ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 250 ความจริง
บทที่ 250 ความจริง
ตามคาด ชายที่ทำให้ฮองเฮาให้ความสำคัญเช่นนี้ยอมถูกส่งเข้าตำหนักเย็นก็ต้องปกป้อง ฮว๋ายชิ่งในฐานะลูกสาวไม่น่าจะไม่มีเบาะแสอะไร
หากข้าเป็นโฮมส์ ฮว๋ายชิ่งเจ้าก็เป็นวัตสัน…สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วไต่ถาม “เป็นใคร? ”
ฮว๋ายชิ่งเดิมก็ใบหน้าเย็นชาอยู่แล้ว ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร น้ำเสียงก็เฉื่อยเนือยเหินห่าง พ่นออกมาคำหนึ่ง “ท่านน้า”
‘ท่านน้า’ คำนี้ราวกับเป็นกุญแจไขปริศนาทำให้สวี่ชีอันกระจ่างแจ้งในทันที เชื่อมเบาะแสทั้งหมดเข้าด้วยกัน ในที่สุดก็คลายปมคดีของพระสนมฝูออกแล้ว
“ท่านน้าผู้นี้คงเป็นน้องชายไม่ก็พี่ชายของฮองเฮา” สวี่ชีอันส่งเสียงจิบปาก
ก็มีเพียงพี่น้องร่วมบิดามารดาที่จะทำให้ฮองเฮายอมแบกรับข้อกล่าวหาเพื่อปกป้องเขา
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “ท่านน้าเป็นน้องชายของเสด็จแม่ ลูกหลานผู้ดีที่ดื่มด่ำกับสุราเคล้านารี ไร้ความรู้ความสามารถ ลุ่มหลงในความงาม สาวใช้ของตำหนักเฟิ่งฉีล้วนเกลียดเขา เพราะทุกครั้งที่เขาไปเยี่ยมเยียนฮองเฮา จะแอบลวนลามพวกนางเสมอ”
ในถ้อยคำพูดราวกับเกลียดชังและเฉยชาต่อท่านน้าผู้นั้นยิ่งนัก
“ตอนนี้ข้าเพิ่งจะนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง สมัยก่อนท่านน้าจะเข้าไปเยี่ยมเยียนเสด็จแม่ในตำหนักเป็นครั้งครา ทว่าไม่กี่ปีก่อนจู่ๆ ก็ไม่มาอีกเลย เมื่อกลับมามองปัจจุบันอีกครั้งจึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น”
นอกเสียจากราชวงศ์แล้ว ครอบครัวของฮองเฮา หวงกุ้ยเฟย และกุ้ยเฟยก็สามารถเข้ามาเยี่ยมเยียนพวกนางในวังได้ เพียงต้องแจ้งในวังล่วงหน้า
สวี่ชีอันนั่งยองบนพื้น สองมือจุ่มลงถังน้ำ แหงนหน้าขึ้นประมาณสี่สิบห้าองศาพร้อมพึมพำ
“สาวใช้หวงเสี่ยวโหรวถูกท่านน้ากระทำชำเราและได้ตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงปลงตกคิดฆ่าตัวตาย ทว่าคนที่ฮองเฮาจัดมาให้อยู่ข้างกายนางมาพบได้ทันเวลา จึงช่วยชีวิตนางไว้ได้…ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น”
ในทางกลับกันฮว๋ายชิ่งก้มมองปลายเท้าพร้อมเอ่ยเสียงเบา “เจ้าพูดว่านางเคยคลอดลูกมิใช่หรือ เช่นนั้นแท้งล่ะ ไม่ใช่ว่าการแท้งจะ…ปากมดลูกปิดหรือ สาวใช้ตั้งครรภ์มิอาจซ่อนได้ ทว่าในเมื่อหวงเสี่ยวโหรวผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเด็กยังไม่ได้คลอด”
สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ “3-4 เดือนก็มีผิวแตกลายแล้ว หลังจากแท้งปากมดลูกก็จะปิด ข้ามีแนวโน้มว่าฮองเฮาจะทำแท้งเด็กไปแล้วมากกว่า เพราะเด็กมิอาจถือกำเนิดได้ มิเช่นนั้นท่านน้าก็จบสิ้นแล้ว”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า “ดังนั้นสาวใช้หวงเสี่ยวโหรวแค้นเคืองอยู่ในใจ จึงร่วมมือกับผู้บงการ ภายนอกใส่ความองค์รัชทายาท แต่ความเป็นจริงลอบมุ่งไปที่ฮองเฮาและเว่ยกงงั้นหรือ”
“หากเป็นแบบนี้ เช่นนั้นหวงเสี่ยวโหรวเรียกได้ว่าเกลียดฮองเฮาเข้ากระดูกดำ อืม ก็จริง ความแค้นที่ฆ่าลูกสินะ แต่ข้าคิดว่าไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น”
“เจ้าอยากถามอะไร”
“องค์หญิงปราดเปรื่องจริงๆ…เหตุใดฮองเฮาจึงไม่ฆ่าหวงเสี่ยวโหรวล่ะ เช่นนี้ทุกอย่างก็จบแล้ว”
“เสด็จแม่ช่างใจอ่อนจริงๆ ” ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้าด้วยความเสียดาย เมื่อมองสีหน้าของนางราวกับเวทนาในชะตากรรมและขุ่นเคืองที่ไม่ลุกสู้
ดูท่าทางฮองเฮาจะเป็นสตรีขี้ใจอ่อน…หากเป็นฮว๋ายชิ่ง คาดว่าตอนนั้นคงฆ่าหวงเสี่ยวโหรวแล้ว จะได้ไม่เกิดหายนะภายหลัง…ฮว๋ายชิ่งเป็นสตรีที่กระทำการใหญ่ให้สำเร็จได้ จุดนี้ข้ายืนยันได้ สวี่ชีอันยกมือคิดจะลูบคาง แต่ยกไปได้ครึ่งทางก็ชะงัก จุ่มมือลงถังน้ำใหม่อีกครั้งพลางเอ่ย
“คดีนั้นก็แจ่มแจ้งแล้ว ฮองเฮาจะต้องสนใจคดีพระสนมฝูอยู่เป็นแน่ เมื่อนางพบว่าผู้ที่สังหารพระสนมฝูคือหวงเสี่ยวโหรว วันนั้นข้าไปพบนางเพื่อซักถาม นางก็รู้ว่าคนบงการวางแผนใช้ท่านน้าเพื่อจัดการนาง นี่เป็นกลยุทธ์เปิด หากไม่เสียสละชีวิตท่านน้าก็ต้องสละชีวิตตนเอง ทว่าย้อนกลับมาพูด ฮองเฮาช่างเป็นคนโอ๋น้องชายเสเพลผู้นี้เสียจริง”
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว “โอ๋…พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“เพื่อน้องชายไร้ประโยชน์แล้ว ถึงกับยอมถูกส่งเข้าตำหนักเย็น หากวันหนึ่งนางถูกปลด องค์ชายสี่ก็มิใช่ทายาท เช่นนั้นจะไร้วาสนากับตำแหน่งจักรพรรดิอย่างแท้จริง”
ฮว๋ายชิ่งชำเลืองมองเขา แล้วยิ้มเยาะ “ในวังหลัง เหล่านางสนมกับการอยู่ในตำหนักเย็นต่างกันอย่างไร”
“นี่ก็จริง” สายตาของสวี่ชีอันมุ่งไปที่ฮว๋ายชิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงแสดงความไม่พอใจจักรพรรดิหยวนจิ่งต่อหน้าเขา
“เสด็จแม่ไม่เคยสนใจเรื่องของวังหลัง นางก็ไม่ได้อาลัยในตำแหน่งฮองเฮา หากใช้ตำแหน่งฮองเฮาแลกชีวิตของท่านน้า นางจะต้องยินยอม ทว่า เสด็จพี่สี่จะต้องเกิดใจอาฆาตแค้นเป็นแน่”
“ดังนั้นองค์หญิงจึงจะให้องค์ชายสี่ออกห่างงั้นหรือ”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า เอ่ยถามต่อ “ผ้าไหมสีเหลืองจะอธิบายว่าอย่างไร”
