ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 252 ไม่ได้โกหก
บทที่ 252 ไม่ได้โกหก
ตำหนักเส้าอิน
หลินอันมีพระอารมณ์ดีทีเดียว วันนี้หลังจากที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเสนอให้ปลดฮองเฮาในท้องพระโรง หลังจากวิพากษ์วิจารณ์อยู่เป็นเวลานาน วงราชการของต้าฟ่งแทบจะไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้
หลินอันซึ่งทรงประทับอยู่ในวังย่อมทรงได้ยินมาบ้างเป็นธรรมดา
องค์หญิงรองผู้ทรงฉลองพระองค์กระโปรงสีแดง ทรงฮัมเพลงประทับบนชิงช้าใต้ซุ้มต้นองุ่น ที่ใต้ฉลองพระองค์กระโปรง ฉลองพระบาทลายปักอันประณีตแกว่งไกวไปมาอย่างมีความสุข
พระองค์ทรงพระอารมณ์ดีนั้นก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพราะฮองเฮาทรงยอมรับว่าใส่ความองค์รัชทายาท และสังหารพระสนมฝู ถ้าเช่นนั้นเสด็จพี่องค์รัชทายาทก็จะได้ออกจากศาลต้าหลี่ในไม่ช้า
เสด็จแม่ก็ไม่ต้องทรงกันแสงเสียพระทัยทุกวัน
ยังมีอีก ยังมีอีก สุนัขรับใช้ก็รอดชีวิตกลับมาแล้ว ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีที่ผ่านมา นับว่าโชคดีแท้ๆ
หลินอันทรงชอบชีวิตที่สุขสงบ
“เวลานี้ฮว๋ายชิ่งคงจะเศร้าเสียใจมาก หึ ใครใช้ให้ฮองเฮาทรงใส่ร้ายเสด็จพี่องค์รัชทายาทของข้าเล่า…อืม เห็นแก่ความอารมณ์ดีของข้า หลายวันนี้จะไม่ไปเหยียดหยามนางก็แล้วกัน”
หัวใจปีศาจกำลังเตรียมแผนร้าย แต่เมื่อคิดถึงว่าหมัดของฮว๋ายชิ่งนั้นใหญ่กว่าของตนเอง ยายตัวร้ายจึงทรงเลือกที่จะทำตามความปรารถนาของหัวใจ อีกสักพักค่อยไปหาเรื่องฮว๋ายชิ่ง
เมื่อถึงเวลานั้นจะนำสุนัขรับใช้ไปด้วย เขาเป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้กับทหารข้าศึกนับพัน จะต้องปกป้องตนเองได้อย่างแน่นอน
ทหารรักษาพระองค์ที่อยู่นอกพระตำหนักเดินเข้ามา หยุดห่างออกไปกว่าสิบเมตรไม่ได้เข้าใกล้อีก กุมหมัดแล้วกล่าวรายงานว่า “องค์หญิง ใต้เท้าสวี่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
รอยแย้มพระสรวลบนพระพักตร์ของยายตัวร้ายสดใสขึ้นในทันที “รีบเชิญเข้ามา”
พระองค์ยังคงประทับบนชิงช้าไม่ขยับเขยื้อน แต่ทรงเอียงหน้า ชะเง้อมอง
สวี่ชีอันเดินนำขันทีน้อยเข้ามา แล้วนั่งลงที่โต๊ะหินใต้ซุ้มเถาวัลย์ตามสบาย กินผลไม้ ขนมฝีมือพ่อครัวของห้องเครื่อง และชาสูตรพิเศษที่นางกำนัลเตรียมไว้สำหรับหลินอัน
“นี่…” นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างๆ ตะโกน
“หืม?” สวี่ชีอันมองนางอย่างไม่เข้าใจ
“นั่นเป็นของสำหรับพระองค์ทรงดื่ม” นางกำนัลเอื้อนเอ่ยเสียงเบาราวกับยุง
“เอ่อ ขออภัย ขออภัย” สวี่ชีอันยกถ้วยขึ้นจิบอีกจิบหนึ่ง
คราวนี้ ยายตัวร้ายทรงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว พระพักตร์แดงก่ำ ทรงตรัสด้วยความพิโรธ “สวี่หนิงเยี่ยน”
