ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 269 ชีวิตขององค์หญิงหลินอันตกอยู่ในวิกฤต
บทที่ 269 ชีวิตขององค์หญิงหลินอันตกอยู่ในวิกฤต
“เจ้าตัวเล็กนั่น!”
จงหลีพันศีรษะของตนแล้วถอดรองเท้าปักทั้งสองข้างออก จากนั้นนั่งกอดเข่าก้มหน้า กล่าวว่า “ข้าอยู่ในจวนของท่านมาตั้งนาน ทำให้ตั้งแต่ท่านอาจนถึงคนรับใช้ดวงชะตาล้วนเปลี่ยนเป็นแย่ลง มีเพียงเด็กคนนั้นเท่านั้นที่ยังคงเหมือนเดิม และไม่ได้รับผลกระทบจากเคราะห์ร้าย”
ไม่ใช่หลิงเยวี่ย ก็จริง สวรรค์ให้นางสืบทอดความงามของอาสะใภ้ไปแล้ว หากยังเอนเอียงเข้าข้างนางอีก แบบนั้นเสี่ยวโต้วติงก็น่าสงสารเกินไป…สวี่ชีอันกล่าวว่า
“เช่นนั้น น้องสาวของข้าก็เป็นคนมีดวงดีเช่นกันหรือ”
จงหลีส่ายหน้าเบาๆ “ผู้ที่มีดวงดีนั้น ที่มาของมันจะล้ำลึก ล้วนได้ประโยชน์จากทั่วทุกแห่ง แต่เห็นได้ชัดว่านางมิใช่เช่นนั้น นางเป็นเพียงคนดวงแข็งที่ไม่ได้รับผลจากเคราะห์ร้าย”
“คนในจวนล้วนมีดวงชะตาไม่ดี…เจ้าพูดเช่นนี้ทำให้ข้าสงสัยนักว่าที่ข้าเก็บเงินไม่ได้ช่วงนี้ จะเป็นความผิดของเจ้าด้วยหรือไม่”
ตั้งแต่เก็บเจ้าตัวโชคร้ายจงหลีผู้นี้มา สวี่ชีอันก็ไม่เคยเก็บเงินได้อีกเลย
“ไม่รู้” จงหลีตอบตามตรง
“จู่ๆ ข้าก็คิดขึ้นมาได้ หากหลิงอินสามารถต้านทานความโชคร้ายของเจ้า เช่นนั้นต่อไปข้าก็จะพานางออกจากบ้านด้วย แล้วก็จะเก็บเงินได้อีกครั้ง” สวี่ชีอันครุ่นคิดแล้วเสนอขึ้นมา “เรามาทดสอบกันเถอะว่าจะเป็นอย่างไร”
“ทดสอบอย่างไร” จงหลีถาม
“รอดู”
สวี่ชีอันพลันออกไปทันที พอมาถึงโถงด้านหน้าก็หยิบกระถางดอกกล้วยไม้ที่อาสะใภ้รักหนักหนามาวางไว้บนหลังคาของทางเดิน จากนั้นเขาก็เดินไปยังปีกตะวันออก เงี่ยหูฟังพักหนึ่งเพื่อยืนยัน ก่อนที่จะเคาะประตูเอ่ย
“ท่านอารอง หลิงอินหลับแล้วหรือ”
น้ำเสียงฉงนของอารองดังออกมาจากในห้อง “นอนเล่นอยู่บนเตียงน่ะ มีเรื่องใดรึ”
“ไม่มีอะไร ท่านพาหลิงอินออกมาหน่อยเถิด” สวี่ชีอันกล่าว
“ได้”
อารองสวี่ไม่ได้ถามถึงเหตุผล เขาอุ้มเสี่ยวโต้วติงออกมาจากห้อง สวี่ชีอันถอยหลังออกมาสองสามก้าว ถึงอย่างไรนี่ก็คือห้องนอนของอารองและอาสะใภ้ ทั้งยังเป็นตอนค่ำคืนดึกดื่น เขามายืนอยู่หน้าประตูคงดูไม่ดี
“พี่ใหญ่…”
สวี่หลิงอินกางแขนน้อยๆ ออกแล้วโผเข้าหาสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันอุ้มนางไปทางห้องของตน เมื่อมาถึงทางเดินที่มีกระถางต้นไม้วางอยู่บนหัว เขาก็วางสวี่หลิงอินไว้แล้วเอ่ย “เจ้านั่งกินขนมอยู่ตรงนี้นะ กินเสร็จแล้วเราค่อยกลับกัน”
สวี่หลิงอินผู้ที่ควรมีไหวพริบจะรู้สึกว่าประหลาดมาก เหตุใดต้องนั่งกินขนมข้างนอกด้วย แต่พอนางได้ยินว่ามีของกิน สติปัญญาที่เดิมก็ไม่ได้มากอยู่แล้วก็ลดลงต่ำไปทันที
