ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 259 เก็งข้อสอบ
บทที่ 259 เก็งข้อสอบ
“นายหญิง เก็บของเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
ซูซูที่งามล่มเมือง สวมกระโปรงหลัวสีขาวสลับกันเป็นชั้นๆ แต่งหน้าอย่างประณีต เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าเบาๆ เปิดถุงหอมที่ผูกตรงเอวออก แรงดึงดูดที่มีรูปร่างเป็นกระแสน้ำวนไหลออกมา ภูตผีนับสิบตัวที่อยู่ในกระโจมนายพลกำลังกินเข้าไป
“น่าเสียดายนะเจ้าคะ ที่ท่านยังไม่สามารถฝ่าฟันไปถึงเขตระดับสี่ได้” ซูซูถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยต่อไป
“มิฉะนั้น ในระดับของนิกายมนุษย์ คงไม่มีคู่ต่อสู้ของท่าน”
“แค่บำเพ็ญเพียรก็สามารถเปลี่ยนเป็นขั้นผลิดอกได้ง่ายอย่างนั้นหรือ” หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจอย่างจำใจ
นางติดอยู่ที่เขตแก่นปราณมาสองปีเต็มแล้ว
การโจรกรรมในอวิ๋นโจวถูกกำจัดจนสิ้น หลี่เมี่ยวเจินร่วมมือกับกองทัพท้องถิ่นในอวิ๋นโจว และฆ้องทองคำทั้งสองโจมตีหมู่บ้านบนภูเขา ปรับระดับหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุด และมีกระท่อมเล็กๆ หลายสิบหลัง
แน่นอนว่า การโจรกรรมที่ชั่วร้ายในอวิ๋นโจว ที่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้มาหลายร้อยปี ไม่ใช่บอกว่ากำจัดก็จะกำจัดได้
อีกไม่กี่ปี ก็จะฟื้นคืนชีพ และปักหลักฝังรากได้อีกครั้ง
ผลลัพธ์ในปัจจุบัน คือขีดจำกัดที่กองทัพท้องถิ่นสามารถทำได้ อวิ๋นโจวสามารถเป็นปกติสุขได้อีกหลายปี หลี่เมี่ยวเจินก็พอใจกับผลลัพธ์นี้แล้ว
ต่อมา นางจะต้องไปจัดการเรื่องของตนเองแล้ว นั่นก็คือการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์
ทุกครั้งที่ครบรอบหกสิบปี นิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์จะต้องพูดคุยกันเรื่องการเมือง ก่อนหน้านั้นลูกศิษย์ผู้โดดเด่นของทั้งสองรุ่นได้ปะทะกัน เพื่ออุ่นเครื่องสำหรับการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ก่อนแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในนิกายสวรรค์รุ่นนี้ อีกท่านหนึ่งเป็นศิษย์น้องของหลี่เมี่ยวเจิน และเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดิน ผู้ถือหนังสือปฐพีหมายเลขเจ็ดอยู่ในมือ
แต่ว่าอีตานั่นอยู่ตงเป่ย และได้ขาดการติดต่อไปเสียแล้ว
“น่าเสียดายไอ้คนตกหล่นที่น่ารังเกียจนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นคงสามารถช่วยข้าสืบคดีการทำลายล้างทั้งตระกูลของบ้านสกุลซู” ทันใดนั้นซูซูก็พูดขึ้นมา
หลี่เมี่ยวเจินมองภูตที่เติบโตมาพร้อมกับตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นแรง ความจริงแล้วบ้านของซูซูไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ไอ้ตานั้นอยากสืบ และเป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากเมืองหลวง เพื่อไปตรวจสอบคดีเก่าในที่อันไกลโพ้น
ซูซูเองก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี แต่นางเอาแต่พูดอยู่บ่อยๆ ดูเหมือนจะเสียดายกับคดีนั้น อันที่จริงคือเสียดายไอ้ผู้ชายหน้าไม่อายคนนั้นต่างหาก
