ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 249 ความรู้ทางการแพทย์
บทที่ 249 ความรู้ทางการแพทย์
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย นางมองตามการเคลื่อนไหวของสวี่ชีอันไปที่ผ้าไหมสีเหลืองหม่น เสียงไพเราะแจ่มชัดปะปนกับความร้อนใจ “เจ้าพบอะไร”
สวี่ชีอันยักไหล่ “กระหม่อมเดาว่าความลับอยู่ในผ้าผืนนี้ แต่ไม่รู้ว่ามันซ่อนอะไรไว้กันแน่”
ดวงตางดงามของฮว๋ายชิ่งส่องประกาย ‘?’ ไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อกี้เขาต้องพูดเสียงดังด้วย
สายตาของเว่ยเยวียนตกอยู่บนผืนผ้าไหมเหลืองแล้วเอ่ย “นี่คือวัสดุที่มีแต่ผินเฟยขั้นสามในวังเท่านั้นที่จะใช้ได้”
พระสนมในวังก็มียศถาบรรดาศักดิ์เช่นกัน ผู้อยู่สูงสุดก็คือฮองเฮา รองลงมาเป็นหวงกุ้ยเฟย แล้วก็กุ้ยเฟย คำเรียกเฉพาะแบบพระสนมฝูเช่นนี้อยู่ระดับชั้นเอกขั้นหนึ่ง
ต่อจากนั้นก็เป็นฟูเหริน กุ้ยจี เจาอี๋ และอื่นๆ ล้วนอยู่ในชั้นเอกขั้นสาม
การจำระดับของคนงามในวังหลังเป็นจุดบอดความรู้ของสวี่ชีอัน แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาใหญ่ เขาเอ่ยถาม “แล้วนางข้าหลวงจะมีวัสดุเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
องค์ชายสี่ตอบกลับ “ถ้าไม่ใช่ของพระราชทานจากผู้สูงส่ง ก็ต้องขโมยมา”
สวี่ชีอันพยักหน้า
เว่ยเยวียนรับผ้าไหมสีเหลือเก่าๆ หม่นๆ มาแล้วพิจารณาดู “วสันต์ ปีหยวนจิ่งที่สามสิบเอ็ด…”
“ปีนั้นมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ข้าหมายถึงเรื่องในวัง” สวี่ชีอันตื่นเต้น เขาถามตรงๆ เลยว่าปีนั้นเคยเกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือไม่
นี่เป็นแรงบันดาลใจที่เขาได้รับมาจากเรื่องที่ฮองเฮาถูกปลดคราวก่อน
ปีหยวนจิ่งที่สามสิบเอ็ด ฮองเฮาถูกส่งเข้าตำหนักเย็น
ปีต่อมาเว่ยเยวียนก็ออกรบ เมื่อได้รับชัยจากการรบโจมตีกับเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือ ฮองเฮาก็ได้ออกจากตำหนักเย็น หากไม่ใช่เพราะรู้เรื่องนี้ ถึงสวี่ชีอันจะคิดสมองแตกอย่างไร ก็ทำได้แค่เดาว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งนึกถึงความรู้สึกเก่าๆ จึงอภัยโทษให้ฮองเฮา
ดังนั้น ผ้าที่นางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรวทิ้งไว้และปักว่าปีหยวนจิ่งที่สามสิบเอ็ดนี้ บางทีอาจสามารถตามหาเบาะแสพบได้จากเหตุการณ์ในปีนั้นๆ ก็เป็นได้
เว่ยเยวียนและฮว๋ายชิ่งส่ายหน้าพร้อมกัน
“ลองคิดดีๆ สิ” สวี่ชีอันไม่ยินยอม
ทั้งสองยังคงส่ายหน้า