นางตอบอย่างดีใจ “ได้เลย”
ดังนั้นสวี่ชีอันจึงวางเจ้าถั่วตัวน้อยไว้บนบันไดข้างทางเดิน แล้วหยิบขนมออกมาด้วยท่าทางเหมือนร่ายเวทมนตร์ จากนั้นก็ให้นางนั่งกินอยู่ตรงนั้น
“ความโชคร้ายของข้าต้องทำให้กระถางต้นไม้ตกลงมาแน่ๆ” จงหลีกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“อืม” สวี่ชีอันพยักหน้า
เขากำลังทดสอบแหล่งความโชคดีของสวี่หลิงอินอยู่ หากจงหลีคาดเดาผิดพลาดก็ไม่เป็นไร เขาสามารถทำลายกระถางต้นไม้นั่นเพื่อไม่ให้มันทำร้ายเสี่ยวโต้วติงได้
ครู่ต่อมา บนหลังคาก็มีเสียง ‘แกร่ก’ จากนั้นกระถางต้นไม้ก็ตกลงมาจริงๆ
และในขณะเดียวกัน แมวสีส้มตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากในพุ่มไม้แล้วกระโดดขึ้นมาใช้อุ้งเท้าตบกระถางต้นไม้ไปทางสวี่ชีอันแทน
สวี่ชีอันหันหน้าหลบ แต่จงหลีหลบไม่พ้น….
กระถางต้นไม้แตกกระจายอยู่บนหัวของจงหลี
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ข้ากลับบ้านไปทำแผลก่อนแล้วกัน” จงหลีเดินจากไปเงียบๆ
“แมว แมว…”
เสี่ยวโต้วติงมีขนมอยู่เต็มปาก นางชี้ไปที่แมวสีส้มแล้วตะโกนอย่างตื่นเต้น
“ได้ๆ พี่ใหญ่จะพาเจ้ากลับไปนอน” สวี่ชีอันอุ้มเสี่ยวโต้วติงกลับไปที่ห้องปีกตะวันออกแล้วคืนนางให้กับอารอง จากนั้นก็เตือนอารองให้แปรงฟันให้นาง
พอคิดได้ว่านี่คือกล้วยไม้ที่อาสะใภ้รักหนักนา สวี่ชีอันก็ส่งเศษกระถาง ดอกกล้วยไม้ และดินกลับไปให้
หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว เขาก็ไปที่เรือนด้านหลังและมองไปรอบๆ ก็เห็นแมวสีส้มนั่งอยู่ที่ขอบบ่อน้ำ โดยมีรูม่านตาสีเหลืองอำพันมองมาที่เขาอย่างชั่วร้าย
“ท่านนักบวช”
สวี่ชีอันเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยทัก
“เมื่อครู่เจ้าทำอะไร” แมวส้มเอ่ยภาษามนุษย์ออกมา
“ทำการทดสอบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
แมวสีส้มพยักหน้า “ศาสดาพยากรณ์จากสำนักโหราจารย์คนเมื่อกี้นี้คือ?”
สวี่ชีอันเอ่ย “ใช่แล้ว” ออกมา “ด้วยสายตาของท่านนักพรต คงจะมองเห็นเมฆดำมารวมกันบนหัวของนางแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่แค่เมฆดำที่ไหนล่ะ แต่เป็นผู้ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์…” แมวส้มยกอุ้งเท้าขึ้นมาลูบเคราแมว “ความลับสวรรค์รั่วไหลเหมือนกัน หากเทียบกันแล้ว ผู้ทำนายจากระบบพ่อมดถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์เชียวนะ แต่ก็ต้องทนต่อเคราะห์เก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดครั้งให้ได้ หากรอดก็จะกลายเป็นผู้ทำนาย”
ได้ยินดังนั้น สวี่ชีอันก็เอ่ยติดตลก “แต่ศาสดาพยากรณ์ต้องทนทุกข์ไปสามพันหกร้อยชาติ…หืม?”