พอดีกับเวลานี้ มีลมพัดโชยมา ซุ้มต้นองุ่นแกว่งเล็กน้อย และดวงอาทิตย์ส่องแสงผ่านเถาวัลย์ ส่องลงบนพระพักตร์รูปไข่กลมกลึงของพระองค์ พระโอษฐ์แดงเปล่งปลั่ง พระนาสิกโด่ง พระเนตรกลมโตคู่นั้นงามจนยากจะพรรณนา ประกอบกับพระปรางแดงระเรื่อที่หนุนให้เด่น เต็มไปด้วยเสน่ห์ยากจะบรรยาย
ผู้หญิงที่ชอบเก็บความรู้สึก
ฮว๋ายชิ่งและหลินอันต่างก็มีความงามที่โดดเด่นทั้งคู่…น่าเสียดายที่แม้ว่าองค์หญิงอีกสองพระองค์จะทรงพระสิริโฉม แต่ก็ห่างจากคำว่า ‘หญิงงามแห่งยุค’ อยู่ไม่น้อย…สวี่ชีอันรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ
ไม่อย่างนั้นเขาจะพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะกวาดองค์หญิงของต้าฟ่งให้เรียบ
‘ใต้เท้าสวี่เป็นทั้งขุนนางคนโปรดขององค์หญิงใหญ่ แล้วยังเป็นขุนนางคนโปรดขององค์หญิงรอง อนาคตข้างหน้าไม่มีวันสิ้นสุดเลย…’ ขันทีน้อยคิดในใจ
เมืองหลวงที่ใหญ่มหึมา นอกจากพระราชโอรสและพระราชธิดาในวังแล้ว คนเดียวที่อยู่ร่วมกับองค์หญิงหลินอันได้เช่นนี้ คงจะมีแต่ใต้เท้าสวี่ผู้นี้เพียงคนเดียว
หลายวันมานี้ ขันทีน้อยได้ติดตามสวี่ชีอันเพื่อตรวจสอบคดี ได้เห็นเขาอยู่ร่วมกับองค์หญิงฮว๋ายชิ่งและองค์หญิงหลินอันด้วยตาของตัวเอง แม้แต่คนตาบอดก็ดูออกว่าองค์หญิงทั้งสองพระองค์ต่างทรงให้ความสำคัญ และทรงชื่นชมสวี่ชีอันเป็นอย่างยิ่ง
“คดีสิ้นสุดแล้วมิใช่หรือ” ยายตัวร้ายทรงตรัสเสียงแจ๋วว่า “สุนัขรับใช้ เหตุใดเจ้ายังต้องเข้าวังมาจัดการคดีอีก”
พระองค์ทรงตัดสินว่าสวี่ชีอันยังคงตรวจสอบคดีอยู่ จากการที่มีขันทีน้อยอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเวลานี้คนที่มาสวนเส้าอินก็จะต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว
“คดียังไม่สิ้นสุดพ่ะย่ะค่ะ…” สวี่ชีอันหายใจออกอย่างแรง พร้อมกับแสดงสีหน้าเสียใจ “พระองค์ กระหม่อมเป็นคนของพระองค์หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ยายตัวร้ายทรงพยักพระพักตร์โดยไม่ลังเล
“กระหม่อมถูกคนรังแก” สวี่ชีอันปิดหน้า แสดงความเศร้าสลดออกมา “ครอบครัวของกระหม่อมลำบากมาก อารองของกระหม่อมพร่ำบอกตั้งแต่ยังเด็กว่า เด็กจากครอบครัวที่ยากจนต้องดูแลครอบครัวเร็ว…แต่ว่า เจ้าคนชั่วจากตำหนักจิ่งซิ่วที่โดนลงโทษแสนสาหัส ได้ขู่เข็ญเอาเงินสิบตำลึงจากกระหม่อม”
แม้ว่าหลินอันจะเป็นคนอ่อนหวาน แต่ก็ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาก เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทรงพิโรธอย่างมาก ‘ตุบ’ ทรงกระโดดลงจากชิงช้า เลิกพระขนงงาม
“ไป ไปที่ตำหนักจิ่งซิ่ว ข้าจะทวงความยุติธรรมให้เจ้า”
เรื่องเงินเป็นเรื่องเล็ก แต่มารังแกคนของหลินอัน ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ทันที
สวี่ชีอันเดินเคียงข้างองค์หญิง ‘อย่างน่ารัก’ ท่าทางเหมือนถูกรังแกอย่างหนัก หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า
