ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 281 ไต้ซือ รักษาตัวด้วย
บทที่ 281 ไต้ซือ รักษาตัวด้วย
สวี่ชีอันเดินตามภิกษุผู้เฝ้าประตูผ่านลานชั้นนอกเข้ามาในลานชั้นใน
ภิกษุหนุ่มหยุดที่ลาน จากนั้นก็ประนมมือกล่าว “ศิษย์พี่เหิงหย่วนโปรดรอตรงนี้สักครู่ อาตมาจะไปแจ้งอาจารย์อาจิ้งเฉิน”
สวี่ชีอันตอบกลับด้วยมารยาทของศาสนาพุทธ “รบกวนศิษย์น้องแล้ว”
ขณะที่มองดูภิกษุหนุ่มเข้าไปในห้อง สวี่ชีอันก็หวนนึกถึงบุคคลที่อยู่ในรายชื่อ
ครั้งนี้คณะทูตจากตะวันตกมีอยู่ทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน
นายทหารที่จุดรับรองต้องจัดเตรียมห้องในจุดพักม้าให้กับคณะทูตตามสมณศักดิ์ ภิกษุผู้มีอาวุโสสูงย่อมพักอยู่ในห้องชั้นเลิศ พวกเณรหรือภิกษุใหม่ไม่อาจพักอยู่ในห้องชุดใหญ่ๆ ได้ ส่วนหัวหน้าภิกษุผู้มีระดับสูงจะพักอยู่ในห้องเดี่ยวไม่มีหน้าต่าง
ดังนั้นทหารประจำจุดรับรองจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับตำแหน่งของบุคคลในคณะทูตด้วย
ผู้ที่มีอาวุโสสูงย่อมเป็นผู้นำของคณะทูตครั้งนี้ ‘ไต้ซือตู้เอ้อร์’ แต่พลังการฝึกตนเป็นอย่างไรนั้น นายทหารก็ไม่รู้แล้ว
ระดับรองลงมามีอยู่สองคนคือ ‘จิ้งเฉิน’ และ ‘จิ้งซือ’ ดูจากสมญานามแล้ว สองคนนี้น่าจะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน
ส่วนภิกษุรูปอื่นๆ ล้วนมือตำแหน่งเหมือนกัน
คนหนึ่งคือ ‘จิ้งเฉิน[1]’ ส่วนอีกคนคือ ‘จิ้งซือ[2]’ สมญานามของศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
พอคิดถึงตรงนี้ ภิกษุหนุ่มก็ออกมาแล้วเชิญให้สวี่ชีอันเข้าไป
เขาเดินตามภิกษุหนุ่มเข้าไปในห้องที่กำยานไม้กำลังลุกไหม้ ภิกษุผู้มีใบหน้ากลมและใบหูหนารูปหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิมองมาที่ประตูด้วยรอยยิ้ม
ภิกษุรูปนี้เก็บงำกลิ่นอาย จึงดูไม่ต่างจากคนทั่วไป
“ศิษย์พี่จิ้งเฉิน” สวี่ชีอันประนมมือ
“ศิษย์น้องเหิงหย่วน” ภิกษุวัยกลางคนกล่าวแล้วไหว้กลับ
เขารีบสั่งให้ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งยกชามาทันที เมื่อสวี่ชีอันดื่มลงไปแล้ว เขาจึงเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ผานซู่เพิ่งจะกลับวัด”
เขาต้องการจะบอกว่า ตอนนี้ภิกษุที่วัดมังกรเขียวคงได้รับข่าวเรื่องที่คณะทูตเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว…เจ้าอาวาสผานซู่ก็เพิ่งจะกลับไปที่วัดมังกรเขียว หากไม่มีเหตุผลสำคัญ คงไม่ให้ภิกษุในวัดกลับมาพูดคุยด้วย…ชั่วขณะนั้นสวี่ชีอันก็นึกถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง และรู้ว่านี่คือการหยั่งเชิงของอีกฝ่าย
ดังนั้นเขาถึงได้ร่างบทพูดมาก่อนแล้ว เขาจึงเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “อาตมาออกจากวัดมาหลายปีแล้วขอรับ”
ภิกษุจิ้งเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์น้องเหิงหย่วนหรือ?”