“ฤดูใบไม้ผลิหยวนจิ่งปีที่สามสิบเอ็ด น่าจะเป็นช่วงเวลาที่สาวใช้หวงเสี่ยวโหรวเสียบริสุทธิ์…ทว่ามีบางอย่างน่าประหลาด หวงเสี่ยวโหรวฆ่าตัวตายเมื่อสี่ปีก่อน แต่หยวนจิ่งปีที่สามสิบเอ็ดคือเมื่อห้าปีก่อน หยวนจิ่งปีที่สามสิบเอ็ดเพิ่งจะเริ่มต้น พวกเราอย่าเพิ่งนับ” สวี่ชีอันพลันขมวดคิ้ว
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเข้าใจความหมายของสวี่ชีอัน จึงเอ่ยด้วยเสียงกังวานไพเราะ “คำนวณตามเวลา คงฆ่าตัวตายหลังจากถูกบังคับให้ทำแท้ง หลังจากเสด็จแม่ทำแท้งทารกในครรภ์ของหวงเสี่ยวโหรว ก็จัดเตรียมให้เหอเอ๋อร์ดูแลนาง”
“ความจริงเป็นเช่นนี้ ตรงกับข้อสรุปที่พวกเราสืบสวนได้ ทว่าองค์หญิงไม่คิดว่าแปลกหรือ เมื่อครู่พระองค์ก็เพิ่งตรัสว่า การตั้งครรภ์และคลอดเด็กมิอาจซุกซ่อนในวังหลังได้ สาวใช้เช่นหวงเสี่ยวโหรว มีสิทธิ์อะไรกล้าทำเช่นนี้ เว้นเสียแต่ไม่เกรงกลัวเพราะมีคนหนุนหลัง”
“ไม่มีทางเป็นเสด็จพ่อ” ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า
เรื่องนี้สวี่ชีอันก็เห็นด้วย
ด้วยความโหยหาในอายุยืนของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ยึดมั่นในการบำเพ็ญตบะ ไม่มีทางเสพสังวาสสาวใช้อย่างแน่นอน
“พวกเราไปถามท่านน้าผู้นี้กันเถอะ เอาแต่เดาส่งเดชไปก็ไม่มีความหมาย”
ข้อเสนอของสวี่ชีอันได้รับความเห็นชอบจากองค์หญิงฮว๋ายชิ่งแล้ว ราวกับนางก็กำลังตั้งใจเช่นนี้
ทั้งสองออกจากห้องน้ำแข็งทันที มองเห็นร่างของขันทีน้อยอยู่ไกลๆ เขายังไม่ได้จากไป
ขันทีน้อยผู้นี้ช่างซื่อสัตย์นัก…สวี่ชีอันเดินเข้าไปแล้วเอ่ย “ข้ากับองค์หญิงฮว๋ายชิ่งต้องออกนอกวังหน่อย เจ้าไปพักก่อนเถอะ เรื่องในวันนี้ อย่าเพิ่งรีบไปกราบบังคมทูลรายงานฝ่าบาท”
ขันทีน้อยมองเขาแล้วพูดอึกอัก
“มีอะไรเจ้าก็พูดมา อย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง”
“ใต้เท้าสวี่ ข้าน้อยกลัวเล็กน้อย”
อย่ากลัวไปเลย ข้าจะทำตัวเงียบๆ…สวี่ชีอันหัวเราะร่า “วางใจได้ สิ่งที่ไม่ควรรู้ ข้าก็จะไม่ให้เจ้ารู้ เจ้าแค่เชื่อฟังก็พอ”
เป็นแบบนี้ขันทีน้อยก็ถอนหายใจโล่งอก “ท่านพูดเช่นนี้ข้าน้อยก็สบายใจหน่อย”
เดิมทีสวี่ชีอันคิดว่าจะได้ร่วมโดยสารรถม้าไปกับฮว๋ายชิ่ง นึกไม่ถึงว่าฮว๋ายชิ่งผู้ใจเหี้ยมไร้คุณธรรมจะให้ม้าพันธุ์ดีกับเขาตัวหนึ่ง
นั่งบนหลังม้าติดตามรถม้าขององค์หญิงเดินทางไปยังจวนของท่านน้า สวี่ชีอันนึกถึงแม่ม้าน้อยสุดที่รักของตนโดยไม่รู้ตัว
การลอบสังหารเมื่อวาน เขาไล่แม่ม้าน้อยไป หลังจากสังหารมือลอบสังหารกลับไปสามคนก็ไปพักรักษาที่ที่ทำการปกครองตลอดกระทั่งบัดนี้ เขายังคงไม่รู้ว่าแม่ม้าน้อยอยู่ที่ใด