ก็ได้ นักเรียนหัวกะทิทั้งสองคนพร้อมใจกันปฏิเสธ กว่าครึ่งคงไม่มีความหวังแล้ว…ก็จริง แค่นางกำนัลตัวเล็กตัวน้อยคนหนึ่ง จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ๆ ได้อย่างไร
สวี่ชีอันเลียริมฝีปาก รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
สืบคดีพระสนมฝูมาจนถึงตอนนี้ก็นับว่าเข้าสู่โหมดยากแล้ว เบาะแสก่อนหน้านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มือบงการเบื้องหลังโยนมาให้ ทำให้ความยากของรูปคดีไม่มากนัก
หากพูดอีกอย่าง แม้ว่าจะไม่ใช่เขาทำคดี แต่คนอื่นๆ ก็สามารถสืบได้เช่นกัน ความแตกต่างจะอยู่ที่เวลาเท่านั้น
แต่ตอนนี้เมื่อกระโดดออกมาจากการชี้นำของมือบงการเบื้องหลังได้ ในที่สุดก็วนมาถึงคราวที่เจ้าแซ่สวี่ผู้ชอบของฟรีจะได้อวดฝีมือสักที
ช้าก่อน…
ทันใดนั้น สายฟ้าก็ฟาดเข้าที่จิตใจของสวี่ชีอัน เขานึกถึงรายละเอียดที่ตนมองข้ามได้แล้ว
เขายืดหลังตรง สีหน้าเคร่งเครียดแล้วเอ่ยว่า “เว่ยกง ข้าน้อยมีเรื่องที่อยากจะขอคำชี้แนะขอรับ”
เมื่อเห็นฆ้องทองแดงที่ตนชื่นชมมีท่าทางจริงจัง เว่ยเยวียนก็วางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ว่ามา”
“ก่อนที่ข้าน้อยจะกลับเมืองหลวง คดีของพระสนมฝูถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ ทั้งสามสำนักหลบเลี่ยงที่จะทำคดี หากว่าข้าน้อยตายไปจริงๆ คดีนี้ก็จะถูกตัดสินว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้กระทำผิดอย่างนั้นหรือขอรับ”
ตอนแรกเริ่ม สวี่ชีอันคิดว่าคดีนี้มีลับลมคมในมาก สามสำนักไม่อยากข้องเกี่ยว จนกระทั่งเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็ได้รับเผือกร้อนลูกนี้เข้าพอดี
วันนั้นตอนที่พบกับองค์รัชทายาท ศาลต้าหลี่ยังบอกเป็นนัยว่าเขามาเป็นแรงงานแทนผู้อื่น
เว่ยเยวียนหยิบถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วดื่มไปอึกหนึ่งอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “วันนี้ฝ่าบาทประสงค์ที่จะปลดฮองเฮา สามสำนักและขุนนางทั้งหลายไม่เห็นด้วย คิดว่าควรจะให้มีการยืนยันให้แน่ชัดเสียก่อนแล้วค่อยปรึกษาเรื่องนี้อีกครั้ง ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวว่าจะปลดก็ปลดได้
“ความคิดของขุนนางมีอยู่สามอย่าง หนึ่งคือ การปลดฮองเฮาเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีขั้นตอน ไม่อาจทำได้ง่ายๆ สอง ขุนนางเกลียดชังเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นกะทันหันเช่นนี้ มันจะทำให้พวกเขาคิดว่าตนมีอำนาจควบคุมท้องพระโรงไม่เพียงพอ และสาม พวกเขาจำเป็นต้องมีเวลาคิดคำนวณผลประโยชน์หลังจากปลดฮองเฮา”