สวี่ชีอันพลันเกิดความสงสัย เขาส่งเสียง ‘หืม’ ออกมาแล้วขมวดคิ้วกล่าว “ศาสดาพยากรณ์…ผู้ทำนาย…จริงๆ แล้วเหมือนกันมิใช่หรือ แต่ต่างกันที่คำเรียก”
พูดพลางเขาก็ส่งสายตาขอคำยืนยันจากนักบวชเต๋าจินเหลียน
เพราะชื่อเรียกต่างกัน ก่อนหน้านี้เขาจึงไม่ได้เชื่อมโยง ‘ศาสดาพยากรณ์’ กับ ‘ผู้ทำนาย’ เข้าด้วยกัน แต่เมื่อฟังจากคำพูดของนักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว สวี่ชีอันก็นึกได้ทันทีว่าสองสิ่งนี้คล้ายจะมีความหมายเดียวกัน เพียงแต่เรียกไม่เหมือนกันเท่านั้น
เหมือนกับ ‘เทพธิดา’ และ ‘เจ้าแม่’ นั่นแหละ คำเรียกต่างกัน แต่ทำสิ่งเดียวกันนั่นก็คือ ‘เป็นตัวสำรองคอยเลี้ยงปลา’
แมวสีส้มวางอุ้งเท้าลงแล้วนั่งอยู่ที่ขอบบ่อ มันดูน่ารัก แต่น่าเสียดายที่เสียงพูดของมันเป็นชายชราน่าเกลียด “โอ้ ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่รู้ โหรมีประวัติศาสตร์เพียงหกร้อยปีและใช้ดวงชะตาเดียวกับต้าฟ่ง แต่เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ที่จนถึงตอนนี้ระบบทหารอันสมบูรณ์กลับยังไม่มีเทพยุทธ์ปรากฏขึ้นเลย ส่วนพ่อมด ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื๊อล้วนมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีกันทั้งนั้น
“ในเวลาเพียงหกร้อยปี นอกจากระบบโหรจะไม่มีตัวตนที่เหนือยิ่งกว่าระดับขั้นแล้ว แต่ขั้นเก้าจนถึงขั้นหนึ่งก็สมบูรณ์อย่างยิ่ง”
ใช่แล้ว ระบบโหรมีอยู่แค่หกร้อยปีสั้นๆ กลับสมบูรณ์ขนาดนี้ หากสร้างระบบหนึ่งขึ้นมาจากเดิมที่ไม่มีอะไรจริงๆ ท่านโหราจารย์รุ่นแรกคงจะเป็นผู้วิเศษที่ส่งตรงมาจากสวรรค์ระดับสุดยอดแน่ แล้วคนเช่นนี้เหตุใดจึงไม่อาจอยู่เหนือระดับขั้นได้เล่า…สัมผัสอันเฉียบคมของสวี่ชีอันรับรู้ถึงความไม่สมเหตุสมผลของเรื่องนี้ จึงเอ่ยอย่างสงสัย
“แล้วนี่มันเป็นมาอย่างไรกันแน่”
แมวส้มไม่ตอบตามตรง มันยิ้ม “ข้าจะเล่าประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งให้เจ้าฟัง แล้วเจ้าก็ไปคิดเอาเอง”
มันเลียอุ้งเท้าของตนแล้วเอ่ย “จักรพรรดิองค์แรกก่อตั้งต้าฟ่งขึ้นมาอย่างยากลำบาก เคยถูกบีบให้ไปอยู่ในทางตันหลายต่อหลายครั้ง และในปีหนึ่ง เขาก็ไปยังตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อขอยืมทหารจากสำนักพ่อมด รับปากว่าหากถอนรากถอนโค่นความเน่าเฟะของราชสำนักแล้วก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ได้ เขาจะยกสำนักพ่อมดให้เป็นศาสนาประจำชาติ แม่น้ำลำธารหลายหมื่นลี้ของที่ราบภาคกลางก็จะมาอยู่ในอาณาเขตของสำนักพ่อมดด้วย สำนักพ่อมดจึงตอบตกลง เขาจึงได้ทหารกล้ามาสองแสนนาย พร้อมกับยอดฝีมือจากสำนักพ่อมดอีกมากมาย
“ต่อมาจักรพรรดิผู้ก่อตั้งคนนั้นก็โค่นล้มความเน่าเฟะของราชวงศ์ก่อนได้ แล้วเอาชนะผู้ครองรัฐทั้งหลายจนรวมแผ่นดินภาคกลางเป็นปึกแผ่น แต่สำนักพ่อมดกลับไม่ได้กลายเป็นศาสนาประจำชาติของต้าฟ่งอย่างที่หวัง
“เพราะต้าฟ่งมีสำนักโหราจารย์ขึ้นมา แล้วจากนั้นระบบโหรก็ถือกำเนิด”
ในหัวของสวี่ชีอันมีอยู่เพียงสองคำ ‘เวรกรรม!’