ดังนั้น จะต้องตัดรักลืมหัวใจ…หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงทอดถอนใจในใจ
พวกพ้องต่างจากไป ความโศกเศร้ายากจะทนไหว คนรักเปลี่ยนใจ ความแค้นร้อยเข้าด้วยกัน…เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของมนุษย์นั้นต่างเป็นไฟแห่งกรรม แล้วจะพูดได้อย่างไรว่าความรู้สึกที่ลึกซึ้งเป็นเรื่องยากที่จะคงอยู่นานแสนนานเล่า
การไร้หัวใจเท่านั้น ที่จะคงอยู่ตลอดไป
พาซูซูออกจากกระโจม กองทัพนางแอ่นเหินสี่ร้อยกว่านายรวมตัวกันที่สนาม พลางรออย่างเงียบๆ
ทหารสี่ร้อยนายปลดอาวุธ
หลี่เมี่ยวเจินมองไปที่เหล่าทหารช้าๆ พวกเขาตอนนี้ บ้างก็สวมชุดลำลอง บ้างก็แต่งตัวด้วยเสื้อหม่าผ้าหยาบๆ บ้างก็แต่งตัวเหมือนเศรษฐี บ้างก็สวมชุดขาดรุ่งริ่งเหมือนขอทาน…นี่เป็นรูปลักษณ์แต่เดิมของพวกเขา
กองทัพนางแอ่นเหินเป็นกองทัพผสม สมาชิกต่างก็มาจากทั่วทุกสารทิศ จำนวนในนั้นมีพรรคกระยาจก ผู้พเนจรยุทธภพที่มีทะเลสี่แห่งเป็นบ้าน มีโจรปล้นคนรวยเพื่อช่วยเหลือคนจนเป็นต้น
พวกเขาต่างก็มีเป้าหมายเพื่อคนคนเดียว ถึงได้มารวมตัวกันที่อวิ๋นโจว หัวหน้าของกองทัพ คนนั้นเรียกว่าจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน
และวันนี้หลี่เมี่ยวเจินต้องไปแล้ว เป็นธรรมดาที่กองกำลังเสริมนี้ต้องแยกย้ายกันไป
หลังการโจรกรรมจบลง หยางชวนหนานเคยมาหาหลี่เมี่ยวเจินเป็นการส่วนตัว อยากจะรวมกองทัพนางแอ่นเหินเข้าไปอยู่ในกองทัพตามระเบียบ ฝึกฝนให้กลายเป็นทหารตัวเก็งของอวิ๋นโจว หวังว่านางจะสามารถชักชวนทหารของกองทัพนางแอ่นเหินให้อยู่ในอวิ๋นโจวต่อได้
แต่ไม่มีใครยอมที่จะอยู่สักคน
“หลายปีมานี้ พวกเราต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ถอนรากถอนโคนป้อมโจรเล็กและใหญ่หลายร้อยหลัง สังหารโจรหลายพันคน ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ใด ราษฎรจะต้องพักผ่อนหย่อนใจได้โดยไม่เกรงกลัวการโจรกรรม ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ใด พ่อค้าจะต้องสามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวได้ ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ใด แสงแห่งความยุติธรรมจะส่องลงมาที่นั่น…
“หลี่เมี่ยวเจินขอบคุณพี่น้องทุกคนที่อยู่เป็นเพื่อนกันไม่จากไปไหน ทว่าในใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา การเดินทางที่อวิ๋นโจวได้จบลงแล้ว และข้าจะต้องไปต่อ พวกเจ้าเองก็ควรกลับบ้านไปพบกับครอบครัวและมิตรสหาย
“ถนนแห่งชีวิตยังอีกยาวไกล อาจขรุขระหรือราบรื่น อาจขมขื่นหรือเศร้าโศก หวังว่าทุกคนจะจดจำช่วงเวลาที่อยู่ในอวิ๋นโจว และไม่หลงลืมความตั้งใจเดิม”
เอ่ยถึงตรงนี้ หลี่เมี่ยวเจินมองไปยังทหารทั้งสี่ร้อยนาย คารวะพร้อมเอ่ยด้วยเสียงที่ดังสนั่น “ทำสิ่งที่ดี ไม่ถามถึงอนาคต”
ทหารสี่ร้อยนายคารวะ เอ่ยด้วยเสียงที่ก้องกังวานหนักแน่นเช่นกัน
“ทำสิ่งที่ดี ไม่ถามถึงอนาคต”
นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเต็มใจที่จะถวายความจงรักภักดี เต็มใจที่จะติดตามจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน
