชายชุดดำคนหนึ่งหมอบอยู่และด้านหลังสันหลังคาฝั่งขวาก็มีชายชุดดำคนหนึ่งซุ่มโจมตีอยู่เช่นกัน
ในตรอกด้านหน้ามีชายชุดดำถือดาบคนหนึ่งยืนอยู่
อาศัยความพิเศษของทหารระดับหลอมวิญญาณ เขาสัมผัสถึงอันตรายได้ในทันที
ข้าถูกซุ่มโจมตี…ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของเขา วินาทีต่อมา เสียงแหวกอากาศอันแหลมคมก็ดังขึ้น
…
ยามพลบค่ำ
หลังเสวยพระกระยาหารเย็น จักรพรรดิหยวนจิ่งวางแผนจะไปหาลั่วอวี้เหิงที่อารามรัตนะ เพื่อนั่งสมาธิฝึกลมหายใจกับนางและฟังพระคัมภีร์ลัทธิเต๋า
จู่ๆ ขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็เข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาท เฉินกุ้ยเฟยมาขอเข้าพบอยู่ด้านนอก”
‘นางมาทำอะไรเวลานี้…’ จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดเล็กน้อยและเอ่ยว่า “บอกให้นางเข้ามา”
เฉินกุ้ยเฟยมายังที่ประทับของเขาในเวลานี้ หากเป็นเมื่อสองสามปีก่อน จักรพรรดิหยวนจิ่งคงคิดว่านางมาเสนอตัวให้และมาปรนนิบัติ
ภายในเวลาสิบปีเต็มนับตั้งแต่เขาฝึกเต๋า เหล่านางสนมนางกำนัลในวังหลังก็มาออดอ้อนขอปรนนิบัติอย่างไม่ลดละ จักรพรรดิหยวนจิ่งเมินเฉย คนที่ดื้อรั้นก็คุกเข่าอยู่ด้านนอกเป็นเวลาหนึ่งคืน
ต่อมาเมื่อเห็นว่าหัวใจของเขาราวกับเหล็กและรู้ว่าตัวเองไม่อาจนำหัวใจของจักรพรรดิกลับมาได้ เหล่านางสนมนางกำนัลก็หยุดความคิดนี้และใช้ชีวิตอย่างสงบ
จนถึงตอนนี้ก็ทำตัวสบายๆ แล้ว
ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตของตัวเองและรวมกลุ่มกันพูดคุยเป็นครั้งคราว
วังหลังของจักรพรรดิหยวนจิ่งน่าจะเป็นวังหลังที่กลมเกลียวกันมากที่สุดในห้าร้อยปีของต้าฟ่ง
หลังจากขันทีถอยออกไป จักรพรรดิหยวนจิ่งก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงและหลับตาฝึกลมหายใจ ไม่นานนัก เฉินกุ้ยเฟยก็ร้องไห้กระซิกพุ่งเข้ามา นางร้องไห้พลางเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท ท่านต้องออกหน้าให้ข้า ออกหน้าให้องค์รัชทายาท”
นางมาเพื่อองค์รัชทายาท ซึ่งจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้ หรือก็คือ อยู่ในการคาดการณ์ของเขา
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่พระเกศาดำเพิ่งขึ้นใหม่ลืมตาขึ้นและมองเฉินกุ้ยเฟยอย่างเฉยเมย “เรื่องขององค์รัชทายาทยังอยู่ระหว่างการสืบสวน เชิญนางสนมกลับไปเถิด ถูกผิดย่อมมีการตัดสิน”
“ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนหรือ คดีไม่ใช่ว่าความจริงปรากฏแล้วหรือ ฝ่าบาท ข้าได้ยินมาจากหลินอันว่า” เฉินกุ้ยเฟยบีบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหม นางเช็ดน้ำตาพลางพูดอย่างเศร้าโศก
“องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย”
‘หือ?’ จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว “หลินอันบอกเจ้าว่าอะไร”
“ใต้เท้าสวี่คนนั้นสืบหาความจริงพบแล้ว…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งชะงัก เขารู้ว่าศพที่จมน้ำที่กู้ขึ้นมาในเซี่ยเก๋อวันนี้เป็นนางข้าหลวงของพระสนมฝูที่หายตัวไปหลายวัน แต่เขาไม่คาดคิดว่า สวี่ชีอันจะสืบพบความจริงเร็วขนาดนี้