หมายความว่า เจ้าและขุนนางเป็นพวกวางหมากเก่งกันมาตั้งแต่โบราณเลยสินะ…สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว “เช่นนั้น เรื่องขององค์รัชทายาทก็คงจะใช้หลักการนี้ตัดสินเช่นกัน”
เว่ยเยวียนพยักหน้า “เรื่องขององค์รัชทายาทเกี่ยวพันกับบ้านเมือง ไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวว่าให้เวลาสามวันก็จะเป็นสามวัน มิใช่ว่าสามสำนักไม่สืบสวน เพียงแต่บอกฝ่าบาทว่าพวกเขาต้องการเวลา”
“ดังนั้น ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีข้าเลย แม้ว่าข้าจะไม่กลับมา แต่เมื่อผ่านไปหลายวันก็จะมีคนมารับคดีต่อเอง จากนั้นก็ตามเบาะแสที่ผู้อยู่เบื้องหลังมอบมาให้ ก็จะเดินไปตามเส้นทางที่วางไว้แล้วสืบรู้เรื่องของฮองเฮาทีละนิดๆ”
คำพูดของสวี่ชีอันทำให้องค์ชายสี่ตกตะลึงจนต้องเบิกตาโต
ส่วนเว่ยเยวียนตกอยู่ในการครุ่นคิด
“ดังนั้น เรื่องที่เจ้าพบการลอบสังหารเมื่อคืน ก็เป็นเพราะผู้อยู่เบื้องหลังไม่อยากให้เจ้าสืบต่อไปแล้วใช่หรือไม่ เขากลัวเข้าแล้ว” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเห็นจุดสำคัญในทันที นางเอ่ยการคาดเดาในใจของสวี่ชีอันออกมา
“กลัว?” องค์ชายสี่ไม่เข้าใจ
“การฟื้นคืนชีพของสวี่ชีอันอยู่เหนือความคาดหมายของผู้อยู่เบื้องหลัง และชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังเกินไป ผู้อยู่เบื้องหลังไม่กล้าให้เขาสืบสวนต่อ ดังนั้น เมื่อเบาะแสชี้ไปยังเสด็จแม่ ผู้อยู่เบื้องหลังจึงต้องรีบส่งมือสังหารออกไป หวังจะกำจัดใต้เท้าสวี่”
ฮว๋ายชิ่งอธิบายให้พี่ชายฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
องค์ชายสี่เอ่ยถาม “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะสืบอย่างไร”
เว่ยเยวียนและฮว๋ายชิ่งไม่พูดจา ต่างมองไปที่สวี่ชีอัน
พวกเขาล้วนเป็นคนฉลาด แต่การสืบคดียังคงต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญ
เหมือนกับที่สวี่ชีอันมักจะคิดว่าไอคิวของตนเทียบได้กับไอน์สไตน์ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าหากต้องการสร้างระเบิดปรมาณู เขายังขาดความรู้เรื่องนี้อยู่มาก ต้องพึ่งพานักวิทยาศาสตร์มืออาชีพ
สายตาของทั้งสามมองมา นักสืบชื่อดังสวี่หนิงเยี่ยนกล่าวเสียงขรึม “ข้า…ต้องการชันสูตรศพ”
…
พระราชวัง
องค์ชายสี่และองค์หญิงฮว๋ายชิ่งนำสวี่ชีอันเข้าวังมา รถม้าเพิ่งจะเข้าสู่ประตูวัง สวี่ชีอันก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเอ่ยเสนอ