…
ซินเจียงตอนใต้
เหตุที่เผ่าพันธุ์กู่ถูกเรียกว่าเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อน ไม่ใช่ว่าพวกเขากินเนื้อดิบ แต่พวกเขาอยู่บนพื้นฐานของกู่[1] ระบบการบำเพ็ญเพียร และนิสัยการใช้ชีวิตล้วนสอดคล้องกับหนอนพิษกู่
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงสามารถปลูกฝังและหลอมรวมหนอนพิษกู่เข้ากับกู่ได้
เพื่อใช้คำให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พัฒนาการของเผ่าพันธุ์กู่เดินตามหลัก ‘มาตรฐานกู่’ ดังนั้นระดับของอารยธรรมจึงไม่สามารถเทียบได้กับต้าฟ่งของ ‘มาตรฐานมนุษย์’ เขตตะวันตกและประเทศในแถบตงเป่ยได้
ช่องว่างของอารยธรรมปรากฏให้เห็นในแง่มุมต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุดคือวัฒนธรรมและสิ่งปลูกสร้าง
จนถึงตอนนี้เผ่าพันธุ์กู่ยังคงใช้อักษรโบราณอยู่ สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ยังเป็นบ้านกระท่อมและบ้านดินโคลน เครื่องปั้นดินเผาถูกนำมาใช้แทนเครื่องลายคราม
ทว่าเสื้อผ้าที่ใส่ไม่ต่างจากเสื้อผ้าของชาวต้าฟ่งมากนัก เผ่าพันธุ์กู่ในซินเจียงตอนใต้เก่งในการปลูกหม่อนและเลี้ยงไหม คุณภาพของไหมที่พวกเขาเก็บรวบรวมนั้นสูงกว่าต้าฟ่งหลายเท่า
แต่พวกเขาไม่เก่งด้านการทอ ดังนั้นจึงถูกพ่อค้าของต้าฟ่งซื้อผ้าไหมคุณภาพสูงในราคาถูก หรือใช้ผ้าสำเร็จรูปเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแทน
ภูเขาป๋อซานห่างไกลนับร้อยลี้ มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์
บนภูเขามีนกและสัตว์ร้าย มีสมุนไพรและผลไม้ป่ามากมาย ที่เชิงเขามีผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำหนาแน่น กองบัญชาการใหญ่ของเผ่าลี่กู่ก็อยู่ที่นี่ด้วย
เผ่าลี่กู่ได้พัฒนาที่ดินเป็นบริเวณกว้างในที่ราบนี้ บางครอบครัวทำเกษตรกรรม บางครอบครัวล่าสัตว์ มีการแลกเปลี่ยนอาหารและเสื้อผ้าซึ่งกันและกันอย่างเหลือกินเหลือใช้
โม่ซางแบกคันธนู กลับจากการล่าพร้อมกับกลุ่มชายชาตรี บางคนก็แบกหมูป่าที่มีน้ำหนักหลายร้อยกิโล บางคนก็หิ้วไก่ฟ้าสีทองสีสันสดใส บรรทุกข้าวของกลับมาเต็มลำ
โม่ซางเห็นลี่น่าผู้เป็นน้องสาวเก็บผักกับพวกผู้หญิงในทุ่งที่เชิงเขา
ลี่น่าสวมเสื้อผ้าที่เรียบง่าย เผยให้เห็นน่องที่สูงชะลูดได้สัดส่วน ภูมิอากาศในซินเจียงตอนใต้นั้นร้อน เสื้อแขนยาวและกระโปรงหลัวของต้าฟ่งที่นี่สวมไม่ได้ ดังนั้นคนของเผ่าพันธุ์กู่จะตัด และดัดแปลงเสื้อผ้าจากต้าฟ่ง
กระโปรงยาวถึงเข่า และแขนเสื้อสั้นถึงข้อศอกเท่านั้น
“ลี่น่า!”
โม่ซางส่งเสียงตะโกนเรียก รอน้องสาวเงยหน้าขึ้น เขาถึงเอ่ยต่อ “เมื่อวานเทียนกู่ผอผอให้เสวี่ยอิงมาส่งจดหมาย บอกว่าวันนี้ให้เจ้าไปพบ เหตุใดเจ้าถึงยังโอ้เอ้อยู่ที่นี่เล่า”
ลี่น่าตะลึงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ตบไปที่ศีรษะของตน “ไอหยา ข้าลืมไปเลย โม่ซาง เหตุใดท่านถึงไม่เตือนข้าให้มันเร็วๆ หน่อยเล่า”
โม่ซางได้ยินพวกชายชาตรีที่อยู่ข้างหลังเขาหัวเราะ หญิงสาวที่อยู่ในทุ่งก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน
