ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 284-2 ธรรมลักษณะของสำนักพุทธ (2)
บทที่ 284 ธรรมลักษณะของสำนักพุทธ (2)
สวี่ชีอันจูงแม่ม้าตัวน้อยและเดินไปอย่างช้าๆ พร้อมกันกับเหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่น
“พี่ฉู่ กระบี่เมื่อสักครู่นี้ใช้พลังไปกี่ส่วนหรือ” สวี่ชีอันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหน้าและตอบเลี่ยงๆ “เส้นทางที่ภิกษุน้อยรูปนั้นเดินเหมือนกับเจ้าและตรงข้ามกับเจ้า”
สวี่ชีอันเข้าใจในทันที ความหมายของฉู่หยวนเจิ่นคือภิกษุจิ้งซือเป็นเพียงระดับเพชรไร้พ่าย จุดนี้เหมือนกับสวี่ชีอันที่มีเพียงพลังแห่งดาบเท่านั้น
แต่ในทางตรงข้ามมันเป็นทั้งรุกและรับ
“เช่นนั้น พี่ฉู่คิดว่าหอกของข้าสามารถทะลวงเกราะของเขาได้หรือไม่” สวี่ชีอันถาม
“เจ้าสามารถทำได้!”
ฉู่หยวนเจิ่นมองเขาและยิ้มอีกครั้ง “แต่ก็ไม่สามารถทำได้”
สวี่ชีอันทำหน้าเคร่งขรึม “ปัญญาชนกับคนในสำนักพุทธน่ารำคาญเหมือนกันเลย”
ฉู่หยวนเจิ่นถามด้วยความประหลาดใจ “อย่างไรหรือ”
สวี่ชีอันยิ้ม “คิดเอาเองเถิด”
ฉู่หยวนเจิ่นไม่สบอารมณ์ทันที ไม่กี่วินาทีต่อมา จู่ๆ เขาก็เข้าใจ ส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะ “เล่นด้วยแบบนี้น่าเบื่อจริงๆ คนอวดฉลาดมักทำเรื่องเช่นนี้อยู่ร่ำไป”
เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วชี้แนะ “ดาบเดียวตัดฟ้าดินของเจ้าทรงพลังมาก หลังจากหลอมรวมกับเคล็ดลับของกระบี่ใจก็ยิ่งไม่มีจุดอ่อน แต่ในความคิดของข้า มันยังขาดจิตวิญญาณ”
จิตวิญญาณงั้นหรือ สวี่ชีอันปฏิเสธคำคำนี้
“สิ่งที่เจ้าใช้คือดาบเดียวตัดฟ้าดิน และเป็นเพียงดาบเดียวตัดฟ้าดิน ทว่าสิ่งที่ข้าใช้ไม่ใช่เคล็ดกระบี่ แต่เป็นจิตใจของข้า เมื่อข้าเกียจคร้าน ปราณกระบี่ก็เกียจคร้านเช่นกัน เมื่อข้าอ่อนโยน ปราณกระบี่ก็อ่อนโยนเช่นกัน แต่หากข้าโกรธขึ้นมา จิตแห่งกระบี่ของข้าก็สามารถทะลวงฟ้าดินได้” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยเสียงเข้ม
“นี่คือจิตใจ! นี่คือจิตวิญญาณ! นี่คือแก่นแท้ของทหารระดับสี่!”