ทว่า ตอนเช้าก่อนที่เขาจะเข้าวังก็ได้สั่งให้สหายร่วมราชการไปหาแม่ม้าน้อย
หน้าต่างรถม้าเปิดออก ฮว๋ายชิ่งโผล่หน้าออกมา ใบหน้าอันไร้ที่ติ จมูกตรงสวย ริมฝีปากแดงสดใส มุมปากประณีตประหนึ่งแกะสลัก นัยน์ตาสวยราวกับผืนน้ำสีใสวาวระยับ
“แม้เสด็จแม่จะรับโทษแทนท่านน้าจริงๆ ก็ยังคงหาผู้บงการไม่พบ” นางเอ่ยพร้อมทอดถอนใจ
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบแต่ถามกลับ “สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจมากกว่าคือ เพราะเหตุใดผู้บงการจึงลงมือกับฮองเฮามาตลอดจนถึงตอนนี้”
ทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
…
จวนของท่านน้าอยู่ในเขตพระราชฐาน สวี่ชีอันกับองค์หญิงใหญ่มาถึงจวนของท่านน้า เมื่อถามทหารยามจึงรู้ว่าท่านน้าไม่อยู่ในเขตพระราชฐาน แต่อยู่บ้านเก่าที่เมืองชั้นใน
“ไปลองถามว่าท่านน้าย้ายไปบ้านเก่าตั้งแต่เมื่อไร” ฮว๋ายชิ่งเปิดหน้าต่างรถม้า สั่งทหารรักษาพระองค์ที่ติดตามมา
เมื่อทหารรักษาพระองค์ถามจบก็ตอบกลับ “วันนี้”
วันนี้? ยามที่ประชุมราชการวันนี้เมื่อเช้า จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เสนอปลดฮองเฮา…สวี่ชีอันมองฮว๋ายชิ่งโดยไม่รู้ตัว พบว่าองค์หญิงใหญ่ก็มองเขาอยู่เช่นกัน
“ไปบ้านเก่าของสกุลซ่างกวน” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างเย็นชา
รถม้าหรูที่สร้างจากไม้จินสื่อหนานค่อยๆ เคลื่อนออกจากเขตพระราชฐาน ใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่าจึงมาถึงบ้านของบรรพบุรุษสกุลซ่างกวน
เกินความคาดหมาย บ้านเก่าของสกุลซ่างกวนเป็นเรือนใหญ่สามส่วน ขนาดใหญ่กว่าคฤหาสน์ที่สวี่ชีอันซื้อไว้ไม่เท่าไร แน่นอนว่าในแง่ของความประณีตและความหรูหรากินขาดจวนสกุลสวี่แน่นอน
อีกทั้งที่นี่ก็มีทหารยามมากมาย
สวี่ชีอันถือโอกาสค่อยๆ หยุดรถม้า หนีบกระดาษวิชามองปราณที่เตรียมเอาไว้ระหว่างทางออกมาจากในอก ใช้พลังปราณจุดไฟ
รถม้าหยุดลงนอกจวนสกุลซ่างกวน ฮว๋ายชิ่งเหยียบเก้าอี้ตัวเล็กลงมา แล้วตรงเข้าไปในจวน ทหารรักษาพระองค์ตรงประตูทางเข้าไม่กล้าขวาง
ระหว่างทางฮว๋ายชิ่งก็เอ่ยถึงประวัติของบ้านสกุลซ่างกวนขึ้นมา สกุลซ่างกวนมิใช่ตระกูลใหญ่ที่โอ่อ่าชั้นสูง ท่านตาซ่างกวนชิงกวน เป็นรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายของกรมการคลังควบตำแหน่งราชบัณฑิตวิทยาลัยตงเก๋อ
ทว่านี่ล้วนเป็นเรื่องหลังจากซ่างกวนฮองเฮาเข้าสู่ตำหนักเฟิ่งฉี
ก่อนหน้านี้บ้านซ่างกวนเป็นตระกูลเล็กๆ ซ่างกวนเผย ท่านตาของฮว๋ายชิ่งก็เป็นเพียงผู้ตรวจการระดับหกชั้นเอก