ดูเผินๆ เหมือนนักบวชเต๋าจินเหลียนจะเล่าถึงประวัติศาสตร์ดำมืดของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่งที่ทำการข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน…แต่ก็เรียกว่าประวัติศาสตร์อันดำมืดไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร จักรพรรดิผู้ก่อตั้งก็ล้วนเป็นคนหน้าด้านใจดำคุณธรรมต่ำทรามมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สุภาพชนคนดีไม่อาจประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้หรอก…
ทว่าความจริงแล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนกำลังเปิดเผยถึงที่มาของระบบโหรให้กับเขา
ระบบฝึกตนของโหรแยกสายออกมาจากระบบพ่อมด!
นี่คือการคาดเดาที่สวี่ชีอันได้มาจากวิชาคิดวิเคราะห์อย่างมีความเข้าใจที่ถูกปลูกฝังมาในการศึกษาภาคบังคับเก้าปีของเขา
มิน่า ความสามารถของ ‘ศาสดาพยากรณ์’ กับ ‘ผู้ทำนาย’ ถึงได้คล้ายคลึงกันขนาดนี้
จริงสิ เรื่องเช่นนี้ก็เกิดกับระบบทหารและระบบจอมยุทธ์ภิกษุเหมือนกัน! การที่โหรจะแยกสายมาจากพ่อมดนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…สวี่ชีอันพลันตระหนักได้ทันใด
อีกอย่าง เขาก็เริ่มคิดเชื่อมโยงจากตรงนี้โดยการแผ่ขยายความคิดออกไป เขาสงสัยว่าเมื่อปีนั้น ท่านโหราจารย์รุ่นแรกน่าจะรับใช้อยู่ในกลุ่มพ่อมดมาก่อน
“โหรแยกสายมาจากพ่อมด แม้ว่าจะมีสายพ่อมดเป็นฐาน แต่การสร้างระบบฝึกตนแบบใหม่ขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เกรงว่าเรื่องราวเบื้องหลังคงจะมีแต่จักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่งและท่านโหราจารย์รุ่นแรกเท่านั้นที่รู้…ข้าสงสัยว่ามันจะเกี่ยวข้องกับความลับที่ท่านโหราจารย์เก็บรักษาไว้ด้วย บางทีนี่อาจจะเป็นการเผยโฉมหน้าของโหรผู้ลึกลับแห่งอวิ๋นโจวออกมาก็ได้”
สวี่ชีอันเอ่ยเรื่องที่ตนสงสัยออกมา หวังว่านักบวชเต๋าจินเหลียนผู้เห็นโลกมามากจะไขความข้องใจของเขาได้
น่าเสียดายที่นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่มีความคิดอยากจะชี้แนะสวี่ชีอัน เขากลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
มีแต่ต้องถามเรื่องประวัติศาสตร์ช่วงนี้กับเว่ยเยวียนหรือไม่ก็องค์หญิงใหญ่เท่านั้น…สวี่ชีอันเปลี่ยนเรื่องพูด “ท่านนักบวชมาหาข้ามีเรื่องใดหรือ”
แมวส้มชำเลืองมองมาที่เขา ผ่านไปพักหนึ่งก็เอ่ยว่า “เดินผ่านมาน่ะ เห็นว่าโชคของเจ้าตกลงแล้วก็เลยมาดูเป็นพิเศษ”
หลังจากที่สวี่ชีอันฟังจบ ในหัวก็ผุดเพียงแค่ ‘???’