เสียงของเขาราวกับมีพลังวิเศษแปลกประหลาดบางอย่างที่ทำให้สวี่ชีอันรู้สึกต่อต้านการโกหกโดยสัญชาตญาณ และต้องการอธิบายจุดประสงค์ของตัวเองออกไปจนหมดเปลือก
สาวกระดับห้า?
สวี่ชีอันใจตกไปที่ตาตุ่ม
เจ้าอาวาสผานซู่แห่งวัดมังกรเขียวก็อยู่ในระดับห้าเหมือนกัน ภิกษุในระดับนี้เปรียบเสมือน ‘กฎ’ เคลื่อนที่ พวกเขาจะส่งอิทธิพลต่อคนรอบตัวทั้งแบบที่ตั้งใจและแบบที่ไม่รู้ตัว
ผู้ละทางโลกไม่มุสา ห้ามสัมผัสสีกา ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นต้น…ไม่ว่าภิกษุสาวกจะกล่าวห้ามสิ่งใด คนที่อยู่ข้างๆ ก็จะเชื่อฟังไปโดยไม่รู้ตัว
สวี่ชีอันไม่เคยเห็นการต่อสู้ของสาวก แต่ก่อนหน้านี้ตอนไปวัดมังกรเขียวเพื่อทำคดีซังผอ ก็เคยอ่านข้อมูลของยอดฝีมือศาสนาพุทธมาก่อน
พลังการต่อสู้ของสาวกมาจาก ‘ศีล’ คล้ายกับวาจาบัญญัติกฎของลัทธิขงจื๊อ แต่ไม่ได้อันธพาลไปทั่วอย่างลัทธิขงจื๊อ
คำอธิบายยอดนิยมที่ว่า ‘ขงจื๊อเปล่งเพียงหนึ่งวาจาก็กลายเป็นจริง แม้ว่าผลที่ตามมาจะใหญ่มากก็ตาม’
แต่สาวกของศาสนาพุทธมีข้อจำกัด ไม่อาจเปล่งวาจาได้ตามใจชอบ ทำได้เพียงพูดคำเดียวว่า ‘สวี่ชีอัน เลิกบุหรี่แล้วจะได้พิชิตเขาเซียน’
จากนั้น นอกจากปากของสวี่ชีอันจะมีแห้งผากแล้ว แต่โดยพื้นฐานก็จะไม่มีผลสืบเนื่องใด
ส่วนการเปล่งวาจาของลัทธิขงจื๊อคือการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ แต่สาวกทำให้ผู้คนเชื่อฟังในกฎเกณฑ์ แก่นแท้ของทั้งสองอย่างตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
สวี่ชีอันประนมมือเอ่ยนามพระพุทธเจ้า “ศิษย์พี่และทุกท่านมาถึงเมืองหลวง ก็เพื่อผนึกสิ่งที่หลุดออกมาจากซังผอใช่หรือไม่ขอรับ”
คำพูดนี้ราวกับก้อนหินที่โยนลงไปในทะเลสาบ
จิ้งเฉินหรี่ตา ใบหน้าของเขายังคงสงบ แต่กลับยิ้ม “ศิษย์พี่ผานซู่กล่าวว่าอะไรหรือ”
ก่อนที่ภิกษุผานซู่จะกลับวัดมังกรเขียว อาจารย์อาตู้เอ้อร์ได้เน้นย้ำและเอ่ยเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องของสิ่งที่ถูกผนึกออกไปข้างนอก ซึ่งรวมถึงพวกภิกษุในวัดมังกรเขียวด้วย
ไต้ซือจิ้งเฉินจึงวางอุบายเอ่ยถามสวี่ชีอันเช่นนี้
สวี่ชีอันส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “ท่านอาจารย์มิได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่ความจริงคืออาตมาก็เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีซังผอด้วย…”
ในดวงตาที่อบอุ่นและสงบนิ่งของจิ้งเฉินคล้ายจะมีแสงสีทองส่องวาบ
“อาตมามีศิษย์น้องผู้หนึ่ง สมญานามเหิงฮุ่ย พวกเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น หนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ จู่ๆ เหิงฮุ่ยก็หายตัวไป ทั้งยังนำอาวุธเวทมนตร์ปกปิดกลิ่นอายของวัดไปชิ้นหนึ่ง อาตมาตรวจสอบทั่วทุกที่ จึงพบว่าเขาคล้ายจะถูกพวกนายหน้านำตัวไปขาย…”