“องค์หญิง ข้างกายเฉินกุ้ยเฟยมีสาวใช้ชื่อหลางเอ๋อร์ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” หลินอันทรงพยักพระพักตร์พยัก
“นางกำนัลคนนี้เป็นคนเก่าคนแก่ของตำหนักจิ่งซิ่วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ นับตั้งแต่เข้าวังมา ก็คอยถวายการรับใช้เคียงข้างเสด็จแม่มาโดยตลอด”
“องค์หญิงทรงเล่าเรื่องคนคนนี้ให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ อย่างเช่นชอบอะไร เกลียดอะไร ไม่กี่วันมานี้เกิดเหตุอะไรขึ้นบ้าง”
“ข้าจะสนใจไปสนใจว่าไม่กี่วันมานี้นางกำนัลคนหนึ่งเกิดเหตุอะไรขึ้นบ้างไปด้วยเหตุใด”
ยายตัวร้ายพูดจาอย่างมีเหตุมีล พระองค์ทรงคิดครู่หนึ่ง ก็ทรงตรัสเสริมว่า “แต่นางชอบกินขนมโก๋มาก ข้าเห็นเสด็จแม่พระราชทานขนมโก๋ที่เหลือแก่นางบ่อยๆ นางชื่นชอบยิ่งนัก”
ระหว่างถามตอบกันไปมา ก็มาถึงตำหนักจิ่งซิ่ว
ในระยะไกล ก็เห็นขันทีที่เฝ้าประตูที่เพิ่ง ‘ยักยอก’ เงินสิบตำลึงจากสวี่ชีอันไปเมื่อสักครู่นี้
สวี่ชีอันก้าวไปข้างหน้าแล้วตบไปฉาดหนึ่ง แล้วก็ชี้หน้าขันทีที่ปิดใบหน้าอยู่แล้วพูดว่า “องค์หญิง เขานี่แหละที่เป็นคนขู่เข็ญเอาเงินจากกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…”
ขันทีที่เฝ้าประตูปิดหน้าที่ร้อนผะผ่าว ทั้งโกรธทั้งโมโห เขาคาดไม่ถึงว่าสวี่ชีอันจะพาองค์หญิงรองกลับมาหาเรื่องเขา
ถึงอย่างไรตนก็เป็นคนในตำหนักของเฉินกุ้ยเฟย คนเฝ้าหน้าประตูสมุหราชเลขาธิการยังเป็นถึงขุนนางระดับเจ็ด ส่วนตัวเขาเป็นถึงคนเฝ้าประตูของเฉินกุ้ยเฟย
ตามปกติ ขุนนางข้างนอกจะไม่กล้าแข็งข้อกับขันทีในวัง หากเสียเปรียบ ส่วนมากก็ต้องกล้ำกลืน อดกลั้นความโกรธแค้น
“ตบอีกฉาดนึง”
ต่อหน้าคนนอก หลินอันทรงรักษาภาพลักษณ์ที่องค์หญิงพึงมี จึงทรงบัญชาด้วยพระสุรเสียงเย็นชา
สวี่ชีอันสบัดฝ่ามือไปอีกครั้ง สะบัดจนขันทีที่เฝ้าประตูตัวเซ หูอื้อ
“คนของข้ายังกล้าขู่เข็ญ เห็นกับเสด็จแม่ข้าจะอภัยให้เจ้าครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปหากยังกล้าที่ไม่เคารพใต้เท้าสวี่ จะลดขั้นเจ้าไปเป็นกุลี”
พระพักตร์งามของหลินอันราวกับปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง “คายเงินออกมา”
ยอมให้โอกาสขันทีเฝ้าประตูตัวเล็กๆ ก็นับว่าพระองค์ทรงเป็นผู้หญิงที่มีเมตตามากแล้ว จริงใจยิ่งกว่าพระราชวงศ์หญิงส่วนใหญ่…สวี่ชีอันคิดในใจว่า ด้วยพระอุปนิสัยเช่นนี้ จึงยั่วยวนผู้ชายเจ้าชู้ได้ง่าย
ความสัมพันธ์ระหว่างหลินอันกับข้าดีทีเดียว ข้าจะต้องจับตาดูนางให้ดี จะให้ผู้ชายเจ้าชู้มาทำให้เสียหายไม่ได้
ขันทีที่เฝ้าประตูไม่เต็มใจ เงินห้าตำลึงนั้นมากกว่าเงินภาษีต่อเดือนของเขาอีก แต่พระบัญชาขององค์หญิงรองเขาก็ไม่กล้าฝ่าฝืน จึงจำต้องมอบให้
เขาหยิบตั๋วเงินที่เพิ่งซ่อนไว้ออกมา แล้วมอบด้วยสองมือ “ข้าดูถูกผู้อื่น ใต้เท้าสวี่ได้โปรดอย่าได้ถือโทษ”
สวี่ชีอันไม่ได้รับไว้ “ข้าให้เจ้าไปสิบตำลึง”
สิบตำลึง?!