ผ่านไปสักพักก็กลายเป็น ‘!!!’
ความรู้สึกอย่างหลังคือปฏิกิริยาของเขา มิน่าช่วงนี้ถึงเก็บเงินไม่ได้เลย ที่แท้ก็มีสาเหตุมาจากตัวเออเร่อร์ 404 ของท่านโหราจารย์นี่เอง
“แต่หลังจากข้าเห็นเด็กสาวคนนั้นก็เข้าใจเหตุผลแล้ว” แมวสีส้มกล่าว
นักบวชเต๋าจินเหลียนคิดว่าความโชคร้ายของจงหลีเกี่ยวข้องกับการที่โชคของข้าลดลงหรือ สวี่ชีอันไม่ได้อธิบาย เขายังคงเงียบ
เขาก็ไม่สนใจจะสอนสั่งนักบวชเฒ่าเหมือนกัน
…
พอกล่าวลานักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว สวี่ชีอันก็เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าอึมครึมแล้วจ้องจงหลีเขม็งโดยไม่พูดไม่จา
ผู้หญิงคนนี้พันผ้าพันแผลบนหัวและใบหน้าเอาไว้ ท่าทางน่าสงสาร นางสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสวี่ชีอันแล้วก็เอ่ยเสียงแผ่วขึ้นมา
“ยอดฝีมือลัทธิเต๋าผู้นั้นพูดกับเจ้าว่าอย่างไรหรือ”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“อ้อ” นางก้มหน้าเล็กน้อย
แต่สวี่ชีอันไม่ปล่อยนางไป เขากล่าวอย่างโมโห “เมื่อก่อนข้าเคยเก็บเงินได้ทุกวัน เจ้ารู้หรือไม่”
“ไม่รู้ แต่ก็เข้าใจได้” จงหลีเอ่ยตอบตามตรง
“แต่เป็นเพราะเจ้า ท่านโหราจารย์ขังข้าไว้ที่เมืองหลวง แล้วปิดกั้นโชคดีบางส่วนของข้าไว้” สวี่ชีอันยังคิดว่าเป็นเพียงโชคบางส่วน โดยอ้างอิงจากการที่เขายังสามารถขจัดภัยพิบัติต่างๆ ให้จงหลีได้
“ขออภัย…”
ขอโทษแล้วมันมีประโยชน์หรือ หนึ่งวันข้าเสียไปหลายล้านเลยนะ…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างโมโห “เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า”
“ขะ ข้าไม่มีเงิน” จงหลีก้มหน้าอย่างอับอาย
“ไม่มีเงินก็มานอนกับข้า เตียงของข้าแข็งแกร่ง ไม่หักลงมาหรอก”
…
เข้าวันต่อมา สวี่ชีอันตื่นขึ้นมาด้วยความกระฉับกระเฉง พึงพอใจอย่างยิ่ง และเตียงก็ไม่พัง
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับจงหลี เมื่อคืนเขาแค่พูดเพราะโมโห แม้ว่าพฤติกรรมของท่านโหราจารย์จะทำให้เขาเจ็บปวดใจมากก็ตาม
ผู้หญิงคนนี้ทุกข์ทนมามากพอแล้ว มโนธรรมของสวี่ชีอันไม่ยอมให้เขาทำร้ายนางเพิ่มอีก
แต่เป็นเพราะจงหลีตอบรับว่าจะมอบอาวุธเวทมนตร์สองชิ้นให้เขาเป็นการชดเชย สวี่ชีอันพลันดีใจขึ้นมา เขาจึงนอนหลับอย่างเป็นสุข
หลังจากล้างหน้า เขาก็ไปที่ห้องโถงด้านหน้าเพื่อรับประทานอาหารเช้า และได้ยินเสียงร้องไห้ของเสี่ยวโต้วติงมาแต่ไกล
หลังจากก้าวข้ามธรณีประตูและเข้ามาในห้อง สวี่หลิงอินก็ถูกป้าสะใภ้กดบนเก้าอี้ แล้วใช้ไม้ปัดฝุ่นตีก้นน้อยๆ
อารองสวี่ สวี่หลิงเยวี่ย และสวี่เอ้อร์หลางกินข้าวโดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนสี ราวกับไม่ได้ยินน้องสาวและลูกสาวของพวกเขาร้องไห้ สนใจเพียงโจ๊ก ซาลาเปา และกับข้าวเท่านั้น
สวี่ชีอันร้องลั่นเมื่อเห็นความอยุติธรรม “หยุดนะ!”