สวี่ชีอันเผยสีหน้าเศร้าโศกราวกับเจ็บปวดเหลือทน ทำได้เพียงท่องนามพระพุทธเจ้าเพื่อบรรเทาอารมณ์
“อามิตตาพุทธ”
จิ้งเฉินกำลังฟังอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นศิษย์น้องเหิงหย่วนเป็นเช่นนี้เขาก็ใจหล่นตุบ
“เบื้องหลังของคดีนี้ยังมีความลับอยู่หรือ”
“ใช่ขอรับ ศิษย์น้องเหิงฮุ่ยและฆราวาสหญิงคนหนึ่งผูกสัมพันธ์รักใคร่กัน หวังจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ดังนั้นจึงขโมยอาวุธเวทมนตร์ของวัดมังกรเขียวแล้วพากันหนีไปขอรับ”
จิ้งเฉินขมวดคิ้ว ความสงสัยฉายวาบ “ในเมื่อแอบหลบหนี ก็ไม่จำเป็นต้องขโมยอาวุธเวทมนตร์ไปนี่”
สวี่เหิงหย่วนถอนหายใจกล่าว “ฆราวาสหญิงผู้นั้นคือธิดาสายตรงของอวี้อ๋องขอรับ อวี้อ๋องนั้นเป็นพระอนุชาของฝ่าบาท เป็นชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง หากไม่มีอาวุธเวทมนตร์ปกปิดกลิ่นอาย พวกเขาก็หลบหนีออกจากเมืองหลวงไม่ได้”
ไต้ซือจิ้งเฉินสูญเสียคำพูด ไม่รู้จะพูดสิ่งใดไปพักหนึ่ง
หลังจากนั้น สวี่ชีอันก็เล่าสั้นๆ ว่าชายหนุ่มและหญิงสาวสองคนที่ไร้เดียงสาต่อโลกถูกหลอกได้อย่างไร พวกเขาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างพรรคพวกอย่างไร และสิ้นชีพไปอย่างไร เขาเล่าออกไปอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
“อามิตตาพุทธ!”
ไต้ซือจิ้งเฉินประนมมือแสดงความเห็นอกเห็นใจและสวดพระนามพระพุทธเจ้า
หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที เขาก็พูดว่า “แล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับคดีซังผออย่างไรหรือ”
ถามได้ดี! สวี่ชีอันลอบยิ้มแล้วเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “คดีนี้มีการบิดเบือน ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ปรากฏให้เห็นขอรับ…เมื่อปลายปีที่แล้ว จู่ๆ วัดหย่งเจิ้นซานเหอประจำราชวงศ์ในซังผอก็ระเบิดจนพังลง สิ่งชั่วร้ายที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอหลุดออกมา จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งโกรธเกรี้ยว ออกคำสั่งให้สามสำนักสืบสวนอย่างเข้มงวด และสาเหตุที่อาตมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เพราะสิ่งชั่วร้ายชิ้นนั้นได้เข้ามาเป็นกาฝากอยู่ในร่างกายของศิษย์น้องเหิงฮุ่ยขอรับ”
“อะไรนะ?!”
ไต้ซือจิ้งเฉินพลันหน้าเปลี่ยนสี เขาเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เช่นนั้นตอนนี้สิ่งชั่วร้ายนั่นอยู่ที่ใด เหิงฮุ่ยยังไม่ตายหรือ ต้าฟ่งจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ท่านโหราจารย์ไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยรึ หรือว่า สิ่งชั่วร้ายนั่นถูกท่านโหราจารย์ผนึกได้อีกครั้งแล้ว?”