บรรยากาศเต็มไปด้วยช่วงเวลาแห่งความสุข แต่โม่ซางรู้สึกค่อนข้างน่าอาย หันไปโมโหใส่พวกชายชาตรี “ขำอะไรกัน”
อีกด้านหนึ่ง ลี่น่าซึ่งสวมรองเท้าบูตผ้านุ่มกำลังล้างมือให้สะอาดอยู่ที่ลำธาร และตั้งใจจะไปยังชนเผ่าเทียนกู่ที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้
เมื่อโม่ซางเห็นสิ่งนี้ จึงรีบตะโกนเอ่ย “เขื่อนของชนเผ่าเทียนกู่ขาดทางข้าม เจ้าอย่าลืมช่วยซ่อมเสียหน่อยเล่า”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ลี่น่าส่งเสียงตอบรับด้วยเสียงกรอบแกรบ และวิ่งไปไกลแล้ว
…
เมื่อเทียบกับเผ่าลี่กู่แล้ว เผ่าเทียนกู่เป็นเหมือนเขตการปกครองของราชวงศ์ต้าฟ่งมากกว่า แม้มันจะเรียบง่ายและหยาบไปเสียหน่อย แต่ก็ได้กำจัดบ้านกระท่อม ส่วนใหญ่ปลูกเป็นบ้านอิฐและบ้านดินโคลนแล้ว
เผ่าเทียนกู่ถูกสร้างขึ้นที่เชิงเขาของภูเขาลั่วเสีย จากเชิงเขาไปถึงไหล่เขา มีนาขั้นบันไดเรียงกันเป็นแถว มีเขื่อนบนภูเขา ซึ่งเพิ่งพังไปเมื่อวาน และได้พังทลายนาขั้นบันไดออกไป
ลี่น่าที่เคยเที่ยวเล่นไปทุกที่เมื่อครั้งยังเยาว์ปีนขึ้นภูเขาลั่วเสียไปอย่างชำนาญลู่ทางดี ขณะเดินทางในเทือกเขาเป็นเวลานาน ก็เห็นปากเขื่อนที่พังทลายลงมาแล้ว
เห็นคนของเผ่าเทียนกู่นับสิบคน และเทียนกู่ผอผอที่มีผมสีขาวแกมเทาซึ่งมีฐานะเป็นหัวหน้ายืนอยู่ที่ริมอ่างเก็บน้ำ
ลี่น่าเหลือบมองพวกเขา และมองไปที่อ่างเก็บน้ำ มีร่างของสัตว์ประหลาดลอยอยู่บนผิวน้ำ สัตว์ประหลาดนั้นยาวกว่าสิบจั้ง ลำตัวปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ หัวแหลม คอเรียว และมีกรงเล็บบางๆ
เทียนกู่ผอผอสังเกตเห็นลี่น่า จึงโบกมือให้นาง
ลี่น่ากระโดดเบาๆ ระหว่างก้อนหินจนไปอยู่ตรงหน้าเทียนกู่ผอผอ เอ่ยเสียงหวาน “ผอผอ นั่นเป็นสัตว์ประหลาดอะไรกันเจ้าคะ”
“มังกรน้ำ!”
เทียนกู่ผอผอเผยรอยยิ้มที่ใจดีออกมา “ไม่รู้ว่ามาจากไหน มันทำลายเขื่อน ต้นกล้าที่เพิ่งปลูกลงไปก็ถูกทำลายออกไปด้วย”
“อ้อ”
เป็นครั้งแรกที่ลี่น่าได้พบกับมังกรน้ำ แต่เคยได้ยินมาว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่แทรกซ้อนอย่างหนาแน่นในซินเจียงตอนใต้ และแหวกว่ายไปตามใต้ท้องน้ำ
ว่ากันว่าท่านลุงของลี่น่าโดนมังกรน้ำกินขณะเล่นน้ำ
“เจ้าช่วยรวบรวมก้อนหิน และรีบอุดช่องว่างโดยเร็วที่สุด” เทียนกู่ผอผอเอ่ย
“เจ้าค่ะ!”
การใช้แรงงานลี่น่าถนัดที่สุดแล้ว นางวิ่งออกไปทันที ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทุกคนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่หนักอึ้ง เดินตามเสียงไป ‘ภูเขาหิน’ ก้อนหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนตัว
ภูเขาหินก้อนนี้สูงยี่สิบกว่าจั้ง[2] และอาจทำให้เกิดคลื่นที่โหมซัดเมื่อโยนลงไปในอ่างเก็บน้ำ
ภูเขาหินไม่ได้เคลื่อนที่ด้วยตัวเองแต่ถูกลี่น่าแบกเข้ามา เมื่อเปรียบเทียบกับก้อนหินขนาดยี่สิบจั้งแล้ว นางตัวเล็กเท่ามด
ฝูงคนจากเผ่าเทียนกู่ทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับคุ้นชินนานแล้ว
ในบรรดาเจ็ดเผ่าของเผ่าพันธุ์กู่ เผ่าลี่กู่เลื่องชื่อในด้านพละกำลังมหาศาลเกินมนุษย์ หลงถูบิดาของลี่น่า ถึงจะเป็นนักเคลื่อนย้ายภูเขาตัวจริง เมื่อต่อสู้กับต้าฟ่งในตอนนั้น เขาแบกภูเขาก้อนเดียวใส่กองทัพใหญ่และสามารถฆ่าคนนับพัน