สวี่ชีอันหวนนึกถึง ‘พลังมหัศจรรย์’ ของเหล่าฆ้องทองคำในที่ทำการปกครอง จึงพยักหน้ารับทันที “แต่เจ้าก็พูดเองว่า นั่นคือแก่นแท้ของทหารระดับสี่”
ข้าเป็นเพียงฆ้องเงินตัวเล็กๆ ระดับหลอมวิญญาณระดับเจ็ด
“ข้าสามารถสอนเจ้าหล่อเลี้ยงจิตใจและฝึกฝนจนถึงระดับที่สูงส่งล้ำลึก ซึ่งเทียบเท่ากับความสามารถของทหารระดับสี่ได้ แน่นอนว่าผลลัพธ์ย่อมลดลงอย่างมาก แต่เมื่อหลอมรวมกับดาบเดียวตัดฟ้าดินของเจ้า ก็เพียงพอที่จะทำลายระดับเพชรของสำนักพุทธแล้ว”
“การฝึกฝนเคล็ดวิชา ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน” สวี่ชีอันกล่าว
สิ่งที่เขาอยากกล่าวจริงๆ คือ ข้าสามารถฝึกทักษะของเจ้าฟรีๆ ได้งั้นหรือ
“ขั้นพื้นฐานง่ายมาก!” ฉู่หยวนเจิ่นยิ้ม “หนึ่งปีหลังจากที่ข้าเรียนเพลงกระบี่ ข้าก็ครุ่นคิดเคล็ดลับนี้ออกมาและใช้เวลาสองสามวันในการฝึกมันจนสำเร็จ เพียงแต่หากอยากฝึกฝนจนถึงระดับที่สูงส่งล้ำลึกนั้นยากยิ่ง”
“พี่ฉู่โปรดชี้แนะด้วย” สวี่ชีอันรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะบอกเคล็ดลับกับเจ้าก่อน เคล็ดลับนี้ไม่ยาก อันที่จริงก็คือการหลอมรวมจิตใจของตัวเองเข้าไปในนั้นและเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่หรือปราณดาบ เพียงแค่จิตใจธรรมดาๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความดีใจ ความโกรธ ความเศร้า ความสุขและอื่นๆ” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยอย่างใจเย็น
“นิกายมนุษย์ก็เดินบนเส้นทางนี้ นี่เทียบเท่ากับการคลำหาเคล็ดลับใหม่บนพื้นฐานของนิกายมนุษย์ของข้า”
…
ณ อารามรัตนะ
ลานด้านหลังอันเงียบสงบ ในห้องสงบใจ จักรพรรดิหยวนจิ่งกำลังเล่นหมากรุกกับราชครู จักรพรรดิเฒ่าที่พระเกศาดำเพิ่งขึ้นบีบตัวหมากพลางถอนหายใจ
“ฉู่หยวนเจิ่นก็แพ้เช่นกัน”
ตรงระหว่างคิ้วของราชครูหญิงมีสีชาดแต้มอยู่ ใบหน้าของนางงดงาม แต่นางไม่ใช่ผู้ที่ยึดติดกับเรื่องทางโลก เรือนร่างอรชรมีน้ำมีนวล ความงดงามของสาวน้อยกับเสน่ห์ของหญิงสาวผสมผสานกันอย่างลงตัว
ทั้งไร้เดียงสาและน่าหลงใหล
นางเล่นหมากรุกตามปกติ ไม่ใช้สมอง วางหมากลงกระดานดังป๊อกแป๊กป๊อกแป๊ก เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางตอบกลับทันทีว่า “ด้วยกระบี่เล่มเดียว จะตัดสินว่าแพ้หรือชนะได้อย่างไร”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็บรรลุชื่อเสียงของภิกษุน้อยและชื่อเสียงของสำนักพุทธแดนประจิม”
แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะอยู่ในพระราชวัง แต่เรื่องในเมืองหลวง โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับสมณทูตแดนประจิม ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เขาย่อมล่วงรู้เป็นอย่างดี
“ฝ่าบาทรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลหรือ” ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย วางหมากไปเรื่อยๆ ก่อนที่นางจะพบว่าตนเองกำลังจะแพ้
ดังนั้นระหว่างการสนทนา นางจึงเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของหมากทั้งสองอย่างเงียบเชียบ