ขันทีที่เฝ้าประตูเงยหน้าขึ้น ตกตะลึง พูดแก้ตัวว่า “แค่ห้าตำลึงชัดๆ เหตุใดใต้เท้าสวี่จึงใส่ร้ายข้า”
สวี่ชีอันหันไปมองยายตัวร้ายทันที แล้วพูดเสียงดังว่า “องค์หญิง พระองค์ทรงดูคนหน้าไหว้หลังหลอกคนนี้สิพ่ะย่ะค่ะ เขาไม่ได้เห็นพระองค์อยู่ในสายตาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลินอันทรงเบิกพระเนตรกลมโตที่ทำอย่างไรก็ไม่น่ากลัว
“กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมมิบังอาจ…”
ขันทีที่เฝ้าประตูคลำอยู่นาน จึงคลำเจอเงินสามตำลึง และเศษเงินหนึ่งกำมือ สีหน้าห่อเหี่ยว “กระหม่อมมีอยู่เท่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ชีอันเก็บเงินใส่อกเสื้อด้วยรอยยิ้มกริ่ม “การทำความดีอาจไม่ได้รับสิ่งตอบแทน แต่ถ้าไม่ทำความดี สักวันหนึ่งจะต้องถูกจัดกาารแน่”
“ข้าจะให้บทเรียนแก่เจ้า เงินนี้ถือว่าเป็นค่าครูก็แล้วกัน”
คนบางคนมักคิดเสมอว่าถ้าทำอะไรผิดไป แค่ขอโทษก็พอ หากอีกฝ่ายยังวางอำนาจบีบบังคับ ก็เท่ากับอีกฝ่ายไม่มีเหตุผล หากคำขอโทษใช้ได้ผล จะมีกฎหมายไว้ทำไม…เอาเงินข้าไปห้าตำลึง แค่คืนมาก็จบแล้วหรือ ฝันไปเถอะ
จากนั้น เขาก็หันไปมองพระพักตร์ด้านข้างที่โค้งมนกลมกลึงของยายตัวร้าย “ไหนๆ ก็มาแล้ว พระองค์ทรงพากระหม่อมเข้าไปในตำหนักจิ่งซิ่วด้วยเถิด กระหม่อมจะปิดคดีของพระสนมฝูอยู่พอดีพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะนั้น ยายตัวร้ายทรงพาเขาข้ามประตู เข้าไปในลานพระตำหนัก
“องค์หญิง คนที่กระหม่อมตามหาก็คือนางกำนัลที่ชื่อหลางเอ๋อร์ พระองค์ทรงช่วยตามตัวมาให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ชีอันเดินตามนางกำนัลเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง ส่วนยายตัวร้ายทรงไปเยี่ยมเสด็จแม่ เขาตะโกนตามหลังฉลองพระองค์กระโปรงสีแดง ฉลองพระองค์กระโปรงสีแดงทรงไม่แม้แต่จะหันมามอง ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “รู้แล้ว”
เมื่อเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง ก็มีนางกำนัลสาวยืนคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง
สวี่ชีอันถามว่า “ห้องน้ำอยู่ที่ไหน”
“ใต้เท้าโปรดรอสักครู่” นางกำนัลขานรับเสียงแผ่วเบา ออกไปตามขันทีน้อยแล้วกล่าวว่า “พาใต้เท้าไปห้องน้ำด้วย”
สวี่ชีอันเดินตามขันทีออกจากห้องโถงด้านข้าง ไปที่ห้องส้วมทางด้านทิศใต้ของลานพระตำหนัก เขาปิดประตูแล้วก็เท ‘หนังสือเวทมนตร์’ ฉบับขงจื๊อจากเศษหนังสือปฐพี ฉีกกระดาษแผ่นที่บันทึกวิชามองปราณออก แล้วเผาด้วยพลังปราณ
ปราณใสสองสายพุ่งออกมาจากดวงตา จากนั้นก็อ่อนกำลังลง
ใช้ไปเรื่อยๆ หนังสือเวทมนตร์ก็บางลงครึ่งหนึ่ง ไม่ได้ ของดีอย่างนี้ ข้าจะใช้มันต่อไป รอหลังการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์จะไปสำนักอวิ๋นลู่ ไปพบอาจารย์ทั้งสามคนของข้า อืม บทกวีที่ให้พวกเขาฟรีจะต้องคิดล่วงหน้าให้ดีก่อน…