“บ้านเว่ยกับบ้านซ่างกวนดองกันมาหลายชั่วอายุคน ยามที่เว่ยกงยังวัยรุ่น ฐานะทางบ้านขัดสน เคยศึกษาที่บ้านซ่างกวน ท่านตาเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณสั่งสอนเขาครึ่งหนึ่ง” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งกล่าว
สวี่ชีอันพยักหน้า เขาเพิ่งรู้ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างเว่ยเยวียนกับฮองเฮาก็วันนี้นี่แหละ
“เช่นนั้นเว่ยกง…” เขาชะงัก แต่ยังถามข้อสงสัยออกไปอยู่ดี “เข้าวังได้อย่างไร”
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า
เมื่อทะลุผ่านลานหน้า เสียงดนตรีเครื่องสายและเครื่องเป่าก็ดังขึ้น
พวกเขามองเห็นประตูของโถงด้านหลังเปิดอ้า นางระบำในชุดผ้าโปร่งบางเจ็ดถึงแปดคนกำลังร่ายระบำอย่างไหวพริ้ว นักดนตรีขับร้องเสียงดังยั่วยวนอารมณ์
สวี่ชีอันเบิกตากว้าง พูดตามจริงว่าเขาเห็นฉากแบบนี้ที่สำนักสังคีตจนคุ้นชินแล้ว ทว่าต่อให้เป็นนางระบำในสำนักสังคีตก็ไม่ใจกล้าสวมใส่อาภรณ์แบบหญิงสาวภายในห้องโถงเหล่านั้น
หญิงสาวเหล่านั้นทั้งไม่ใส่เสื้อด้านในและกางเกงด้านใน สวมเพียงเสื้อโปร่งบางชั้นหนึ่ง แสดงความยั่วยวน
ภายในห้องโถง มีชายวัยกลางคนผิวขาวผ่อง ภายนอกดูดี ไว้หนวด นั่งอยู่ที่นั่งหลัก มือซ้ายโอบสาวงามคนหนึ่ง มือขวาโอบสาวงามอีกคนหนึ่ง
ชื่นชมนางระบำที่ร่ายระบำอย่างไหวพริ้วตาเป็นมัน
แขกขออาศัยนั่งอยู่ทั้งสองด้านสำราญสุขยิ่ง
สวี่ชีอันได้รู้จักในความกำแหงลามกของท่านน้าผู้นี้มากขึ้นไปอีกก้าว พี่สาวกำลังจะถูกปลดอยู่รอมร่อ เขายังดื่มเหล้าเคล้านารีเต็มเหนี่ยวอยู่ที่นี่ สิ่งที่กำเริบยิ่งกว่าคือ ฮองเฮารับโทษแทนเขาอยู่
โกรธจนตัวสั่น เหล่าน้องเสเพลจะลุกขึ้นยืนได้ตอนไหน
องค์หญิงใหญ่หยุดอยู่ที่นอกห้องโถง เอียงหน้าชำเลืองมองสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันที่เข้าใจแจ่มแจ้งถอดมีดพกลง เดินไปที่ประตู ใช้ฝักมีดเคาะขอบประตูดัง ‘ปังๆๆ’ แล้วตะโกน “ค้นห้อง ผู้ชายหมอบลงด้านซ้าย ผู้หญิงหมอบด้านขวา กุมศีรษะ หยิบหนังสือประจำตัวออกมา”
ทุกคนที่เคลิบเคลิ้มกับแสงสีตกตะลึง บัดนี้ถึงสังเกตเห็นสวี่ชีอันและองค์หญิงฮว๋ายชิ่งที่ยืนอยู่ด้านนอก
เหล่านางระบำหยุดเต้นระบำ เหล่านักดนตรีไม่ดีดบรรเลงอีก ท่านน้าที่ไว้หนวดตะลึงงันก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
ฮว๋ายชิ่งข้ามธรณีประตูเข้ามาภายในห้องโถง แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ทุกคนออกไปจากโถงใหญ่ให้หมด อย่าเข้าใกล้ที่นี่เกินร้อยก้าว ผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง ฆ่าโดยไม่มียกเว้น”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะ!”