เขาถามคำถามมากมายเป็นชุด ความนิ่งเรียบอย่างภิกษุชั้นสูงหายไปไม่มีเหลือ
“ศิษย์พี่จิ้งเฉินอย่างเพิ่งร้อนใจ อาตมาจะค่อยๆ เล่า…“
สวี่ชีอันเล่าถึงคดีซังผอและคดีท่านหญิงผิงหยางออกมาแบบคร่าวๆ และพูดถึงจุดเชื่อมระหว่างคดีทั้งสอง และความลับที่พัวพันอยู่เบื้องหลังให้ภิกษุจิ้งเฉินฟังอย่างละเอียด
ภิกษุจิ้งเฉินเงียบไปนาน คล้ายจะถูกคดีที่สลับซับซ้อนพันพัวจนทำให้ตื่นตกใจ
เบื้องหลังเหล่านี้ แม้แต่เจ้าอาวาสผานซู่ก็ยังไม่รู้ เขาเป็นเพียงแค่คนที่มามาจากตะวันตกที่ได้รับข่าวว่าของของศาสนาพุทธที่ถูกผนึกใต้ซังผอหลุดออกมาเท่านั้น
‘อาจารย์เข้าวังเพื่อไปทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ไม่คิดมาก่อนว่าข้าที่อยู่เฝ้าจุดพักเปลี่ยนม้ากลับรู้ทุกอย่างเป็นคนแรก’ ภิกษุจิ้งเฉินถอนหายใจและกล่าวว่า
“คดีนี้พลิกผันและแปลกประหลาดจริงๆ คนที่สามารถไขคดีได้ก็ยิ่งเก่งกาจ ศิษย์น้องเหิงหย่วนรู้รายละเอียดเรื่องนี้ได้อย่างไรหรือ?”
สวี่ชีอันรู้อยู่แล้วว่านี่คือข้อสงสัยที่ภิกษุจิ้งเฉินจะเอ่ยถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แต่บังคับตัวเองให้ต่อต้านสัญชาตญาณที่จะ ‘ไม่โกหก’ แล้วตอบกลับ
“แม้ว่าคดีนี้จะให้สามสำนักเป็นผู้สืบสวน แต่ผู้ที่สืบคดีซังผอและคดีท่านหญิงผิงหยางออกมาได้จริงๆ ก็คือฆ้องเงินจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันขอรับ อาตมาและใต้เท้าสวี่มีไมตรีต่อกัน และตัวอาตมาก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพราะศิษย์น้องเหิงฮุ่ย จึงรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนขอรับ”
‘ฆ้องเงินสวี่ชีอัน’ ภิกษุจิ้งเฉินจดจำชื่อนี้ไว้แล้วถามอย่างรีบร้อน “ฆ้องเงินแซ่สวี่เป็นคนเช่นไร ศิษย์น้องเหิงหย่วน โปรดกล่าวให้ละเอียด”
“เฮ้อ!”
สวี่เหิงหย่วนไม่พูดอะไร เพียงแต่ถอนหายใจยาวเหยียด
“ศิษย์พี่ เรื่องนี้น่ะ…อาตมาคิดถึงเรื่องนี้ทีไร ก็ได้แต่ทอดถอนใจ”
“หืม? พูดเช่นนี้มีความหมายใดหรือ”
สวี่เหิงหย่วนเอ่ยช้าๆ “ศิษย์พี่อาจยังไม่รู้ สวี่ชีอันผู้นี้เป็นคนที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่อาตมาเคยเห็นมาในชีวิตนี้ ในด้านการฝึกตนเขาก็มีพรสวรรค์ยิ่ง ทั่วทั้งต้าฟ่ง คนที่จะนำมาเปรียบเทียบกับเขาได้ หายากนัก
“ในด้านงานราชการ เขาก็ยืนหยัดไม่ยอมหาเศษหาเลยจากชาวบ้านแม้แต่นิด และยึดถือความรับผิดชอบต่อประเทศชาติเป็นสำคัญ ส่วนการสืบคดี ยอดฝีมือในต้าฟ่งมีมากมายราวกับก้อนเมฆ แต่เทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งนิ้วของเขา ในด้านบทกวี เขาถูกเรียกว่าเป็นยอดกวีในรอบสองร้อยปีของต้าฟ่ง ว่ากันว่าเหล่านางคณิกาในสำนักสังคีตล้วนชื่นชอบเขาจนแทบจะตายแทนได้ เขากลับละเลยไม่สนใจ”
ภิกษุจิ้งเฉินตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าในเมืองหลวงจะมีคนเช่นนี้อยู่
“บนโลกนี้มีคนเช่นนี้อยู่ แต่ไม่ได้เร่วมศาสนาพุทธ ช่างน่าเสียดายนัก” ประกายแสงคมปลาบวาบขึ้นในแววตาของภิกษุจิ้งเฉิน
แย่แล้ว คุยโวเสียยกใหญ่ เจ้านี่คงคิดอยากจะชิงตัวข้าเข้า ‘มิติ’ ล่ะสิ แล้วข้าจะต้องการแท่งเหล็กไปเพื่ออะไร
สวี่ชีอันร้องเตือนในใจ เขาเปลี่ยนเรื่องด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี ประเด็นที่แท้จริงของวันนี้จะเผยออกมาแล้ว “ที่มาหาศิษย์พี่ครั้งนี้ก็เพราะใคร่รู้ว่าสิ่งชั่วร้ายใต้ทะเลสาบซังผอมันคืออะไรกันแน่ อาตมารู้เพียงแค่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงถูกผนึกไว้ใต้ซังผอ”
“เอ่อ…” ภิกษุจิ้งเฉินเผยสีหน้ายุ่งยาก
“ศิษย์พี่มีคำพูดใดที่เก็บเอาไว้หรือขอรับ” สวี่เหิงหย่วนเอ่ยถาม
“เรื่องนี้เป็นความลับของศาสนาพุทธ ศิษย์น้องอย่าได้ถามเลยจะดีกว่า” จิ้งเฉินกล่าว
“อ่า!”