“ต้องแจ้งแก่ขันทีผู้นั้นเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรนี่ก็คือกฎที่ฝ่าบาทกำหนดให้กระหม่อม”
องค์ชายสี่ครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ไม่เลวเลย ใต้เท้าสวี่เป็นผู้มีกฎมีระเบียบ มีจิตใจซื่อสัตย์ภักดีต่อต้าฟ่งและเสด็จพ่อ”
เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าแค่ทำตามใจ…สวี่ชีอันกล่าวอย่างซาบซึ้ง “องค์ชายสี่มองคนเก่งกาจนักพ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งอยู่ในรถม้าอีกคัน องค์หญิงที่ยังไม่ได้อภิเษกไม่มีทางได้รับอนุญาตให้นั่งร่วมรถม้าเดียวกับชายหนุ่มแน่นอน
หากไม่มีพี่ชายที่เป็นก้างขวางคอคนนี้อยู่ บางทีสวี่ชีอันอาจจะขอทำหน้าหนาแล้วนั่งร่วมรถคันเดียวกับองค์หญิงสักหน่อย
องค์ชายสี่รีบส่งคนไปแจ้งทันที หนึ่งเค่อต่อมา ขันทีสวมชุดคลุมลายปลาบินสีฟ้าอ่อนก็รีบวิ่งเข้ามา
เขามองสวี่ชีอันอย่างงุนงง “ใต้เท้าสวี่ มิใช่ว่าคดีจบลงแล้วหรือขอรับ”
สวี่ชีอันตอบกลับ “ฝ่าบาทยังมิได้เก็บป้ายทองกลับไป ข้าก็จะสืบต่อ”
“ได้ ได้เลย…”
ความจริงขันทีน้อยไม่คิดจะรับดูแลเรื่องนี้ต่ออีกแล้ว เขายังอยากมีชีวิตอยู่อีกหลายปีนะ
แต่ฮว๋ายชิ่งและองค์ชายสี่ล้วนอยู่ตรงนี้ด้วย เขาไม่กล้าปฏิเสธ จึงเดินตามอยู่ด้านหลังสวี่ชีอันอย่างจนใจ แล้วไปที่ห้องเย็นด้วยกันกับเขา
เมื่อเข้าใกล้ห้องเย็น จู่ๆ สวี่ชีอันก็สั่งว่า “เจ้าไปเชิญหมัวมัวสักคนมา”
เมื่อไล่ขันทีน้อยไปแล้ว สวี่ชีอัน องค์หญิงฮว๋ายชิ่ง และองค์ชายสี่ก็เข้าไปในห้องเย็น เพื่อพบเห็นศพของนางข้าหลวงหวงเสี่ยวโหรว
รอยผ่าที่อกและคอถูกเย็บเรียบร้อย
“เราต้องตรวจศพอีกรอบแล้ว” สวี่ชีอันจ้องไปที่ศพของหวงเสี่ยวโหรว
เมื่อเห็นศพบวมอืดขาวซีด องค์ชายสี่ก็ขมวดคิ้วไม่หยุด แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น
“เจ้าจะตรวจอะไรอีก” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยถามด้วยหน้าไม่เปลี่ยนสี
“พระองค์ยังจำ ‘กฎเกณฑ์’ ที่กระหม่อมเคยกล่าวตอนตรวจสอบศพเมื่อวานได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันเรียกขันทีประจำห้องเย็นเข้ามาแล้วกล่าว “ยกนางไปที่ลาน ตรงนี้มีแสงไม่พอ”
ฮว๋ายชิ่งตะลึง จากนั้นก็เข้าใจความหมายของสวี่ชีอัน ใบหน้าขาวสล้างจึงมีรอยฝาดแดงปรากฏขึ้นที่แก้ม
นางรู้ว่าสวี่ชีอันจะทำอะไร
ขันทีสองคนเข้ามาจากข้างนอก แล้วยกแผ่นกระดานเรียบๆ ออกไปจากห้องเย็น จากนั้นวางศพไว้ที่ลานกลางแสงอาทิตย์
สวี่ชีอันปล่อยให้ศพตั้งอยู่กลางแดดพักหนึ่ง จนกระทั่งขันทีน้องเดินนำหมัวมัวคนหนึ่งเข้ามา สวี่ชีอันเห็นก็ดีใจทันที
นั่นเป็นหมัวมัวที่เชี่ยวชาญเรื่องประเภทนั้นดีกว่าเขา