ก้อนหินเคลื่อนตัวช้าๆ ใกล้กับเขื่อน ต่อมาลี่น่าปล่อยมันลงมาจนเกิดเสียงดังสนั่น
ฝูงคนยืนอยู่บนเขื่อนและก้มมองลงมา เพียงเห็นลี่น่าบิดเอวเบาๆ ผูกหางม้าให้แน่น สูดลมหายใจอยู่นาน ทันใดนั้นก็ส่งเสียงคำรามดัง ‘เฮ้ โฮ่ว’ หมัดหนึ่งถูกปล่อยเข้าใส่ผิวนอกของก้อนหิน
เสียงแตกร้าวที่อยู่ภายใน ทำให้ผิวนอกของก้อนหินปรากฏรอยร้าวคล้ายใยแมงมุมกระจายอย่างรวดเร็ว กระทั่งมันแตกออกเป็นเสี่ยงในทันทีทันใด กลายเป็นเศษหิน
คราวนี้ก็มีวัสดุในการซ่อมแซมเขื่อนแล้ว ไม่ต้องให้คนของเผ่าเทียนกู่รวบรวมให้ลำบาก ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้อย่างดี
ทิ้งให้คนในเผ่าซ่อมแซมเขื่อนไป เทียนกู่ผอผอก็พาลี่น่าลงเขา กลับไปที่บ้านของนาง ซึ่งเป็นเรือนสี่ประสานที่มีชานบ้าน
ลูกสะใภ้ของเทียนกู่ผอผอกำลังตากซากหนอนพิษกู่ที่เอาไว้ทำยาอยู่ ส่วนบุตรชายของนางกำลังเลี้ยงหนอนพิษกู่อยู่ด้านหลังจวน
เทียนกู่ผอผอพาลี่น่าเข้ามาในห้อง หยิบกล่องไม้ออกจากตู้ เสียงเปิดกล่องดัง ‘คลิก’ ในนั้นมีหนอนหยกขาวนอนอยู่ รูปร่างเหมือนแมงป่อง มีหกขา มีดวงตาสีดำสองดวงอยู่บนหัว น่ารักมากทีเดียว
“นี่เป็นกู่เจ็ดอักขระที่ตาแก่ของผอผอหลอมขึ้นมา ก่อนเขาจะจากไป กู่นี่ยังเสร็จเพียงแค่ครึ่งเดียว ผอผอใช้เวลายี่สิบปี ในที่สุดก็ทำมันสําเร็จ” เทียนกู่ผอผอผลักกล่องไม้ให้ลี่น่า ก่อนเอ่ยต่อไป
“ตอนนี้ก็ส่งให้เจ้าดูแลแล้ว”
“ให้ข้าหรือเจ้าคะ” ลี่น่าค่อนข้างแปลกใจ
“ไม่ใช่ให้เจ้า แค่ให้เจ้าดูแล อนาคตเจ้าจะต้องมอบให้ผู้ที่มีวาสนา”
มีเครื่องหมายคำถามผุดเข้ามาในหัวของลี่น่า
ลี่น่าไม่เข้าใจทิศทางของเรื่องราวเลยแม้แต่น้อย จู่ๆ ก็ได้รับกู่เจ็ดอักขระ และยังให้นางส่งต่อให้กับผู้ที่มีวาสนาอีก
เทียนกู่ผอผอปิดกล่อง แล้วเอ่ย “ยังจำเรื่องราวของเจ้าเด็กขโมยสองคน ที่ผอผอเคยเล่าให้เจ้าฟังได้หรือไม่”
ลี่น่าพยักหน้าอย่างแรง “จำได้เจ้าค่ะ”
ขณะเดียวกันนางก็นึกถึงหมายเลขสามขึ้นมา จะว่าไป หมายเลขสามก็ไม่ได้ส่งจดหมายมาเป็นเวลานานแล้ว กลุ่มพูดคุยหนังสือปฐพีก็กลับมาสงบเงียบเหมือนแต่ก่อน
“เผ่าเทียนกู่มีตำนานว่าไว้ เมื่อเทพเจ้ากู่ฟื้นคืนชีพ ทั่วทั้งซินเจียงตอนใต้ รวมถึงจิ่วโจวก็จะกลายเป็นโลกของกู่ทั้งหมด แม้ว่าเผ่าพันธุ์กู่จะอยู่รอดได้ด้วยการเลี้ยงดูและหลอมกู่ แต่กู่ก็เป็นเพียงเครื่องมือ และพวกเรายังคงเป็นมนุษย์”
เทียนกู่ผอผอแสดงความซับซ้อนภายในดวงตา “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่า แต่เป็นวาระสุดท้ายที่เผ่าเทียนกู่แสดงออกมาจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อที่จะรับรู้อนาคตนี้ ผู้อาวุโสจำนวนมากถูกความลับของสวรรค์แว้งกัด
“เพื่อให้เทพเจ้ากู่หลับใหลต่อไป เมื่อยี่สิบปีก่อน ตาเฒ่าคิดขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง เขาต้องไปขโมยของสิ่งหนึ่งเพื่อใช้มันสะกดเทพเจ้ากู่ และทำให้มันหลับใหลไปหลายชั่วอายุคน