สวี่เหิงหย่วนยิ้มเย็น “อาตมาเข้าใจแล้ว อาตมาเห็นสำนักทางตะวันตกเป็นคนกันเอง แต่คิดไม่ถึงว่าในสายตาของศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักนี้จะมองอาตมาเป็นคนนอก ช่างเถิดๆ อาตมาคิดเข้าข้างตัวเองแล้ว อาตมาจะไปทันที ศาสนาพุทธทางตะวันตกก็คือศาสนาพุทธทางตะวันตก วัดมังกรเขียวก็คือวัดมังกรเขียว ล้วนแตกต่าง”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป
“หยุดก่อน!”
จิ้งเฉินหยุดพูด ใบหน้าบูดบึ้ง “เจ้ากับข้าเป็นศิษย์ศาสนาพุทธ ล้วนแต่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ต่างก็เป็นคนกันเอง สิ่งที่ศิษย์น้องเพิ่งกล่าวมานั้นช่างบาดจิตใจจริงๆ ต่อไปอย่าได้พูดอีกนะ”
น่าสนใจ…สวี่เหิงหย่วนมองเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แล้วแค่นเสียงเย็น
คราวนี้เขาใช้สิงโตคำรามสำนักพุทธด้วย เสียงฮึที่แค่นออกมาจึงดังก้องอยู่ในห้อง
‘จอมยุทธ์ภิกษุอารมณ์รุนแรงเช่นนี้ตลอด…’ จิ้งเฉินถอนหายใจแล้วเอ่ยเรียก “ศิษย์น้องนั่งก่อน อาตมาจะบอกเรื่องที่รู้ให้ฟัง”
วัดมังกรเขียวคือคบเพลิงจากสำนักพุทธทางตะวันตกที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวในต้าฟ่ง หากสำนักพุทธทางตะวันตกอยากจะเผยแพร่มายังภาคกลาง วัดมังกรเขียวก็คือกำลังที่ไม่อาจแทนที่ได้
มีเบื้องหลังเช่นนี้ สำนักพุทธทางตะวันตกจึงให้ความสำคัญกับ ‘คนกันเอง’ ในวัดมังกรเขียวอย่างยิ่ง จึงต้องกำจัดและหลีกเลี่ยงความบาดหมางร้าวฉานใดๆ ก็ตาม
“สิ่งชั่วร้ายนั่นเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธของเรา จากที่ได้ยินอาจารย์อาตู้เอ้อร์กล่าว นั่นคือผู้ทรยศของศาสนาพุทธ”
“ผู้ทรยศของศาสนาพุทธ?”
อย่างที่ข้าคาดไว้ ไต้ซือเสินซูเป็นสมาชิกของศาสนาพุทธจริงๆ แต่เขากลับถูกศาสนาพุทธผนึกเองกับมือ แบบนี้ถ้าไม่ใช่คนทรยศแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
“ผู้ทรยศคนใดหรือ” สวี่เหิงหย่วนถาม
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้แล้ว” ภิกษุจิ้งเฉินส่ายหน้า “ไม่เช่นนั้นจะเป็นความลับของศาสนาพุทธได้อย่างไร เรื่องภายในนั้น แม้แต่อาตมาก็ไม่รู้หรอก”
ข้าล่ะอยากใช้วิชามองปราณดูเสียจริงว่าเจ้าโกหกหรือไม่…เสินซู สมญานามของคนทรยศผู้นั้นคือเสินซู…สวี่เหิงหย่วนถามอีกครั้ง
“แล้วเหตุใดต้องผนึก แต่ไม่ได้สังหารเขาเล่าขอรับ”
แม้ว่าศาสนาพุทธจะมีความเห็นอกเห็นใจ แต่สำหรับคนทรยศแล้ว คงไม่ถึงขนาดใจอ่อนใจยวบหรอกกระมัง
“หลังจากที่เจ้าอาวาสผานซู่ส่งข่าวไปยังทางตะวันตก อรหันต์และโพธิสัตว์ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จึงแจ้งแก่กันและกันอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า สภาพการณ์ที่เคร่งเครียดเช่นนี้ นอกจากจะเป็นเพราะศึกที่ด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก” ภิกษุจิ้งเฉินเอ่ยพึมพำ
“ระหว่างทางมาตะวันออก ข้าเคยได้ยินอาจารย์อาตู้เอ้อร์กล่าวว่า ภิกษุมารรูปนั้นฆ่าไม่ตาย”
ฆ่าไม่ตาย?!