เฉินกุ้ยเฟยร้องไห้พลางบอกข้อมูลที่ตัวเองรู้ออกมา
จักรพรรดิหยวนจิ่งฟังจบ สีหน้าก็มืดมนเหมือนกับน้ำ เขาหันไปทางคนสนิทและสั่งว่า “ไปเรียกคนที่ดูแลสวี่ชีอันมา”
ขันทีชราในชุดคลุมงูขานรับและออกไป ไม่ถึงหนึ่งเค่อ เขาก็พาขันทีน้อยเข้ามา
ขันทีน้อยกวาดสายตามองไปรอบๆ จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งขัดสมาธิบนเตียงด้วยสีหน้าเฉยชา เฉินกุ้ยเฟยคุกเข่าอยู่ข้างเตียงและร้องไห้สะอึกสะอื้น
จักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “วันนี้คดีมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง”
ขันทีน้อยร่างความคิดไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินคำถามนี้ เขาก็ตอบอย่างไม่รีรอ “หลังจากคุณชายสวี่เข้ามาในวัง เขาก็รีบไปตรวจสอบศพทันทีและได้ข้อสรุปว่า นางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรวถูกคนจับกดน้ำจนจมน้ำตาย แล้วค่อยโยนศพลงไปในบ่อน้ำ”
จากนั้นก็กล่าวเสริมขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพเพื่อพิสูจน์การอนุมานนี้
“นอกจากนี้ ใต้เท้าสวี่ยังตรวจพบอีกว่านางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรวได้รับบาดแผลฉกรรจ์ที่หัวใจ เดิมทีนางควรจะตายไปหลายปีแล้ว แต่ถูกช่วยชีวิตด้วยยาครอบจักรวาล…ก่อนจะไปสอบปากคำหรงหมัวมัวที่เซี่ยเก๋อ…”
ครั้งนี้ขันทีน้อยมีประสบการณ์มาก เขาเล่าเพียงแค่กระบวนการ ไม่เพิ่มความรู้สึกส่วนตัวใดๆ แล้วก็ไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของสวี่ชีอันกับองค์หญิงทั้งสองคน
เขาเข้าใจแล้วว่าการพูดเรื่องพวกนี้ออกมาจะเป็นการเพิ่มปัญหาให้ใต้เท้าสวี่ แต่วิธีที่นำเอานิสัยขี้ฟ้องขององค์หญิงทั้งสองคนมาใช้เช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทไม่ทรงโปรด
จำเป็นต้องทำร้ายผู้อื่นและตัวเองด้วยหรือ
นอกจากนี้ใต้เท้าสวี่ยังดีกับข้าและห่วงใยข้ามาก แม้ว่าจะอารมณ์ฉุนเฉียวไปบ้าง แต่ความรู้สึกลำบากใจก็ไม่เลว
“แน่ใจหรือว่าสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายของห้องโอสถหลวงถูกคนฉีกทิ้งไปบางส่วน” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสถามเพื่อยืนยัน
“ใต้เท้าสวี่พูดเช่นนี้” ขันทีน้อยยังคงไม่แสดงความคิดเห็นส่วนตัวออกมา
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าช้าๆ “แจ้งผู้ตรวจพิสูจน์ศพให้เข้ามาในวังคืนนี้ ตรวจสอบศพของนางกำนัลหวงเสี่ยวโหรวอีกครั้ง ข้าต้องการรู้คำตอบในทันที”
ครึ่งชั่วยามต่อมา คนสนิทก็นำผลการชันสูตรพลิกศพของผู้ตรวจพิสูจน์ศพกลับมา ซึ่งยืนยันเหมือนกับสวี่ชีอันอย่างไม่ต้องสงสัย
จักรพรรดิหยวนจิ่งสิ้นหวังทันทีและไม่ตรัสคำใดอยู่นาน ที่ประทับอันกว้างใหญ่เงียบสนิท
จนกระทั่งเฉินกุ้ยเฟยหมอบลงกับพื้นและร้องไห้ “ใต้เท้าสวี่ไม่กล้าสอบสวนฮองเฮา เรื่องนี้มีเพียงฝ่าบาทออกหน้าด้วยตนเองเท่านั้นถึงจะได้ วอนขอฝ่าบาทจัดการให้องค์รัชทายาทกับข้าด้วยเถิด”
…………………………………………………
[1] ยามเหว่ย สามเค่อ เทียบเวลาปัจจุบันคือ 13.45 น.