“เพราะเหตุนี้เขาถึงออกจากซินเจียงตอนใต้ นับแต่นั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย ไม่นาน กู่ของรักที่เขาทิ้งไว้ที่เผ่าเหี่ยวเฉา ข้าถึงรู้ว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว”
“ของที่ขโมยมาคือสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ลี่น่ากอดกล่องไม้ไว้ ภายในดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำทะเลเปล่งประกายความสงสัย
เทียนกู่ผอผอส่ายหน้า พลางตบไปที่หลังมือของลี่น่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เมตตาและอ่อนโยน “ผอผออายุเยอะแล้ว ทนต่อการแว้งกัดความลับของสวรรค์ไม่ได้”
เช่นนั้นจะพูดได้อย่างไรว่าความลับของสวรรค์ไม่อาจรั่วไหลเล่า
“เมื่อคืน ข้ารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตา ของสิ่งนั้นใกล้ถือกำเนิดแล้ว ลี่น่า เจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้อง” เทียนกู่ผอผอจ้องนางด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
“ข้าหรือเจ้าคะ”
ลี่น่ากะพริบดวงตาสีฟ้า ไม่เข้าใจว่าตนเองที่เป็นหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง เหตุใดถึงไปปรากฏใน ‘เรื่องราว’ ลี้ลับของเทียนกู่ผอผอได้
“ไปเมืองหลวงเถอะ เจ้าบำเพ็ญเพียรมามากพอแล้ว ขาดเหลือก็แต่ประสบการณ์ ถือโอกาสนี้ไปเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์เสียหน่อย” เทียนกู่ผอผอเอ่ยเพิ่มเติม
“เรื่องนี้ข้าเคยปรึกษากับท่านพ่อเจ้าแล้ว และเขาก็เห็นด้วย”
ไปเมืองหลวง…ลี่น่าพินิจกล่องไม้ที่อยู่ในมือ พบว่าตนเองไม่ได้คัดค้านกับเรื่องนี้มากนัก ในความคิดของนางนึกถึงหมายเลขสาม หมายเลขหนึ่ง และนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นอันดับแรก
…
เที่ยงวัน แสงแดดอุ่นๆ ฉาบทาอยู่บนท้องฟ้า ภายในจวนสกุลสวี่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
โต๊ะจัดงานเลี้ยงถูกจัดวางภายในลานกว้าง โต๊ะทางฝั่งซ้ายคือคนของตระกูลสวี่ โต๊ะทางฝั่งขวาคือเพื่อนร่วมงาน และเพื่อนเก่าสมัยเด็กของสวี่ผิงจื้อกับสวี่ชีอัน
นายอำเภอจากอำเภอฉางเล่อและเหล่ามือปราบจากฝ่ายจับกุมก็อยู่ในนี้ด้วย แน่นอนว่า ยังมีหัวหน้าจับกุมหลี่ว์ชิงจากที่ว่าการเมืองด้วย
น่าเสียดายที่หลี่อวี้ชุน ซ่งถิงเฟิงและคนอื่นยังอยู่ที่อวิ๋นโจว ไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงได้
สวี่ผิงจื้อพาสวี่ชีอันไปทีละโต๊ะเพื่อดื่มเหล้าแสดงความเคารพ เดิมทีสวี่ชีอันเป็นเพียงผู้รับหน้าที่รับมือ แต่ได้ยินทุกคนทั้งยินดี ทั้งตะโกนใต้เท้าจื่อ…ทันใดนั้นก็หลงรักความรู้สึกนี้เสียแล้ว
พอถึงโต๊ะของนายอำเภอจู นายอำเภอรูปร่างอ้วนเอ่ยพลางถอนหายใจ “ข้ามีหลานสาวคนหนึ่ง วัยแรกแย้มเพียงสิบแปด รูปร่างค่อนข้างงดงาม เดิมคิดจะให้หมั้นหมายกับหนิงเยี่ยน แต่ดูจากตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วกระมัง”
บุตรสาวของนายอำเภอจูแต่งงานแล้ว มิฉะนั้นยังคงพอจะเหมาะสมกับสวี่ชีอันอยู่ หลานสาวคงไม่ได้แล้ว เพราะสถานะไม่สูงส่งพอ
หัวหน้ามือปราบหวังหัวเราะพลางเอ่ยต่อ “ตอนนี้หนิงเยี่ยนเป็นถึงจื่อแล้ว คนที่คู่ควรกับเขาได้ คงมีเพียงบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานจากตระกูลชั้นสูงที่ร่ำรวยทั้งอำนาจและเงินทองเท่านั้น”