หมัวมัวเฒ่าถวายความเคารพเมื่อเห็นฮว๋ายชิ่งและองค์ชายสี่
จากนั้นก็หันไปบ่นเสียงเล็กเสียงน้อยกับสวี่ชีอัน “ใต้เท้าผู้นี้ เหตุใดถึงให้บ่าวมาตรวจสอบศพอีกเล่า บ่าวมิใช่ผู้ตรวจพิสูจน์ศพนะเจ้าคะ ตรวจศพติดกันเช่นนี้ก็กินข้าวไม่ลงแล้ว”
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ก็เห็นศพหญิงสาวน่าเกลียดตัวบวมฉึ่ง หมัวมัวชราร้อง ‘ว้าย’ ออกมาแล้วปิดดวงตา “ไม่ตรวจแล้วๆ ขอร้องล่ะใต้เท้า อย่าได้ทรมานบ่าวเลยนะ”
องค์ชายสี่ขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากสั่งสอน สวี่ชีอันก็โบกมือแล้วล้วงเงินออกมาราวๆ ห้าตำลึงวางไว้ที่ฝ่ามือ ก่อนเอ่ยยิ้มๆ “หมัวมัว จะตรวจได้หรือไม่”
“บ่าวยินดีรับใช้ใต้เท้าอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” หมัวมัวชราเอ่ยอย่างสุภาพว่า “ใต้เท้าอยากตรวจสอบอะไรหรือเจ้าคะ”
สวี่ชีอันชี้ไปที่ศพ “อยากตรวจว่านางยังบริสุทธิ์หรือไม่”
หมัวมัวชราใช้ผ้าหยาบพันมือเอาไว้แล้วกางขาสองข้างของศพหญิงสาวออก…
องค์ชายสี่และฮว๋ายชิ่งหันหน้าไปทางอื่นพร้อมกัน ไม่ยอมมองกระบวนการต่อไป
ประมาณสิบกว่าวินาที ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงหมัวมัวร้องว่า ‘เอ๊ะ’ “ศพหญิงสาวนี่ไม่บริสุทธิ์”
‘ไม่บริสุทธิ์’ …ฮว๋ายชิ่งและองค์ชายสี่มองหน้ากัน ต่างเห็นความอึ้งและตกตะลึงจากอีกฝ่าย
คนงามในวังหลังสามพันคน ความจริงแล้วนับรวมพวกนางข้าหลวงด้วย
ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ตัวอย่างที่องค์จักรพรรดิได้เสพสุขกับพวกนางข้าหลวงนั้นมีอยู่มากมาย ต้าฟ่งก่อตั้งมาได้ห้าร้อยปี มีนางสนมที่มาจากพวกนางข้าหลวงอยู่ไม่น้อยทีเดียว
แม้ว่าหวงเสี่ยวโหรวจะเป็นนางข้าหลวงที่ไม่เด่นสะดุดตานัก แต่ร่างกายของนางก็เป็นขององค์จักรพรรดิ เป็นสมบัติส่วนตัวของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
หญิงสาวทั้งหมดในวังหลังล้วนเป็นของจักรพรรดิทั้งสิ้น จะได้ปรนนิบัติหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่กฎระเบียบเป็นเช่นนี้
สวี่ชีอันดวงตาสว่างวาบ ราวกับการคาดเดาบางอย่างของตนได้รับการยืนยันแล้ว เขาก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยว่า “หมัวมัว ท่านดูอีกทีสิว่านางเคยตั้งครรภ์หรือไม่”
“เอ่อ…” หมัวมัวชราเหลือบมองศพขึ้นอืด ใบหน้ายับยู่ยี่ “บ่าวมองไม่ออกเจ้าค่ะ”
แล้วจะมีประโยชน์อะไร เอาเงินคืนมาให้ข้าเลยนะ…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ ลังเลอยู่พักหนึ่งก็ถอนหายใจ “ช่างเถอะ เจ้าหลีกไป ข้าทำเอง”