กลับไปที่ห้องโถงด้านข้าง เขาดื่มชา รอนางกำนัลที่ชื่อหลางเอ๋อร์คนนั้น
…
ลานด้านใน ตำหนักใหญ่
เฉินกุ้ยเฟยทรงเอนพระวรกายพิงตั่งอย่างเซื่องซึม มีนางกำนัลคนสนิทคอยถวายการรับใช้ คนหนึ่งนวดพระอังสา อีกคนหนึ่งบีบพระเพลาให้พระองค์
วังหลังของจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่มีตำแหน่งพระอัครมเหสี เฉินกุ้ยเฟยอาจกล่าวได้ว่าทรงมีฐานะอยู่ภายใต้บุคคลเพียงคนเดียวและอยู่เหนือพระสนมทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่นาน สถานะของพระองค์ในวังหลังก็จะไม่มีคู่แข่งอย่างแท้จริง
ในพระหัตถ์ทรงถือหนังสือเล่มหนึ่ง เฉินกุ้ยเฟยทรงพระสรวลแล้วกล่าวว่า “พระจันทร์ที่ลานบ้านในฤดูใบไม้ผลิเล่มนี้เขียนได้ดีมาก วันนี้ข้ายิ่งอ่านก็ยิ่งชอบ”
หลางเอ๋อร์เบ้ปากหัวเราะเบาๆ “เป็นเพราะเหนียงเหนียงทรงอารมณ์ดี อ่านหนังสือแล้วจึงรู้สึกว่าดีเพคะ”
นางกำนัลอีกคนหัวเราะแล้วพูดคล้อยตามว่า “จริงเพคะ แม้ว่าองค์รัชทายาทจะยังไม่ออกมาจากศาลต้าหลี่ แต่ก็อีกไม่นานแล้วเพคะ หลายวันมานี้เหนียงเหนียงทรงกันแสงเสียพระทัยทุกวัน พวกหม่อมฉันต่างก็เสียใจมากเพคะ”
หลางเอ๋อร์กระซิบว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าทรงเป็นถึงฮองเฮาจะทรงใช้วิธีอำมหิตเช่นนี้ ทรงทำให้พระสนมฝูเสียหาย ใส่ร้ายองค์รัชทายาท เสียแรงที่พวกเราคิดว่าพระองค์ทรงเป็นคนดีจริงๆ”
เฉินกุ้ยเฟยทรงขมวดพระขนง และตำหนิว่า “ห้ามยุ่งเรื่องของฮองเฮาเด็ดขาด”
“เหนียงเหนียง พระองค์ทรงระวังตัวเกินไปแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงเสนอให้ปลดฮองเฮาในท้องพระโรง หลังจากรอจนกงทุกท่านยืนยันแล้ว พระองค์ก็จะไม่ใช่ฮองเฮาอีกต่อไป” นางกำนัลอีกคนหัวเราะคิกคัก
“บางทีเหนียงเหนียงของพวกเราอีกไม่นานก็จะได้เป็นฮองเฮาแล้ว”
เฉินกุ้ยเฟยทรงขมวดพระขนงครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ทรงกำลังจะตำหนินางกำนัลที่ปากไม่มีหูรูดทั้งสองคน ทันใดนั้นก็ทรงได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาเบาๆ
“เสด็จแม่ หลินอันมาแล้วเพคะ”
เงาด้านนอกประตูแกว่งไกวไปมา เงาของหลินอันเคลื่อนเข้ามาในห้อง ต่อจากนั้น ชายฉลองพระองค์กระโปรงสีแดงเหมือนดอกไม้ไฟก็แกว่งไกวไปมาในสายลม
นางกำนัลสองคนเงียบอย่างรู้กัน ยุติการสนทนา
เฉินกุ้ยเฟยทรงแสดงสีพระพักตร์เมตตา ยืดพระวรกายตรง แล้วโบกพระหัตถ์ตรัสว่า “หลินอัน เมื่อตอนเช้าเพิ่งมาไม่ใช่หรือ?”
“คิดถึงเสด็จแม่แล้วนี่เพคะ อยากจะมาอยู่ตำหนักจิ่งซิ่วเสียเลย จะได้อยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ทุกวัน”
หลินอันเป็นสาวขี้อ้อน ปากหวานหน้าตาดี ไม่ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งหรือเฉินกุ้ยเฟยต่างก็ทรงรักพระองค์มาก
“ถ้าเช่นนั้นก็คุยเป็นเพื่อนแม่สักครู่ พอเจ้าเบื่อแล้ว ค่อยกลับสวนเส้าอิน” เฉินกุ้ยเฟยทรงดึงมือพระราชธิดาให้ประทับข้างพระองค์
“เพคะ!”