“ไม่สมเหตุสมผลหรือ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งยิ้มเยาะ จากนั้นจึงถอนหายใจ “มีความไม่สมเหตุสมผล แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือไม่รู้จะทำอย่างไร ภิกษุน้อยยังเยาว์นัก ระดับการฝึกตนหรือก็น่าทึ่ง ในเมืองหลวงไม่มีคนมีฝีมือเช่นนี้ ข้าจะทำอะไรได้ จะให้ยอดฝีมือในกองทหารรักษาวังไปสู้ก็ไม่ดีนัก เป็นเช่นนี้ต่อไปจะไม่ยิ่งเสียหน้าหรือ”
ลั่วอวี้เหิงฟังออกว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งกำลังโทษฉู่หยวนเจิ่นที่ยั้งมือ ไม่เอาชนะภิกษุน้อยอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับกลายเป็นบันไดสู่การทำให้อีกฝ่ายมีชื่อเสียง
“เจ้าลาหัวโล้นนั่นไม่ได้มาดี ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ยอมกลับแดนประจิมโดยง่าย” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสต่อ
“ฝ่าบาทอยากตรัสสิ่งใดก็จงตรัสออกมาตามตรงเถิด” ลั่วอวี้เหิงกล่าว
“ไม่กี่วันก่อน ไต้ซือตู้เอ้อร์ต้องการพบท่านโหราจารย์ แต่ถูกเขาปฏิเสธ ท่านโหราจารย์อาศัยอยู่ที่หอดูดาว ไม่ถามถึงเรื่องทางโลก หากเขาไม่สนใจภิกษุชั้นสูงจากแดนประจิม…ถึงเวลานั้นอยากขอให้ราชครูลงมือด้วย”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าช้าๆ และเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของหมากทั้งสองอีกครั้ง
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่แพ้สามเกมติดต่อกันออกจากอารามรัตนะไปอย่างหดหู่ ระหว่างทางกลับพระราชวัง เขาก็สั่งขันทีใหญ่ว่า “ไปบอกให้เว่ยเยวียนหาคน ข้าไม่อยากเห็นภิกษุน้อยคนนั้นยืนอยู่บนสังเวียนอีก”
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์และอึมครึม
ขันทีใหญ่ก้มหน้าเชื่อฟัง “พ่ะย่ะค่ะ!”
…
หนานเฉิง ณ สถานรับเลี้ยงเด็ก
ลานด้านหลัง สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่กับฉู่หยวนเจิ่นและฟังเขาเล่าเคล็ดลับ ‘การหล่อเลี้ยงจิตใจ’
ไต้ซือเหิงหย่วนก็ไม่หลบเลี่ยงความสงสัยเช่นกันและนั่งแอบเรียนอยู่ข้างๆ
“ฟังดูไม่ยาก แต่จะหลอมรวม ‘จิตใจ’ เข้าไปในดาบได้อย่างไร” สวี่ชีอันถามพลางลุกขึ้นและแกว่งดาบยาวสีดำทอง
ในกระบวนการ เขาพยายามหลอมรวมจิตใจของตนเองเข้าไปในดาบตามเคล็ดลับที่ฉู่หยวนเจิ่นสอน
ทว่ากลับล้มเหลว
“เจ้าต้องทำให้อารมณ์สงบลง ไม่ดีใจ ไม่ทุกข์ใจ ไม่เศร้าโศกและไม่โกรธ…หล่อเลี้ยงจิตใจให้มั่นคง” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างจนปัญญา
“เป็นความผิดของข้าเอง หากใจของข้าสงบ ภูเขาพังทลายอยู่เบื้องหน้า สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน” สวี่ชีอันกล่าว
อย่างที่ว่าจิตใจเบิกบานเป็นอารมณ์หนึ่งโดยพื้นฐาน
ฉู่หยวนเจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “อันที่จริงมีวิธีเร่งรัดอยู่”
ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายเล็กน้อย “พี่ฉู่ เชิญกล่าว”
“เจ้ามานี่สิ” บัณฑิตจอหงวนกวักมือเรียกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
สวี่ชีอันเดินเข้าไปทันที
“เผียะ!”