ข้อมูลที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้มีมากเกินไป ทำให้สวี่ชีอันต้องหยุดถามต่อแล้วครุ่นคิดอย่างละเอียด
ก็หมายความว่า ที่ไต้ซือเสินซูถูกผนึกไว้ใต้ซังผอไม่ใช่เพราะศาสนาพุทธใจอ่อน แต่เป็นเพราะฆ่าเขาไม่ได้
ไต้ซือเสินซูเคยกล่าวไว้ว่า เขาโชคดีได้ก้าวสู่ ‘อมตะ’ ระดับขั้นที่สูงที่สุดแล้ว
แต่อย่าลืมว่า ศาสนาพุทธนั้นมีตัวตนที่อยู่เหนือระดับขั้นอย่างพระพุทธเจ้าอยู่ ทว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังฆ่าไต้ซือเสินซูไม่ได้เลยหรือ!
สวรรค์ ไต้ซือเสินซูน่ากลัวยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีก ที่แท้เขาเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหนกันแน่…สวี่ชีอันพึมพำในใจ
โหราจารย์เฒ่าหมัดเดียวหรือ?
“ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็ฆ่าไม่ตายนั่นเอง มิน่าถึงต้องแยกร่างเพื่อผนึก” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
“แต่เหตุใดถึงได้เลือกซังผอเล่า” เขาถามอีกครั้ง
คนทรยศที่น่ากลัวเช่นนี้ ถึงขั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นดั่งหอกข้างแคร่ การเลือกผนึกไว้ในเขตแดนพันธมิตรต้าฟ่งจะต้องมีเหตุผลที่เลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน
มิฉะนั้น ให้ผนึกไว้ใกล้ตัวจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ
“คำถามนี้ อาตมาก็อยากรู้เช่นกัน ระหว่างทางก็เคยถามอาจารย์อาตู้เอ้อร์ด้วย อาจารย์อาบอกว่า นี่เกิดจากข้อตกลงกับจักรพรรดิอู่จงแห่งต้าฟ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน” จิ้งเฉินกล่าว
สัญญาเมื่อห้าร้อยปีก่อน…ในปีนั้น ศาสนาพุทธไปทั่วต้าฟ่ง วัดพุทธผุดขึ้นมาราวกับหน่อไม้หลังฝน เบื้องหลังจะต้องมีเรื่องที่ซ่อนอยู่อย่างที่คิด…แต่ข้อมูลส่วนใหญ่เมื่อห้าร้อยปีก่อนล้วนถูกทำลาย ปรับปรุง และเก็บเป็นความลับแล้ว
ตรวจสอบไม่ได้เลย
หลังจากคุยกันอีกสองสามคำ สวี่ชีอันก็แน่ใจแล้วว่าหาข้อมูลอื่นไม่ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นและเอ่ยลา
ภิกษุจิ้งเฉินส่งเขาจากไปด้วยตนเอง เพิ่งจะออกมาจากห้อง ก็เห็นภิกษุหน้าตาหล่อเหลากำลังเดินมาจากทางเดิน
“ศิษย์พี่!” ภิกษุรูปงามประนมมือ
จิ้งเฉินประนมมือกลับพร้อมเอ่ยแนะนำ “ผู้นี้คือศิษย์น้องเหิงหย่วนจากวัดมังกรเขียว เจ้าต้องเรียกเขาว่าศิษย์พี่”