นิ้วหัวแม่มือดีดด้ามมีด มีดพกโผล่พ้นฝักออกมาครึ่งนิ้ว มองไปรอบๆ ฝูงชนภายในห้องโถงพร้อมตะโกน “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก”
นักดนตรี นางระบำและแขกขออาศัยแตกกระเจิงไป
“อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไป…”
ท่านน้าตะโกน ทว่าห้ามกลุ่มคนที่แตกกระเจิงไปไม่อยู่ จึงกระทืบเท้าอย่างเดือดดาล ชี้นิ้วตะโกนด่าสวี่ชีอัน “เจ้าเป็นสุนัขรับใช้จากที่ไหน ทหาร ทหาร…”
สวี่ชีอันคิดในใจมิน่าฮว๋ายชิ่งจึงเกลียดชังน้าคนนี้เช่นนี้ มิน่านางถึงคลางแคลงท่านน้าในคราแรก
นี่มันลูกผู้ดีทอง 24K บริสุทธิ์
ตะโกนอยู่สักพัก เมื่อเห็นด้านนอกไม่มีคนช่วยเหลือตน ท่านน้าก็หยุดตะโกน หรี่ตามององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง “ฮว๋ายชิ่ง เจ้ามาจวนน้าทำอะไร ทำไมไม่รออยู่ที่ตำหนัก”
“เรื่องที่เสด็จพ่อจะปลดฮองเฮา ท่านน้ารู้หรือไม่”
น้ำเสียงของฮว๋ายชิ่งราวกับพายุหิมะในกลางฤดูหนาว ปรากฏความทะมึนเย็นเยือก “วันนี้ประชุมราชการเช้าเสนอปลดฮองเฮา ในฐานะที่ท่านน้าเป็นน้องชายของเสด็จแม่ ยังมีกะจิตกะใจดื่มสุราหาความสำราญที่จวนอยู่อีก”
“ย่อมรู้” ท่านน้าพลันกระวนกระวายขึ้นมา “แต่ข้าจะทำอะไรได้ ข้ามิใช่เว่ยเยวียน ข้าบอกว่าไม่ให้ปลดฮองเฮา ฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วยหรือ”
“ท่านน้ารู้เหตุผลที่เสด็จพ่อปลดฮองเฮาหรือไม่” องค์หญิงใหญ่ถาม
“มิใช่ว่าท่านพี่ใส่ร้ายตำหนักตะวันออกผู้นั้นเพื่อทำให้องค์ชายสี่เป็นองค์รัชทายาทหรอกหรือ” ท่านน้าเอ่ยเสียงดัง เมื่อพูดจบเขาก็ส่งเสียง ‘ชิ’ ราวกับเหยียดหยามในการกระทำของฮองเฮาเป็นอย่างยิ่ง
สวี่ชีอันจ้องมองฮว๋ายชิ่งอย่างระแวดระวัง นางนิ่งสงบมาตั้งแต่ต้นจนจบ หรืออาจกล่าวได้ว่าเยือกเย็น
เขากำลังจะเค้นถามเรื่องของหวงเสี่ยวโหรว จู่ๆ ก็เห็นฮว๋ายชิ่งโบกมือห้ามเขา องค์หญิงยิ้มเยาะ “ท่านน้า ข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้จับกุมท่าน”
ท่านน้าชะงัก “จับกุมข้า? มีสิทธิ์อะไร”
ในที่สุดฮว๋ายชิ่งก็เผยยิ้มเย้ยหยันออกมา “ก็สาวใช้หวงเสี่ยวโหรวอย่างไรเล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่านน้าก็แปรเปลี่ยนท่าทีราวกับโดนฟ้าผ่า ทั้งร่างสั่นเครือ นัยน์ตาของเขาปรากฏความหวาดระแวง เอ่ยยืนกราน “หวงเสี่ยวโหรวอะไร ฮว๋ายชิ่ง เจ้าพูดเหลวไหล เจ้าพูดเหลวไหลอะไรอยู่?!”