ดังนั้นเขาจึงเข้าแทนที่หมัวมัวชราแล้วแยกขาศพหญิงสาวออก
…
หนึ่งเค่อต่อมา ในลาน สวี่ชีอันแช่มือเอาไว้ในถังน้ำแล้วเช็ดล้างไม่หยุด ฝักล้างมือสี่เหลี่ยมก็ถูกเขาใช้จนเล็กลงเรื่อยๆ
องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งผู้สวมชุดชาววังสีขาวและมีเรือนกายสูงโปร่งยืนดูอยู่ข้างๆ ลมเย็นพัดชายกระโปรงนาง ผมพลิ้วไหวราวกับเส้นไหม บริสุทธิ์งดงาม สวยสล้างสะดุดตา
“เจ้าจะล้างไปถึงเมื่อไหร่”
เสียงของฮว๋ายชิ่งมาพร้อมกับความจนใจ
“ล้างจนกว่าจะผลัดผิวใหม่” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
แม้ว่านิ้วกลางและนิ้วนางของเขาจะเคยเดินอยู่บนเส้นทางโสมมมาก่อน แต่พวกมันก็ไม่ควรได้รับเจอเรื่องแบบเมื่อครู่
“ต้องโทษหมัวมัวชราผู้นั้นที่มีความสามารถไม่เท่าไหร่ ทั้งยังเอาเงินข้าไปอีกตั้งห้าตำลึง องค์หญิงต้องชดใช้ให้กระหม่อมนะ”
ฮว๋ายชิ่งเพิกเฉยต่อคำร้องเรียนของเขาแล้วเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่านางเคยตั้งครรภ์ มีหลักฐานอะไรหรือ”
“มันจะมีสิ่งนี้เพิ่มขึ้น หลังจากสตรีตั้งครรภ์ ท้องน้อยกับโคนต้นขาจะปรากฏรอยเล็กๆ เหมือนประกายไฟขึ้นมา สิ่งนี้เรียกว่ารอยแตกลาย”
“หากเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่เหตุใดหมัวมัวชราถึงมองไม่ออก”
“หากดูแลอย่างเหมาะสม รอยแตกลายก็จะหายไปเอง รอยแตกลายบนตัวหวงเสี่ยวโหรวจางมาก ยิ่งศพแช่อยู่ในน้ำจนขึ้นอืด รอยแตกลายจึงยิ่งยากจะแยกแยะได้ แม้แต่กระหม่อมก็ไม่กล้ายืนยัน หมัวมัวชราก็คงจะเป็นเช่นนั้น” สวี่ชีอันล้างมือไปและเอ่ยอธิบายไปพร้อมกัน
“แล้วก็ยังมีอีกจุด เมื่อวานตอนตรวจสอบศพอยู่ กระหม่อมได้แสดงแผลเป็นใต้หน้าอกให้หวงเสี่ยวโหรวให้องค์หญิงดู…ยังจำการท่าทางของกระหม่อมได้หรือไม่”
สวี่ชีอันทำท่าใช้แรงดันขึ้นบน
ฮว๋ายชิ่งกระดากอายเล็กน้อย เจ้าคนนี้มักจะทำท่าทางไร้มารยาทต่อหน้านางตลอดเลย
ถึงนางจะไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยอย่างไร แต่นางก็เป็นองค์หญิงที่ยังไม่อภิเษกนะ
“แน่นอน สตรีมีพรสวรรค์ก็สามารถไปถึงระดับเช่นนั้นได้เหมือนกัน ดังนั้นนี่จึงใช้เพื่ออ้างอิงว่านางเคยตั้งครรภ์เท่านั้น” สวี่ชีอันเสริมอยู่ในใจ
และองค์หญิง ท่านเป็นสตรีมีพรสวรรค์ผู้นั้น
“แล้วเหตุใดเมื่อครู่เจ้าต้องตรวจสอบศพด้วยตัวเองเล่า” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยถาม หากเพียงแค่สองข้อนี้ สวี่ชีอันก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองเลย
สวี่ชีอันเงียบขรึมไม่พูดจา