ฉู่หยวนเจิ่นตบไปหนึ่งที
เวรเอ๊ย…สวี่ชีอันโกรธ “พี่ฉู่ เจ้าตั้งใจสินะ”
“เจ้าสามารถระงับความโกรธได้หรือไม่”
“ไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง” สวี่ชีอันลูบแก้มที่แสบร้อน
“นั่นแปลว่ายังไม่ชำนาญ”
ฉู่หยวนเจิ่นกระโจนเข้ามาในทันใดและเหวี่ยงฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง สวี่ชีอันพยายามต่อต้านและหลบหลีกอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ยังถูกตบปากไปสิบกว่าครั้ง
เมื่อเผชิญหน้ากับฉู่หยวนเจิ่นที่ไม่สนคำตักเตือน เขาก็โกรธจัด ในเวลานี้เอง เขาได้รับโชคเปิดจิตวิญญาณและเกิดความคิดที่อยากจะระบายออก
หึ!
ปราณดาบอันแหลมคมไร้คู่ต่อสู้ฟันออกไปและบิดเบี้ยวอากาศ
ดูเหมือนว่าฉู่หยวนเจิ่นจะไม่เต็มใจต่อกรกับคมดาบนี้ เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อหลบเลี่ยง ปราณดาบพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและค่อยๆ สลายไป
“เป็นประโยชน์จริงๆ!” สวี่ชีอันดีใจมาก
ดาบเมื่อสักครู่นี้เกินขีดจำกัดของปราณดาบปกติของเขาแล้ว หากใช้ร่วมกับดาบเดียวตัดฟ้าดิน พลังก็จะยิ่งสูงขึ้น
“เจ้าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง” ฉู่หยวนเจิ่นถอนหายใจ
สิ่งที่เขาพูดต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสามวันจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ แต่สวี่ชีอันใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น
ไม่หรอก อันที่จริงเจ้าต่างหากที่เป็นอัจฉริยะในการสอนนักเรียน…สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจ
“แต่หากข้าจะใช้ดาบนี้ทุกครั้ง ข้าก็ต้องถูกโจมตีก่อน ไม่เสียเปรียบเกินไปหรอกหรือ”
ฉู่หยวนเจิ่นตอบว่า “ดังนั้นข้าถึงกล่าวว่าขั้นพื้นฐานนั้นง่าย แต่การเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งนั้นยาก จิตใจของเจ้าในตอนนี้ต้องการแรงกระตุ้นจากภายนอก จึงไม่อาจใช้ออกมาก่อนได้”
อา ยังมีเคล็ดลับในการฝึกฝนอีกเคล็ดลับหนึ่ง…แต่ข้ายังคงเป็นชายหนุ่มที่รอความตายเมื่อฟันดาบเสร็จคนนั้น…สวี่ชีอันรู้สึกว่าเส้นทางการฝึกฝนของเขาตกอยู่ในสถานะที่ไม่อาจถอยหลังกลับได้
สิ่งที่เขาร่ำเรียนเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่วิธีการตอบโต้ศัตรูกลับยังคงซ้ำซากและสุดโต่ง
“แต่พลังที่ข้าสามารถระเบิดออกมาได้ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะมีวันที่ไม่มียอดฝีมือคนใดในใต้หล้าสามารถขวางดาบของข้าได้หรือไม่”
…
คืนนั้น สวี่ชีอันได้ยินอารองเอ่ยถึงการต่อสู้บนสังเวียนหนานเฉิงอย่างที่คิด