หลังจากที่ยายตัวร้ายประทับลงแล้ว ก็ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงออดอ้อนว่า “ที่สำคัญคือคิดถึงเสด็จแม่ แล้วก็ถือโอกาสทำธุระบางอย่างด้วยเพคะ”
รอยแย้มพระสรวลของเฉินกุ้ยเฟยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ธุระอะไร”
ยายตัวร้ายมองไปทางหลางเอ๋อร์ แล้วทรงรับสั่งว่า “ใต้เท้าสวี่มีเรื่องจะถามเจ้า เขากำลังรออยู่ที่ห้องโถงด้านข้างของลานด้านนอก เจ้าไปหาเขาหน่อย”
หลังจากพูดจบ ก็ทรงอธิบายเฉินกุ้ยเฟยทรงฟังว่า “เขาคือสวี่ชีอันแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่หม่อมฉันอบรมอยู่ เสด็จแม่ก็ทรงรู้จักเขา คดีของเสด็จพี่องค์รัชทายาทเขาก็เป็นคนทำ ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ต้องการถามหลางเอ๋อร์ แต่ข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูไม่ยอมให้เขาเข้ามาเพคะ”
เฉินกุ้ยเฟยทรงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ทรงโบกพระหัตถ์ “หลางเอ๋อร์ เจ้าไปพบเขาเถิด”
“เพคะ” หลางเอ๋อร์พูด มือทั้งสองข้างวางราบกับหน้าท้องส่วนล่าง เดินออกไป ก้าวข้ามธรณีประตู ออกจากลานพระตำหนัก เงาค่อยๆ ไกลออกไป
หลินอันถอนสายตา แล้วพูดต่อ “เสด็จแม่ การที่เสด็จพี่องค์รัชทายาทสามารถคืนความบริสุทธิ์ได้ ต้องพึ่งพาสวี่ชีอันเป็นอย่างมากเลยเพคะ เสด็จแม่ไม่ทรงทราบ หม่อมฉันอบรมเขาลำบากมากเลย เสด็จแม่ทรงตรัสบ่อยๆ ว่าฮว๋ายชิ่งมีความสามารถในการอบรมคนและสร้างอิทธิพล ความจริงหลินอันก็ทำได้ดีเช่นกัน ตอนที่เพิ่งรู้จักเขา เขายังเป็นมือปราบตัวเล็กๆ ของอำเภอฉางเล่อ ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันอบรมด้วยความยากลำบากหรือ อบรมเขาจนเก่งขนาดนี้”
เฉินกุ้ยเฟยทรงตรัสด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้ารู้จักมือปราบตัวเล็กๆ ได้อย่างไร?”
“ไอหยา ไม่ต้องใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้หรอกเพคะ ถึงอย่างไร คนเก่งที่หม่อมฉันอบรมก็ช่วยเสด็จพี่องค์รัชทายาทไว้ได้ ใช่หรือไม่เพคะ?”
“ใช่ ใช่ ใช่ เป็นเพราะหลินอัน หากครั้งนี้ไม่ได้คนที่หลินอันอบรมช่วยเหลือ เสด็จพี่องค์รัชทายาทของเจ้าก็จะตกอยู่ในอันตราย” เฉินกุ้ยเฟยทรงจับพระพักตร์อวบอิ่มรูปไข่ของพระราชธิดา
…
ในห้องโถงด้านข้าง สวี่ชีอันนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ในมือถือถ้วยชา แล้วเป่าเบาๆ
ชาของตำหนักจิ่งซิ่ว แม้จะใช้เพื่อต้อนรับแขก แต่ก็หอมเข้มข้นกว่าชาชั้นดีที่อาสะใภ้เก็บรักษาไว้มาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับชาที่หลินอันทรงดื่มเมื่อครู่ ก็ต่างกันไม่มาก วันหลังต้องไปขอใบชาหลินอันสักสองสามชั่ง เพื่อให้อารองและอาสะใภ้ได้ชิมของบรรณาการบ้าง
สวี่ชีอันคิดในใจ ดื่มไปหนึ่งอึกอย่างมีความสุข หันไปมองขันทีน้อยที่ยืนรับใช้อยู่ข้างๆ ทันที แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า
“ขันทีน้อย เจ้าเป็นคนที่ฝ่าบาททรงส่งมาเพื่อควบคุมข้า หากใช้คำพูดอย่างเป็นทางการก็เท่ากับเป็นผู้แทนพระองค์ นั่งลง นั่งลง ไม่ต้องยืน”
ขันทีน้อยมีความรู้อยู่พอสมควร พูดอย่างจนใจว่า “ออกจากเมืองหลวงจึงจะเป็นผู้แทนพระองค์ เวลานี้ข้าน้อยอยู่ในวังก็ยังคงเป็นข้าทาสอยู่ เช่นเดียวกับผู้ตรวจการเหล่านั้น อยู่ภายนอกองอาจน่าเกรงขาม แต่เมื่อกลับเมืองหลวงแล้วก็เป็นแค่ข้าราชสำนักตัวเล็กๆ มิใช่หรือ”
คำพูดนี้ทำให้สวี่ชีอันหัวเราะ “เป็นความเห็นที่ลึกซึ้งยิ่งนัก เป็นความเห็นที่ลึกซึ้งยิ่งนัก”
หากผู้ตรวจการจางกลับมาที่เมืองหลวงก็เหมือนน้องชายคนหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ข้างนอก เขาองอาจน่าเกรงขาม ถึงแม้จะเป็นขุนนางชั้นสูงเช่นสมุหเทศาภิบาลหรือผู้บัญชาการก็ต้องเคารพนบนอบ และเรียกตัวเองว่าข้าน้อย
“จริงสิ ขันทีน้อยถวายการรับใช้ในพระราชวังของฝ่าบาทใช่หรือไม่” สวี่ชีอันถาม
ขันทีน้อยพยักหน้า
“เมื่อวานหลังจากขันทีน้อยถวายรายงานเสร็จแล้ว ฝ่าบาทก็เสด็จพระราชดำเนินไปที่ตำหนักเฟิ่งฉีของฮองเฮา?”