จากนั้นก็แนะนำให้สวี่เหิงหย่วนรู้จัก “นี่คือศิษย์น้องจิ้งซือ”
‘จิ้งซือ’ แต่ยังหนุ่มแน่นขนาดนี้เลยหรือ สวี่เหิงหย่วนคิดไม่ถึงนิดหน่อย
“ศิษย์พี่เหิงหย่วน” ภิกษุรูปงามประนมมือให้
สวี่ชีอันตอบกลับ จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับจิ้งเฉิน “ศิษย์พี่ไม่ต้องส่งแล้วล่ะ”
เมื่อมองส่งสวี่ชีอันจากไปแล้ว จิ้งซือก็ยังคงมองอยู่นานไม่ถอนสายตากลับ
“มีอะไรหรือศิษย์น้อง” จิ้งเฉินถาม
“ไม่รู้เหตุใดถึงรู้สึกว่าเขามีพลังที่ชวนให้คนสนิทสนมได้” จิ้งซือกล่าว
…
สวี่ชีอันออกจากจุดพักเปลี่ยนม้าแล้วเดินไปถามถนน
แม้จะยังไม่รู้ตัวตนของไต้ซือเสินซู แต่อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่า หนึ่ง เขาคือผู้ทรยศของศาสนาพุทธ หลักฐานเป็นที่แน่ชัด สอง ระดับฝึกตนของเขาสูงยิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้ สูงจนถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าก็ฆ่าไม่ได้ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าพระพุทธเจ้าเคยลงมือหรือไม่ก็ตาม…ข้าตั้งสมมติฐานอย่างนี้ก่อนแล้วกัน
ส่วนอย่างที่สาม ข้าแค่ช่วยเขาตรวจสอบตัวตนเท่านั้น เรื่องการตามหาความทรงจำและบุญคุณความแค้นของเขากับศาสนาพุทธนั้นไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว นอกจากว่าข้าจะกลายเป็นเทพยุทธ์ แต่นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
สี่ ข้าต้องกอดข้าใหญ่ๆ เอาไว้อย่างแน่นอน แล้วก็ต้องหาผลประโยชน์อย่างบ้าคลั่ง
ห้า ข้าจะบอกใครเรื่องการมีอยู่ของไต้ซือเสินซูไม่ได้ เว่ยเยวียนก็ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป
หก อาศัยตอนที่ฟ้ายังสว่างอยู่ไปฟังดนตรีที่หอคณิกาดีกว่า
ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็มองเห็นเงาร่างแสนคุ้นเคยปรากฏตัวอยู่ในกลุ่มคนด้านหน้า
นั่นคือภิกษุผู้มีรูปร่างแข็งแรงกำยำ คางมีรอยหนวดเขียวครึ้มราวกับเพิ่งโกนมา
ชุดภิกษุเก่าซอมซ่อของเขาอยู่บนร่าง เหมือนว่าจะพอดีตัวแล้ว มันปิดซ่อนกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านในเอาไว้
ซวยแล้ว เหิงหย่วน!
หัวใจของสวี่ชีอันกระเด้งกระดอนขึ้นมาโดยพลัน
ไต้ซือเหิงหย่วนก็เห็นเขาแล้ว ขณะที่กำลังดีใจอยู่นั้น เขาก็ประหลาดใจกับการแต่งกายของสวี่ชีอันด้วยเช่นกัน
“ใต้เท้าสวี่ เหตุใดแต่งตัวเช่นนี้ล่ะ”
“เพื่อการแสดง…” สวี่ชีอันใบหน้าจริงจัง
“?”