เคยคลอดบุตรหรือไม่ นอกจากรอยแตกลายแล้ว ยังสามารถตัดสินได้จากรูปร่างของปากมดลูกด้วย
คำถามนี้ตอบได้ยาก เป็นเหตุผลทางวิชาการเกินไป เหมือนกับที่เขาสอนหลิงอินว่า เด็กผู้ชายที่โตแล้วกับเด็กผู้หญิงที่โตแล้วแตกต่างกัน เป็นการใช้การอธิบายที่เข้าใจง่ายซึ่งเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย
“ก่อนที่สตรีจะคลอดบุตร จะเหมือนกับลูกนกที่กำลังรอคอยอาหาร ปากจะอ้าออก หลังจากคลอดบุตรแล้วก็จะพอใจ ดังนั้นปากจึงหุบลง” สวี่ชีอันเอ่ยพูดอย่างระมัดระวัง
“???” ฮว๋ายชิ่งมองเขาอย่างงุนงง
สวี่ชีอันเปลี่ยนเรื่อง “องค์หญิง เคยอ่านตำราแพทย์หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งมองเขาแล้วเอ่ยเย็นชา “เมื่อวานตอนตรวจสอบศพ จู่ๆ เจ้าก็ปวดหัวขึ้นมา ตอนที่ข้าตรวจชีพจรให้เจ้าก็เคยเอ่ยไปแล้วว่ารู้วิชาแพทย์เล็กน้อย”
“อ้อๆ เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว” สวี่ชีอันปรบมือแล้วยิ้มออกมา “สตรีที่ยังไม่คลอดบุตรนั้น รูปร่างของปากมดลูกจะมีลักษณะเหมือนตอนพูดว่า ‘โอ’ พอคลอดออกมาแล้วก็จะกลายเป็น ‘อี’ ”
คำอธิบายนี้ทำให้องค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้ชาญฉลาดเข้าใจได้ เพียงแต่เมื่อนึกถึงคำพูดหยาบกระด้างของเขาก่อนหน้านี้ ฮว๋ายชิ่งก็ไม่อยากจะสนใจเขาแล้ว
องค์ชายสี่ผู้ไม่เชี่ยวชาญการแพทย์เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ได้แต่เอ่ยทอดถอนใจว่า “คุณชายสวี่มีความรู้ยิ่งนัก”
ความรู้นี้มาจากตอนที่สวี่ชีอันเจอกับคดีฆาตกรรมเพราะความรักเมื่อชาติก่อน ผู้ตายเป็นหญิงสาวที่เหยียบเรือสองแคม และเจริญรอยตามพี่เฉิง[1]
เมื่อแพทย์นิติเวชผ่าพิสูจน์ศพก็บอกว่า ‘อย่าเห็นว่าเธอไม่เคยแต่งงานนะ เพราะจริงๆ แล้วในท้องเคยมีคนตาย’
ตอนนี้สวี่ชีอันที่ไปเป็นผู้ช่วยเสริมก็พูดว่า ‘อาจารย์ช่วยสั่งสอนด้วย’
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของความรู้นี้
“กระหม่อมเคยให้คนไปตรวจสอบหวงเสี่ยวโหรว นางเข้ามาในวังตอนปีหยวนจิ่งที่ยี่สิบแปด…” สวี่ชีอันเหลือบมององค์หญิงองค์ชายทั้งสอง
คำอธิบายคือ มีคนแอบปีนมุมกำแพงของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
ในช่วงปีหยวนจิ่งที่ยี่สิบแปด จักรพรรดิเฒ่าผู้นั้นละเว้นกิเลสไปฝึกตนแล้ว แม้แต่ฮองเฮาผู้งามล่มบ้านล่มเมือง หรือเฉินกุ้ยเฟยผู้งดงามอันดับหนึ่งก็ยังไม่แตะต้อง แล้วจะไปแตะนางข้าหลวงตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไร
“จะเป็นใครกัน” องค์ชายสี่ครุ่นคิด
สวี่ชีอันมองเขาเงียบๆ
“เจ้ามองข้าทำไม” องค์ชายสี่รู้สึกเหมือนถูกล่วงเกิน