อาสะใภ้เมินหลานชาย นางตีลูกสาวของตนแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าเด็กนี่
“อาสะใภ้ ท่านทำเกินไปแล้ว สวี่ชีอันคว้าไม้ปัดฝุ่นแล้วกล่าวว่า “หลิงอินยังเด็กอยู่ ท่านจะตีนางแบบนี้ไม่ได้”
“พี่ใหญ่…”
เสียงเรียก ‘พี่ใหญ่’ นี้นางตะโกนสุดหัวใจ ให้ความรู้สึกราวกับเรียกบิดาแท้ๆ
“พี่ใหญ่” สวี่หลิงเยวี่ยอธิบาย “กล้วยไม้ที่รักของท่านแม่แตกหัก เลี้ยงต่อไม่ได้แล้ว ท่านแม่สงสัยว่าเป็นฝีมือหลิงอินทำแตก”
สวี่ชีอันส่งไม้ปัดฝุ่นคืนให้อาสะใภ้แล้วตบหลังมือนาง “ต้องสั่งสอนเด็กแต่เนิ่นๆ ไม่ตีวันนี้ ครั้งหน้าก็สายไปแล้ว อาสะใภ้ตีนี่แหละดีแล้ว ท่านทำต่อเถอะ”
“ฮือออ…” สวี่หลิงอินร้องไห้อย่างเจ็บปวด
เป็นเด็กที่ไม่มีโชคดีจริงๆ อาศัยเพียงดวงแข็งล้วนๆ
…
จำนวนคนจากทั่วยุทธภพที่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความปลอดภัยในเมืองหลวงก็ลดลงเช่นกัน เพื่อจัดการปัญหานี้ เว่ยเยวียนก็คิดได้หนึ่งวิธี
เขาสั่งให้คนสร้างแท่นสูงที่ทำจากหยกขาวแข็งแรงทั้งสี่ทิศของเมืองชั้นนอก ใช้ชื่อว่า ‘สังเวียนผู้กล้า’
มันถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างจอมยุทธ์จากยุทธภพทั้งหลายผู้ชอบทำตัวประเภท ‘เจ้ามองหาอะไร’ ‘มองเจ้าไง แล้วจะทำไม’ โดยเฉพาะ ชั่วพริบตา ผู้คนจากทั่วทุกที่ที่มายังเมืองหลวงก็แห่กันไปใช้สังเวียนผู้กล้า ผู้ที่มีศัตรูอยู่ที่เมืองหลวงจะขึ้นไปบนแท่นทันทีแล้วตะโกนเรียก ‘XXX กล้ามาสู้กันบนสังเวียนหรือไม่ หากเจ้าไม่มา ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นไอ้ลูกเต่า’
หาก XXX ได้ยินก็จะมาตามคำเชิญในวันต่อมา
ไม่เพียงเป็นแท่นที่แก้ไขความขัดแย้งระหว่างจอมยุทธ์ในยุทธภพได้เท่านั้น แต่ยังไม่ต้องกังวลว่าเคราะห์จะไปตกที่คนธรรมดาอีกด้วย ทั้งยังทำให้ชาวเมืองหลวงได้ดูเรื่องสนุกครึกครื้นกันทุกวัน และเกิดการจับจ่ายซื้ออาหารในท้องถิ่นอีก…
เว่ยเยวียนยังคงเป็นคนมากความสามารถ และเป็นขุนนางที่โดดเด่นในแวดวงการเมือง สวี่ชีอันลอบพยักหน้า เขาฟังเรื่องราวระหว่างการลาดตระเวนจากอารองสวี่ต่อไป
นอกจากนี้ พวกจอมยุทธ์ที่ไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรก็จะขึ้นไปบนแท่นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ให้กันและกัน พร้อมทั้งได้ชื่อเสียงมา แต่พวกจอมยุทธ์หญิงไม่สนใจขึ้นไปแสดงฝีมือบนแท่น พวกนางกระตือรือร้นที่จะพูดคุยกับพวกจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพและเข้าออกงานเลี้ยงต่างๆ มากกว่า
ทั้งยังกระตือรือร้นที่จะหาโอกาสเข้าหาบุคคลสำคัญในเมืองหลวง กระตือรือร้นที่จะไปคบค้ากับบัณฑิตมีศักยภาพในเมืองหลวง