มีคำถามหนึ่ง สวี่ชีอันได้เก็บซ่อนไว้ในใจมาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อวานตั้งแต่ค้นพบความสัมพันธ์ของหวงเสี่ยวโหรวกับฮองเฮา เบาะแสก็เริ่มชี้ไปที่ฮองเฮา แต่บันทึกรายรับรายจ่ายของห้องโอสถหลวงถูกคนแอบฉีกทำลาย ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะพิสูจน์ได้ว่าฮองเฮาเป็นคนช่วยชีวิตหวงเสี่ยวโหรว
ด้วยพระปรีชาญาณและความละเอียดอ่อนของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ไม่น่าจะทรงรีบร้อนไปทูลถามฮองเฮา ในขณะที่คดียังไม่แน่ชัด
หากจักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเป็นคนหุนหันพลันแล่นและขาดพระสติจริงๆ หลังจากเกิดคดีขององค์รัชทายาทแล้ว พระองค์น่าจะปลดองค์รัชทายาททันที
“ไม่ใช่…” ขันทีน้อยส่ายหัว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระซิบว่า
“เฉินกุ้ยเฟยทรงไปกันแสงที่พระราชวังของฝ่าบาท ทรงกล่าวโทษว่าฮองเฮาทรงใส่ร้ายองค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงเห็นใจกุ้ยเฟย จึงทรงไปถามฮองเฮาที่ตำหนักเฟิ่งฉี ข้าน้อยก็โดนฝ่าบาททรงเรียกไปสอบถามในเวลานั้นเช่นกัน ในเวลานั้นข้าน้อยก็ยังไม่ได้ถวายรายงานเลย”
เฉินกุ้ยเฟยทรงรู้ความคืบหน้าของคดีได้อย่างไร?
ไม่ต้องบอกก็รู้ ยายตัวร้ายจะต้องเป็นคนบอกพระองค์แน่ๆ พอยายตัวดีเห็นว่าคดีมีความคืบหน้าอย่างเด่นชัด ใกล้องค์รัชทายาทเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง ดังนั้นจึงทรงรีบไปแบ่งปันความดีพระทัยกับเสด็จแม่ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะกำลังสนทนากัน ผู้หญิงที่สวมชุดชาววังสีเขียวดอกบัวก็ก้าวข้ามธรณีประตู เข้าไปในห้องโถงด้านข้าง
นางมีรูปร่างหน้าตางดงาม ผิวขาว อายุประมาณยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าปี ดวงตากลมโตเหมือนฉู่ไฉ่เวย แต่ไม่โตเท่าฝ่ายหลัง
ดวงตาโตของฉู่ไฉ่เวยมักจะทำให้สวี่ชีอันนึกถึงหญิงสาวกระดาษสองมิติ
ประกอบกับใบหน้ากลมรูปไข่ อ่อนหวานน่ารัก สมกับฉายาตาโตบ้องแบ๊ว
นางกำนัลคนนี้เข้าไปในห้องโถงด้านข้าง ทำความเคารพอย่างนอบน้อม แล้วพูดว่า “คารวะใต้เท้าสวี่”
“พี่หลางเอ๋อร์” สวี่ชีอันแสดงความเคารพตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลางเอ๋อร์ยืนอยู่ในห้องโถงด้านข้าง พยักหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ต้องการถามอะไร เหนียงเหนียงยังรอข้าน้อยถวายการรับใช้อยู่”
สวี่ชีอันรีบพูดทันที “ขออภัย ข้าก็ทำตามพระราชโองการเช่นกัน”
ชะงักไปนิดหนึ่ง เขาไม่พูดจาไร้สาระอีก ถามตรงประเด็นว่า “หลายวันก่อนพี่หลางเอ๋อร์ได้ไปที่ห้องโอสถหลวงหรือไม่”
หลางเอ๋อร์พยักหน้า
“ไปทำอะไร”
“นับตั้งแต่องค์รัชทายาทเกิดเรื่องเป็นต้นมา เหนียงเหนียงก็ทรงกันแสงเสียพระทัยทั้งวัน วันนั้นพระองค์ทรงปวดพระเศียร ข้าน้อยจึงได้ไปเอายาคลายเครียดที่ห้องโอสถหลวง” หลางเอ๋อร์ตอบด้วยท่าทีสงบ
“เจ้าได้ฉีกสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายของห้องโอสถหลวงหรือไม่” สวี่ชีอันถาม
กับนางกำนัลและขันทีคนอื่นๆ ในรายชื่อ เขาก็ถามตรงไปตรงมาเช่นนี้เหมือนกัน มีวิชามองปราณอยู่ ก็เทียบเท่ากับจับเท็จที่มีประสิทธิผล ใช้ได้ผลดีกว่าการควบคุมและคอยสังเกตอีก