สวี่ชีอันถอนสายตากลับแล้วเอ่ยวิเคราะห์ “คนผู้นั้นจริงๆ แล้วหาตัวง่ายมาก เขาจะต้องมีเงื่อนไขครบทั้งสองอย่างนี้ คือ หนึ่งสามารถเข้าออกวังหลังได้อย่างอิสระ ซึ่งเชื้อพระวงศ์เข้ากับเงื่อนไขข้อนี้ได้พอดี
“สอง ใจกล้ามาก ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าลงมือกับนางข้าหลวง”
ตอนนี้เอง จู่ๆ ฮว๋ายชิ่งก็เอ่ยขึ้น “เสด็จพี่ ข้ามีเรื่องจะพูดกับใต้เท้าสวี่”
องค์ชายสี่ขมวดคิ้ว เหลือบมองน้องสาวตนหนึ่งครั้งแล้วพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นข้าไปก่อน”
เมื่อมองส่งองค์ชายสี่จากไปแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็เหล่มองหูตาจากจักรพรรดิหยวนจิ่ง…ขันทีน้อย
“ไสหัวไป”
ขันทีน้อยก้มหน้าแล้วจากไปโดยไม่เอ่ยค้าน
พอทุกคนออกไปแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็มองไปที่สวี่ชีอันแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ใต้เท้าสวี่ หวงเสี่ยวโหรวสิ้นชีพ เสด็จแม่รับโทษ กว่าครึ่งคงเกี่ยวกับชายผู้นี้”
สวี่ชีอันเล่นน้ำในถัง แววตาเหม่อลอย ไม่มีจุดโฟกัส “องค์หญิงเอาตนเป็นที่ตั้งเกินไปแล้ว สืบคดีนั้นจะต้องเยือกเย็น และตั้งสมมติฐานไปตามเบาะแส ตอนนี้พบว่าหวงเสี่ยวโหรวเคยตั้งครรภ์ มีสมมติฐานว่าชายผู้นั้นไม่ใช่ฝ่าบาท แต่เป็นคนอื่น เมื่อมีสมมติฐานว่าหวงเสี่ยวโหรวจะฆ่าตัวตาย ฮองเฮาช่วยเหลือนางและยอมรับผิด ทั้งหมดนี้ก็เพราะชายผู้นั้น เช่นนั้น เขาก็ยังต้องสอดคล้องกับอีกเงื่อนไขหนึ่ง
“ชายผู้นี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮองเฮาอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรมากมายกับฝ่าบาท ดังนั้นเขาจึงสามารถเข้าออกวังหลังได้ แต่หากทำเรื่องเสื่อมเสียในวังหลัง ฝ่าบาทจะต้องสังหารเขาโดยไม่ลังเลแน่นอน
“องค์ชายสี่เป็นบุตรสายตรงของฝ่าบาท แม้ว่าเขาจะข่มเหงนางข้าหลวงจนทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ แต่คงไม่ถึงกับสังหารสิ้น ฮองเฮาย่อมไม่มีเหตุผลที่จะต้อง ‘ยอมรับผิด’ เพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็น”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เขาก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองสบตากับดวงตาราวน้ำค้างยามสารทของฮว๋ายชิ่ง “ในใจของพระองค์มีใครอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเยือกเย็น “ข้ามีอยู่ผู้หนึ่ง”
……………………………………………..
[1] พี่เฉิง หรือ อิโต มาโกโตะ ตัวละครหลักในเรื่อง School Days ที่จบชีวิตเพราะมีพฤติกรรมนอกใจ