จะเห็นได้จากตรงนี้เลยว่า ตั้งแต่โบราณมา สิ่งที่ผู้ชายและผู้หญิงแสวงหานั้นแตกต่างกันอย่างมาก
บุรุษไล่ตามชื่อเสียง สตรีไล่ตามความสำเร็จ
เนื่องจากมีคนนอกที่ชอบล่อลวงมากปัญหาอยู่มากมาย อารองสวี่จึงกำชับเอ้อร์หลางว่าหากไม่มีเรื่องใดอย่าออกไปข้างนอก อย่าให้จอมยุทธ์หญิงหยาบกระด้างเหล่านั้นล่อลวงร่างกายได้
เอ้อร์หลางรออยู่ที่บ้านอย่างเชื่อฟัง ส่วนพวกปีศาจสาวคนงามก็มอบให้บิดาจัดการเถอะ… สวี่ชีอันจับใจความสำคัญของอารองได้
“ท่านอา ตอนนี้จอมยุทธ์ที่มายังเมืองหลวงมีคนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือบ้างหรือไม่”
พอสวี่ชีอันพูดจบ เขาก็เห็นสีหน้าของน้องสาวและอาสะใภ้แปลกๆ จึงเอ่ยเสริมทันที “ข้าถามเพื่อป้องกันปัญหาต่างหาก”
อาสะใภ้และน้องสาวมองไปที่อารองอีกครั้ง อารองสวี่ขมวดคิ้วมุ่นแล้วกล่าวบ่น “เจ้ามันเด็กน้อย คำถามเช่นนี้ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าเป็นคนสนใจเรื่องเช่นนี้หรือ”
สวี่ซินเหนียนมองดูบิดาและพี่ใหญ่เล่นละครกัน ตนก็แค่นเสียง ‘เฮอะ’ ออกมา
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ลุงหลานสองคนก็ออกจากบ้านไปแล้วจูงพาหนะของตนมา อารองสวี่ลูบตัวแม่ม้าน้อยแล้วเอ่ยทอดถอนใจ “หลังจากติดตามเจ้า มันก็เหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นแล้วนะ”
“ได้รับการหล่อเลี้ยงไงล่ะ” สวี่ชีอันตอบกลับ
“หืม?” อารองสงสัย
“อาหารที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลดีมากขอรับ ได้กินอย่างอุดมสมบูรณ์ ทั้งข้าวสามี ถั่วเหลือง ไข่ไก่ เกลือสินเธาว์” สวี่ชีอันอธิบาย
อารองสวี่ได้ฟังดังนั้นก็อิจฉาอย่างมากทันที เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นเราเปลี่ยนกัน เจ้าเอาม้าตัวนี้ของข้าไปลิ้มรสอาหารที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลบ้างสิ”
สวี่ชีอันโบกไม้โบกมือ “ข้าไม่เปลี่ยนม้า”
“อารอง เรามาพูดเรื่องจอมยุทธ์หญิงกันเถอะ” สวี่ชีอันสนใจเรื่องจอมยุทธ์หญิงจากยุทธภพเป็นพิเศษ อาจจะเพราะปัญหาสลับซับซ้อนของยุทธภพในชาติก่อน
พูดถึงเรื่องนี้ อารองสวี่ก็ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ “ว่ากันว่าตอนนี้ในเมืองหลวงมีจอมยุทธ์หญิงงามนับไม่ถ้วน แต่ที่โดดเด่นนั้นมีอยู่สี่คน คนหนึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าสำนักดาบแห่งหลูหยา ผู้คนตั้งนามให้นางว่า ‘กระบี่ผีเสื้อ’ ไม่เพียงมีพลังฝึกตนสูงมาก แต่ยังงดงามแข็งแกร่งอีกด้วย
“คนต่อมาก็คือหรงหรงแห่งหอหมื่นบุปผา มีชื่อเล่นว่าหัตถ์รื่นรมย์ ได้ยินจากเพื่อนร่วมงานว่านางเป็นจิ้งจอกจอมยั่วยวน ไม่มีชายคนใดต้านทานเสน่ห์ของนางได้”
หัตถ์รื่นรมย์?!