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง
หลี่ว์ชิงที่ฟังอยู่โต๊ะถัดไป รู้สึกหงุดหงิดและหดหู่ในใจเงียบๆ
เดิมทีนางที่มีฐานะเป็นหัวหน้าผู้จับกุมที่ว่าการเมืองมันก็มากเกินพอที่จะคู่ควรกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนหนึ่ง ไม่เพียงขึ้นอยู่กับอาชีพเดียวกัน แต่สามารถพูดได้ว่าสวรรค์ส่งมาให้เป็นคู่กัน
แต่หลังสวี่ชีอันได้รับการแต่งตั้งยศ ยกตนเองอยู่ในชนชั้นสูง คงไม่สามารถสู่ขอหัวหน้าผู้จับกุมหญิงคนหนึ่งเพื่อเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน ขนบธรรมเนียมไม่สอดคล้องกัน
งานเลี้ยงจัดจนถึงยามเหว่ยสองเค่อ[3]ถึงแยกย้ายกันไป สวี่ชีอันและอารองสวี่รับผิดชอบส่งแขก อาสะใภ้มีหน้าที่สั่งการคนใช้ให้เก็บกวาด
ยามเซินสามเค่อ[4] สวี่เอ้อร์หลางกลับมาพร้อมกับคนรับใช้และสาวใช้
อาสะใภ้สมกับที่เป็นมารดา สั่งให้แม่ครัวอุ่นอาหารที่เหลือในช่วงกลางวันให้เอ้อร์หลาง
“เอ้อร์หลาง กินเสร็จแล้วก็ไปผักพ่อนให้เต็มที่นะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปสอบที่ก้งย่วน[5]” อาสะใภ้คีบอาหารให้บุตรชายอย่างใส่ใจ
เวลานี้ยังไม่ถึงเวลารับประทานอาหาร แต่พรุ่งนี้สวี่เอ้อร์หลางต้องตื่นแต่เช้า ดังนั้นต้องรับประทานอาหารก่อนเวลา และนอนหลับให้ไวหน่อย หากนอนไม่เพียงพอ จะกระทบต่อการสอบของวันพรุ่งนี้ได้
สวี่ชีอันนั่งดื่มชาอยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นจึงเอ่ย “เอ้อร์หลาง เจ้าจะสอบอะไรบ้างหรือ”
สวี่เอ้อร์หลางกินไปด้วย อธิบายสั้นๆ ไปด้วย “คำถามด้านการเมือง กฎหมายด้านการค้า บทกวี”
หยุดชะงักสักครู่จึงเอ่ยต่อ “บทกวีถูกถอดถอนออกจากการสอบเคอจวี่ ตั้งแต่จักรพรรดิองค์ก่อนเป็นต้นมา จนถึงปีที่สิบเอ็ดของหยวนจิ่ง หวางเจินเหวินเข้ามาสู่ศาลาใน ภายใต้การผลักดันของเขา บทกวีถึงได้กลับมาสู่การสอบเคอจวี่อีกครั้ง”
ในช่วงสองร้อยปีแห่งการต่อสู้เพื่อสายเลือดของลัทธิขงจื๊อ โลกแห่งกวีอ่อนแอลง ถึงจุดที่จะถอนตัวออกจากเวทีการสอบเคอจวี่ได้
“หากพี่ใหญ่อยากเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ อย่างอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง อย่างน้อยก็สามารถชุบชีวิตโลกแห่งกวีได้” สวี่เอ้อร์ หลางออกความคิดเห็นอย่างภววิสัย เขาดื่มเหล้าหนึ่งอึก พลางหันไปมองทางบิดา เอ่ยเสียงเบา
“ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว พี่ใหญ่เริ่มมีชื่อเสียงในโลกแห่งกวี ท่านพ่อก็ค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว”
สวี่หลิงอินนั่งอยู่บนเข่า สวี่ผิงจื้อที่กำลังเล่นหยอกล้อกับบุตรสาวถึงกับตกตะลึง ต่อมาได้แสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมา หัวเราะดังลั่น
“ความจริงแล้วเป็นพรสวรรค์ของต้าหลางเอง ในฐานะบิดาก็ไม่มีทางปลูกฝังได้ ปัญญาชนแบบนี้ก็แค่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่…เหตุใดพวกเขาถึงชื่นชมข้า”
สวี่ซินเหนียนมุมปากกระตุก “ชื่นชมว่าไม่ขนาดนั้นหรอก”
‘???’