“ไต้ซือกำลังจะไปที่จุดพักม้าซานหยางใช่หรือไม่”
“ก็อยู่สำนักเดียวกันนี่นา อาตมาก็ควรไปเยี่ยมเยียนเขาสิ”
“มะ…ไม่ต้องไปเยี่ยมได้หรือไม่” สวี่ชีอันควบคุมมุมปากไม่ให้กระตุก
“ทำไมหรือ” เหิงหย่วนแสดงท่าทีไม่เข้าใจ
เพราะเจ้าอาจจะโดนทุบตีอย่างไรเล่า…สวี่ชีอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
เหิงหย่วนเหลือบมองเขา จากนั้นก็พยักหน้า “อาตมาเพิ่งกลับมาหลังจากกินอาหารที่จวนสกุลสวี่พอดี”
หือ? เจ้าไปทำอะไรที่บ้านข้า…อ้อ เพื่อแสดงความยินดีที่เอ้อร์หลางสอบได้ฮุ่ยหยวน? แล้วเอ้อร์หลางไม่ได้ไล่เจ้าออกมาหรือ
จู่ๆ สวี่ชีอันก็รู้สึกอ่อนล้าอย่างรุนแรง รู้สึกว่าตนขุดหลุมฝังเจ้าน้องชายเสียแล้ว ทั้งยังขุดหลุมฝังไต้ซือเหิงหย่วนผู้ซื่อสัตย์อีก นี่มันคนชั่วชัดๆ
เขาสาบานเลยว่าต่อไปนี้จะเป็นคนดี
“ไต้ซือ…”
สวี่ชีอันหยิบตั๋วเงินมูลค่าสิบตำลึงต่อหนึ่งใบออกมาจากอกเสื้อแล้วยัดไว้ในมือของภิกษุเหิงหย่วน “นี่คือน้ำใจที่ข้าขอมอบให้สถานรับเลี้ยงเด็ก เอาไว้เลี้ยงดูคนแก่และเด็กเถอะนะ”
หากมอบให้เขาตรงๆ เหิงหย่วนไม่ยอมรับแน่ แต่เงินพวกนี้ใต้เท้าสวี่ผู้มีจิตใจงดงามมอบให้เพื่อช่วยเหลือคนแก่และเด็กๆ ไต้ซือเหิงหย่วนไม่ปฏิเสธหรอก
“อามิตตาพุทธ ใต้เท้าสวี่ช่างเป็นคนจิตใจดียิ่งนัก” เหิงหย่วนชื่นชมด้วยใจจริง
“ควรทำอยู่แล้ว ควรทำ…”
สวี่ชีอันโบกมือลา เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็อดหันหน้าไปตะโกนบอกไม่ได้ “ไต้ซือ!”
เหิงหย่วนพลันหยุดฝีเท้าแล้วหันกายมาเอ่ย “ใต้เท้าสวี่มีเรื่องใดหรือ”
“รักษาตัวด้วยล่ะ!”
…
สวี่ชีอันไปหาตรอกเงียบๆ แห่งหนึ่งแล้วเปลี่ยนกลับเป็นชุดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก่อนเดินเข้าไปในหอคณิกาอย่างคุ้นเคย
“ท่านลูกค้า ต้องการพักหรือว่ามาสังสรรค์ขอรับ” เด็กรับใช้ชุดเขียวเดินเข้ามาหา
“เรียกผู้หญิงที่สวยที่สุดของที่นี่ออกมาหน่อย มานวดบ่าให้ข้า” สวี่ชีอันเดินตรงไปชั้นสอง
ชั้นสองเป็นห้องส่วนตัวของแขกพิเศษระดับสูงสุด คนที่มีหน้ามีตาล้วนมาฟังดนตรีดูงิ้วกันที่ชั้นสองนี่เอง
อีกด้านหนึ่ง ไต้ซือเหิงหย่วนก็มาถึงยังจุดพักม้าแล้ว
ภิกษุที่เฝ้าประตูสองคนมองหน้ากัน กล่าวว่าศาสนาพุทธที่ต้าฟ่งรุ่งเรืองเช่นนี้เชียวหรือ
“ศิษย์พี่ฝึกตนอยู่ที่ใดหรือ”
ด้วยความสงสัย ภิกษุเฝ้าประตูจึงหยุดเหิงหย่วนเอาไว้
ไต้ซือเหิงหย่วนประนมมือ “อาตมาคือเหิงหย่วนจากวัดมังกรเขียว ทราบมาว่าสำนักหลักเดินทางมาถึงเมืองหลวง จึงอยากเข้าไปเยี่ยมเยียน”
พูดจบ เขาก็สัมผัสได้ว่าภิกษุทั้งสองรูปเบิกตาโพลง ราวกับเห็นผี
“มีปัญหาอะไรหรือ?” เหิงหย่วนเอ่ยด้วยความสงสัย
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไร ศิษย์พี่รออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปแจ้งให้” ภิกษุผู้เฝ้าประตูมองเขาอย่างล้ำลึกแล้วหันกายเดินเข้าไป
ไม่นาน เขาก็เดินออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แล้วเอ่ย “เชิญด้านใน”
…………………………………………
[1] แปลว่าเงินทุน
[2] แปลว่าสายตาสั้น