เขาแผดเสียงใส่องค์หญิงฮว๋ายชิ่ง
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตา” ฮว๋ายชิ่งยื่นมือออกไป สวี่ชีอันส่งผ้าไหมสีเหลืองหมองหม่นไปให้
นางรับมาและออกแรงขว้างใส่หน้าท่านน้า “ฤดูใบไม้ผลิหยวนจิ่งปีที่สามสิบเอ็ด ท่านเคยทำอะไรกับหวงเสี่ยวโหรวไว้ ในใจท่านน่าจะกระจ่างแจ้งที่สุด”
ท่านน้าตะลึงงัน
ผ้าไหมสีเหลืองไหลลงจากใบหน้าเขา ราวกับได้นำเลือดฝาดหยดสุดท้ายของเขาไป ท่านน้านัยน์ตาเศร้าซึม สีหน้าตื่นตะลึง
“ใครบอกเจ้า ใครบอกพวกเจ้าเรื่องหวงเสี่ยวโหรว” ท่านน้าเอ่ยพึมพำ
“ย่อมเป็นฮองเฮา” สวี่ชีอันร่วมมือพูดหลอก
“เหลวไหล! ”
ท่านน้าตอบสนองประหลาดยิ่งนัก สีแดงเข้มพรั่งพรูไปตามใบหน้าเขาอย่างช้าๆ แยกไม่ออกว่าเป็นเพราะตื่นเต้นหรือเกิดจากความโกรธแค้น เขาเอ่ยเสียงดัง
“ข้าเป็นบุตรชายคนเดียวของบ้านสกุลซ่างกวน นางจะขายข้าได้อย่างไร นางจะกล้าขายข้าได้อย่างไร ในวันหน้านางจะมีหน้าที่ไหนไปพบท่านพ่อ พวกเจ้าอย่ามาหลอกข้า”
สวี่ชีอันเอ่ย “เพราะหวงเสี่ยวโหรวเข้ามาพัวพันในคดีพระสนมฝู อดีตของนางถูกสืบสวนออกมาแล้ว ฮองเฮาไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงสารภาพ ฤดูใบไม้ผลิหยวนจิ่งปีที่สามสิบเอ็ด ท่านทำให้หวงเสี่ยวโหรวด่างพร้อยในตำหนัก”
เขาพูดอย่างมั่นใจ
“เป็นไปไม่ได้ หวงเสี่ยวโหรวตายไปตั้งนานแล้ว ฮองเฮารับปากข้าว่าจะฆ่าปิดปาก” ท่านน้าเอ่ยอย่างตื่นตระหนก
ความจริงคือฮองเฮาไม่ได้ฆ่าปิดปาก นางเพียงทำแท้งทารกในครรภ์ของหวงเสี่ยวโหรว…ฮว๋ายชิ่งพูดถูกต้อง ฮองเฮาเมตตาใจอ่อนเกินไป…สวี่ชีอันเอียงหน้าชำเลืองมององค์หญิงใหญ่
ฮว๋ายชิ่งยังคงไม่แสดงสีหน้า แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “อธิบายตามความจริงเถอะ บอกข้ามาดีกว่าสารภาพในคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หรือท่านน้าอยากลิ้มลองรสชาติการลงโทษในคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกัน?”
ท่านน้าทรุดนั่งลง
“ใช่ หวงเสี่ยวโหรวนางแปดเปื้อนราคีกับข้าจริงๆ ทว่านางสมยอม เพราะนางคิดว่าข้าเป็นฝ่าบาท ข้าชมชอบความงาม ทว่าเบื่อหน่ายหญิงสาวในหอนางโลมกับสำนักสังคีต นางสนมในจวนไม่รู้สึกสดใหม่สำหรับข้ามาตั้งนานแล้ว ข้าพบว่าหญิงสาวในวังทำให้ข้าลุ่มหลงได้ยิ่งกว่าหญิงสาวด้านนอก ท่านพี่ไม่ดีเอง ตำหนักเฟิ่งฉีของนางมีสาวใช้มากมายเช่นนั้น แม้แต่แตะนางก็ไม่ให้ข้าแตะ ฝ่าบาททรงหมกมุ่นการบำเพ็ญตบะ ไม่ใกล้ชิดเสน่ห์ยวนเย้าของหญิงสาวมานานแรมปี ข้าเล่นสนุกกับสาวใช้สักคนสองคนจะเป็นอะไรไป นางเป็นถึงประมุขแห่งวังหลัง ขอเพียงนางเห็นด้วย ผู้ใดเล่าจะห้ามปรามได้ ข้าก็คงไม่ต้องการนางสนมของฝ่าบาท ในวันนั้นข้าไปเยี่ยมเยียนฮองเฮาที่ตำหนักเฟิ่งฉี ได้พบสาวใช้ปัดฝุ่นกวาดพื้นคนหนึ่ง นางช่างงดงามเป็นที่ต้องตา เตะตาน่าเอ็นดู ข้าคิดว่านางเป็นสาวใช้คนใหม่ของตำหนักเฟิ่งฉี จึงเข้าไปลวนลาม เหอะ นางเข้าใจว่าข้าเป็นฝ่าบาทก็หน้าแดงไม่กล้าปฏิเสธ ปล่อยให้ข้าทำ”