สวี่ผิงจื้อตบโต๊ะอย่างโมโห “มีอย่างนี้ที่ไหนกัน พวกเขามีสิทธิ์อะไรถึงได้กล่าวเช่นนี้”
สวี่เอ้อร์หลางเหลือบมองพี่ใหญ่ หัวเราะเหอะๆ ขึ้นมา “ยิ่งบทกวีที่พี่ใหญ่เขียนมีมากเท่าใด ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของท่านพ่อก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่แน่ในอนาคตอาจบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์ก็ได้”
คืนวันนั้น สวี่ผิงจื้อกังวลจนนอนไม่หลับ
อาสะใภ้ด่า “คนยังไม่ตาย ท่านก็คิดถึงชื่อเสียงในอีกหลายร้อยปีข้างหน้าแล้ว กลุ้มใจไปเปล่าๆ”
“เอาตามที่ฮูหยินคิดเถอะ” สวี่ผิงจื้อส่งเสียงฮึ พลางว้าวุ่นใจ “เอ้อร์หลางมีคุณสมบัติของสมุหราชเลขาธิการ อนาคตต้าหลางก็สามารถมีชื่อเสียงได้เหมือนกัน ตอนที่รุ่นหลังประเมินพวกเขา ต่างก็ชมได้คำเดียว พอถึงตาข้า ต้องสี่คำ ‘ไม่ขนาดนั้นหรอก’ ”
อาสะใภ้บ่นพึมพำ “เช่นนั้นถึงจะดีและเลวก็มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์แล้ว…จริงสิ ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน หากอนาคตเอ้อร์หลางถูกส่งไปต่างแดนจะทำอย่างไร ท่านสามารถหาวิธีที่จะให้เขาอยู่ในเมืองหลวงได้หรือไม่”
“อย่าแม้แต่จะคิด เขาเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ ถูกส่งไปต่างแดนไม่อาจหลีกหนีได้ หวังเพียงว่าจะไม่ไกลเกินไป” สวี่ผิงจื้อเอ่ยอย่างจำใจ
นักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่ โดยทั่วไปคงไม่มีวาสนากับอำนาจศูนย์กลางของทางการเมืองหลวง ส่วนใหญ่ต่างก็ถูกแยกย้ายไปในที่ต่างๆ เกรงว่าตำแหน่งที่จะอยู่ในเมืองหลวง คงมีแต่ข้าราชการตัวเล็กๆ เท่านั้น
“ไม่อย่างนั้นท่านไปหาหนิงเยี่ยนดูหน่อย เขาเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และยังรู้จักองค์หญิงอีก จะต้องมีวิธีแน่” อาสะใภ้นั่งงอขาอยู่บนเตียง ขมวดคิ้วเล็กน้อยภายใต้แสงเทียน
“นี่เป็นเรื่องของกรมปกครอง เกี่ยวอะไรกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเล่า” สวี่ผิงจื้อลดเสียงลง
“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตรวจสอบหนึ่งร้อยกวน ทำให้ขุนนางบุ๋นชิงชังที่สุด ให้หนิงเยี่ยนออกหน้า มีแต่จะกลับตาลปัตรเท่านั้น”
อาสะใภ้นอนลงบนเตียง กอดหมอน พลางขมวดคิ้ว
…
‘ตึงๆๆ’
สวี่ซินเหนียนที่สวมชุดนอนสีขาว กำลังเตรียมตัวจะนอน กลับได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อเปิดประตูก็เห็นสวี่ชีอันยืนอยู่นอกประตู
“พี่ใหญ่มีธุระอันใดกับข้าหรือ”
สวี่ชีอันพินิจน้องชายตัวน้อยผู้หล่อเหลา ปากแดงฟันขาว พลางเอ่ยและยิ้มมุมปาก “มาเก็งข้อสอบอย่างไรเล่า”
…………………………………………………..
[1] การเอาพิษจากสัตว์หลายๆ ชนิดมาปรุงใหม่ให้เป็นพิษชนิดใหม่ขึ้นมา ซึ่งวิธีการนี้ชนกลุ่มน้อยทางฝั่งตะวันตกของจีน เช่น เสฉวน กุ้ยโจว ยูนนาน จะชำนาญเรื่องพิษมาก
[2] ยี่สิบกว่าจั้ง ประมาณ เจ็ดสิบถึงแปดสิบเมตร
[3] ยามเหว่ยสองเค่อ ประมาณบ่ายโมงครึ่ง
[4] ยามเซินสามเค่อ ประมาณ บ่ายสามโมง สี่สิบห้านาที
[5] เป็นสถานที่จัดสอบส่วนขุนนางภูมิภาคในการคัดเลือกบุคลากรสำหรับทำงานราชการในสมัยก่อน