แม้ว่าวิชามองปราณจะมีข้อจำกัดมากมาย สามารถถูกอาวุธเวทมนตร์บังตาได้ ใช้ไม่ได้ผลกับโหร และไม่สามารถใช้กล่าวโทษเจ้าหน้าที่ระดับสี่ขึ้นไปได้ คดีพระสนมฝูเกี่ยวข้องกับรากฐานของชาติ จึงไม่สามารถใช้วิชามองปราณมาเป็นหลักฐานได้
แต่สำหรับขันทีและนางกำนัลเหล่านี้ วิชามองปราณไม่ได้ถูกจำกัด อีกอย่างสวี่ชีอันก็ใช้เป็นตัวช่วยเท่านั้น
ข้าขอแน่ใจก่อนว่าเจ้าเป็นมนุษย์หมาป่า จากนั้นจึงค่อยสอบสวนเจ้า วิธีนี้ง่ายและสะดวกกว่าการค้นหาความจริงตามเบาะแสมากนัก
หลางเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าสวี่ชีอันจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ นางส่ายหัว “เปล่า”
‘เฮ้อ สิ่งที่นางพูดเป็นความจริง…’ สวี่ชีอันผู้ใช้วิชามองปราณ ถอนหายใจด้วยความผิดหวังอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่าการวินิจฉัยของเขาจะผิด คนที่ฉีกสมุดบัญชีไม่ได้เข้าห้องโอสถหลวงภายในห้าวัน แต่เป็นก่อนหน้านั้น สำหรับการแอบเข้ามาในห้องโอสถหลวงมีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากห้องโอสถหลวงของจักรพรรดิหยวนจิ่งได้เก็บยาอายุวัฒนะอันล้ำค่าไว้ แม้แต่ท้องพระคลังขนาดเล็กของจักรพรรดิทรราชก็ถูกใช้ในการกลั่นยาอายุวัฒนะ หากจะเปรียบห้องโอสถเป็นขุมทรัพย์ก็คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินไป
ในเมื่อเป็นขุมทรัพย์ ด้านนอกย่อมต้องมีทหารจำนวนมากเฝ้ารักษาการณ์เป็นธรรมดา ไม่ใช่นึกจะแอบเข้ามาก็แอบเข้ามาได้
มีความเป็นไปได้สองอย่าง คนที่ฉีกสมุดบัญชีได้เข้ามาในห้องโอสถหลวงเมื่อห้าวันก่อน หรือว่า มีคนทรยศในห้องโอสถหลวง เดี๋ยวจะต้องไปถามนางกำนัลและขันทีที่ทำงานในห้องโอสถหลวง…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็ลุกขึ้น ประสานมือขึ้นกล่าวว่า “ข้าถามเสร็จแล้ว แต่คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด วันหลังอาจจะต้องมาเยี่ยมเยียนอีก”
เขารีบออกตัวก่อน จะได้ไม่ต้องมาเก้อ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นัยน์ตาของหลางเอ๋อร์ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหมดความอดทน
สวี่ชีอันรีบพูด “วันหลังจะส่งของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้พี่หลางเอ๋อร์ ขนมโก๋ของหอคอยกุ้ยเยว่เป็นขนมที่เป็นเอกลักษณ์”
เขารู้ว่าหลางเอ๋อร์ชอบกินขนมโก๋ และระหว่างทางมาตำหนักจิ่งซิ่ว หลินอันก็ทรงบอกเขาแล้ว
“ไม่ต้องหรอก” หลางเอ๋อร์ส่ายหน้าด้วยความเหินห่างและเป็นปรปักษ์เล็กน้อย พูดเบา ๆ ว่า “ข้าน้อยไม่ชอบกินขนมโก๋”
ถูกเกลียดแล้วหรือ…หึ ผู้หญิงคนนี้ดูแล้ววัยใกล้สามสี่สิบปีแล้ว ยังมาแสดงท่าทีรังเกียจชายหนุ่มรูปงามซึ่งหายากในโลกนี้เช่นข้า เป็นเพราะฤทธิ์ยาคืนชีพไม่ดีพอ หรือเพราะว่าเป็นทางเดินที่โรยด้วยดอกไม้นี้ไม่เคยมีใครมากวาด ดังนั้นจึงไม่รู้จักข้อดีของผู้ชาย?
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว…”
สวี่ชีอันตกตะลึงในทันใด
จากการมองผ่านวิชามองปราณ อารมณ์ของหลางเอ๋อร์มั่นคงมาก ไม่ได้โกหก ไม่ได้โกหก?!
…………………………………………