เป็นมือรื่นรมย์ในความหมายที่ข้าเข้าใจใช่หรือไม่ ที่หมายความว่าจุดจุดจุดน่ะ
“แล้วยังมีโจรสาวพันหน้าคนหนึ่ง หน้าตาเป็นเช่นไรไม่รู้ แต่ว่ากันว่าเก่งกาจเรื่องการปลอมแปลงโฉม ทุกครั้งล้วนปรากฏตัวด้วยใบหน้าสวยสดงดงาม”
แต่ปกติแล้ว คนเช่นนี้ล้วนเป็นสตรีอัปลักษณ์
“คนสุดท้ายไม่พูดถึงไม่ได้ นางเป็นนักดาบหญิงผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ใช้ดาบคู่ ศิษย์แห่งสำนักดาบคู่แห่งเหลยโจว” อารองสวี่พูด
“ช่างเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้กล้าหาญมีหน้ามีตาเสียจริง หากข้าหนุ่มกว่านี้สักยี่สิบปี…แต่ข้าก็ยังเลือกอาสะใภ้ของเจ้า”
สวี่ชีอันพยักหน้า ลอบคิดว่าอารองก็ยังรักอาสะใภ้มากๆ เขาหันไปตบบ่าอารองพลางกล่าว “จอมยุทธ์หญิงพวกนั้น ก็มอบให้หลานชายอายุยี่สิบปีของท่านเถอะ”
เมื่อมาถึงที่ทำการและเข้าประชุมเสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็ไปฝึกลมหายใจที่หน้าห้องของฆ้องเงินหมิ่นซานที่สนิทกันดีประมาณครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็ตั้งใจจะพาฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาสองคนไปลาดตระเวน ไฟที่ห้องชุนเฟิงจะหมดแล้ว ยังไม่ได้จัดให้ดีเลย
“หัวหน้า เราจะไปลาดตระเวนที่ไหนกัน?”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกจอมยุทธ์หญิงชอบไปปรากฏตัวที่ใด” สวี่ชีอันถาม
“ย่อมเป็นสังเวียนผู้กล้า ทุกสังเวียนที่ตั้งอยู่เหนือใต้ออกตกครึกครื้นกันมาจนถึงตอนนี้เลยนะขอรับ ชาวบ้านเมืองชั้นในมากมายก็พากันรีบวิ่งไปรับชมกันที่เมืองชั้นนอก”
“ได้ เช่นนั้นวันนี้เราไปสังเวียนผู้กล้าที่เมืองทางใต้” สวี่ชีอันตัดสินใจ
ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากที่ทำการ เขาก็เห็นทหารรักษาพระองค์ขี่ม้าห้อตะบึงเข้ามา เขาสวมชุดเครื่องแบบในวัง เป็นทหารรักษาพระองค์ของหลินอัน
“ใต้เท้าสวี่!”
เมื่อทหารรักษาพระองค์เห็นสวี่ชีอันก็ดีใจอย่างยิ่ง รีบคุมสายบังเหียนทันให้หยุดลงทันที
“ใต้เท้าสวี่ องค์หญิงรองทรงเชิญให้ท่านเข้าวังโดยด่วน”
“มีเรื่องอะไร” สวี่ชีอันเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“องค์หญิงรองตรัสว่า เรื่องใหญ่สำคัญในชีวิตคน ความเป็นความตายของพระนางอยู่ในมือของท่านแล้ว” ทหารรักษาพระองค์กล่าวเสียงขรึม
“???”
สวี่ชีอันสั่งให้ฆ้องทองแดงไปจูงม้าพลางกล่าวว่า “ในวังเกิดเรื่องหรือ”
…………………………….