หวงเสี่ยวโหรวเข้าวังเมื่อหยวนจิ่งปีที่ยี่สิบแปด เวลานั้นฝ่าบาทก็ลุ่มหลงในการฝึกบำเพ็ญตบะแล้ว ไม่ไปวังหลังอีกเลย…สาวใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาจักรพรรดิหยวนจิ่งมาก่อน…สวี่ชีอันขัดเกลาอยู่ในใจ ผลของวิชามองปราณยังไม่สลาย เขารู้ว่าท่านน้าไม่ได้พูดโกหก
“ข้าสบโอกาสรอบข้างไร้ผู้คนพานางเข้าไปในเรือนด้านข้าง แล้วเริ่มบรรเลงเพลงรัก หลังจากนั้นนางก็ปลื้มปีติเต็มอก คิดว่าตนได้ปรนนิบัติฝ่าบาทแล้ว เข้าใจว่าตนเป็นหญิงสาวอันเป็นหนึ่งไม่เป็นรองใครที่ทำให้ฝ่าบาทอาบัติได้ อย่าว่าแต่นางเลย ตั้งแต่นางสนมกระทั่งสาวใช้ในวังหลัง ใครจะไม่เคยเพ้อฝันว่าตนโดดเด่นไม่เหมือนใคร จึงได้เสพสังวาสกับฝ่าบาท”
แอบอ้างเป็นองค์จักรพรรดิเสพสังวาสกับสาวใช้…มิน่าเล่าฮองเฮาถึงปกป้องเจ้าแทบตาย มีสิบชีวิตก็ไม่พอ…
ท่านน้ากลืนน้ำลาย “จากนั้นข้าก็ติดใจ มักจะใช้ข้ออ้างว่ามาเยี่ยมเยียนฮองเฮา แล้วแอบนัดพบกับหวงเสี่ยวโหรว ข้ารู้สึกถึงความแตกต่างบนตัวนาง ซึ่งไม่เหมือนกับหญิงสาวคนอื่น แต่คาดไม่ถึงว่านางจะตั้งครรภ์…ถึงตอนนั้นข้าก็ตื่นตระหนก จึงบอกเรื่องนี้กับฮองเฮา นางตำหนิข้าทันที สั่งห้ามไม่ให้ข้าเหยียบเข้าวังหลังอีกแม้แต่ก้าวเดียว และรับปากข้าว่าจะฆ่าปิดปากหวงเสี่ยวโหรว เก็บกวาดซากสถานการณ์แทนข้า”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ดังนั้นหวงเสี่ยวโหรวเข้าใจมาโดยตลอดว่าตนอุ้มท้องเชื้อไขจักรพรรดิ สาเหตุนี้จึงเกลียดฮองเฮาเข้ากระดูกดำที่บังคับให้นางทำแท้ง ในเวลาต่อมา หลังจากนางรู้ว่าตนถูกหลอก ที่แท้คนที่ลวงนางไปกระทำชำเราผู้นั้นมิใช่องค์จักรพรรดิ แต่เป็นท่านน้าของฮองเฮานี่เอง…ทว่าตอนนั้นไม่มีทารกในครรภ์แล้ว เรื่องราวจบลงแล้ว นางก็มิอาจแตะต้องฮองเฮาได้ จึงฆ่าตัวตายด้วยความอับอายและคับแค้น ทว่าฮองเฮาจิตใจดีเกินไป จิตใจเต็มไปด้วยความสำนึกบาปในการกระของเจ้า จึงนำยาขนานวิเศษจากห้องโอสถหลวงเพื่อช่วยชีวิตหวงเสี่ยวโหรว แต่นึกไม่ถึงว่าวันนี้ในอีกสี่ปีให้หลัง บ่อเกิดของภัยพิบัติจะถูกฝังกลบ”
“นางผิดเองนะ หากนางฆ่าหวงเสี่ยวโหรวตั้งแต่แรกจะมีวันนี้งั้นหรือ” ท่านน้าลุกลี้ลุกลน “เป็นนางที่ทำร้ายข้า ต้องโทษนาง!”
“ท่านโกหก! ” สวี่ชีอันพลันขัดจังหวะเขาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด “หากแค่หวงเสี่ยวโหรว ฮองเฮาก็ไม่จำเป็นต้องรับโทษแทนท่าน หวงเสี่ยวโหรวตายไปแล้ว คนตายมิอาจขึ้นให้การได้ ตราบใดที่ฮองเฮาไม่ยอมรับ ในเมื่อนางยอมรับแล้ว ก็หมายความว่านอกเสียจากหวงเสี่ยวโหรวแล้ว ท่านยังมีจุดอ่อนบางอย่างที่อยู่ในมือผู้อื่น”
………………………………………