“ว่ากันว่านักดาบที่เก่งกาจมากคนหนึ่งลงมือ แต่ก็ยังไม่ชนะภิกษุจากแดนประจิมรูปนั้น” อารองสวี่ถอนหายใจ
“ในเมืองหลวงมียอดฝีมือตั้งมากมาย เพียงแค่ภิกษุน้อยรูปเดียวก็สู้ไม่ได้หรือ” อาสะใภ้ก้มหน้ากินข้าวพลางโต้ตอบออกมาโดยไม่คิด
“ในเมืองหลวงมียอดฝีมือมากมาย แต่หากมีข่าวรังแกเด็กกระจายออกไปคงไม่น่าฟัง ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ก็มีไม่น้อย แต่ว่ากันว่านั่นคือระดับเพชรไร้พ่ายที่มีเฉพาะในสำนักพุทธ อย่าว่าแต่ระดับเดียวกันเลย แม้ว่าจะสูงกว่าหนึ่งระดับก็ยังไม่อาจทำลายได้”
อารองสวี่กล่าวให้ภรรยาผู้ไว้ผมยาวความรู้สั้นของตัวเองฟังเป็นเกร็ดความรู้
เมื่ออาสะใภ้ฟังจบก็โกรธจนตัวสั่น “ในเมืองหลวงที่กว้างใหญ่ แม้แต่ชายหนุ่มที่โดดเด่นก็เลือกไม่ได้ เอ้อร์หลางของข้าไม่ได้ฝึกวิทยายุทธ์ มิเช่นนั้นเขาคงต่อยภิกษุน้อยรูปนั้นจนสลบไปแล้ว”
สวี่เอ้อร์หลางรีบร้อนโบกมือ “ไม่ๆๆ ท่านแม่ ข้าทำไม่ได้หรอก”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “สมณทูตแดนประจิมช่างหยิ่งผยองเสียจริง เมื่อเร็วๆ นี้ข้าไปดื่มกับเพื่อนร่วมชั้นและอภิปรายถึงเรื่องนี้ พวกเขาต่างก็ค่อนข้างไม่พอใจ ที่เป่ยเฉิงมีภิกษุรูปหนึ่งอ่านพระคัมภีร์และสอนพระธรรมทุกวัน แต่ละวันมีประชาชนนับพันคนมาฟังพระคัมภีร์ ฟังอยู่นานหนึ่งถึงสองชั่วยาม แต่ประชาชนเหล่านั้นล้วนเป็นคนยากจน เหตุใดเขาถึงต้องเสียเวลาทำด้วย
“และยังมีภิกษุน้อยที่หนานเฉิงคนนั้นอีก เขาอาศัยผิวหยาบหนังหนาและพูดจาไร้สาระ แต่ทหารในเมืองหลวงก็ไม่อาจจับเขาได้ เหล่าเพื่อนร่วมชั้นต่างก็บอกว่าทหารทำได้เพียงหยิ่งผยองภายในหน่วยหรือครอบครัว แต่ภายนอกอ่อนแอไร้ความสามารถ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้สวี่ต้าหลางและอารองสวี่ขุ่นเคืองในเวลาเดียวกัน
“นักปราชญ์เช่นพวกเจ้าก็มีเพียงปากหนึ่งปาก สักแต่พูด” สวี่ชีอันยิ้มเยาะ
“มีเหตุผล”
สวี่ผิงจื้อยกนิ้วให้หลานชาย หลังจากกดดันที่ลูกชายได้เป็นฮุ่ยหยวน ภรรยาที่ตัวขยายใหญ่ขึ้นทุกวันก็พูดว่า “เอ้อร์หลางไม่ใช่วัสดุของการฝึกวรยุทธ์ กลับกันแขนขาอันอวบอ้วนของหลิงอิน มีพลังงานเหลือเฟือและมีพรสวรรค์มากกว่าเขา”
สวี่หลิงเยวี่ยเหลือบมองน้องสาวที่หมกมุ่นอยู่กับการกินเนื้อและปิดปากหัวเราะออกมาเบาๆ “ถึงเวลานั้น นางคงกินจนครอบครัวของเราล้มละลายจริงๆ”
หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยค อารองก็ถอนหายใจ “อย่าว่าแต่นักปราชญ์เลย เพื่อนร่วมงานในกองดาบก็ไม่พอใจสักคน ภิกษุจากแดนประจิมนับวันยิ่งหยิ่งผยองเกินไป”
สำนักพุทธหยิ่งผยองมีเหตุผล เพราะเดิมทีพวกเขามาเพื่อซักไซ้เอาความน่ะสิ…สวี่ชีอันคิดในใจ
…
ตกกลางคืน
พระสงฆ์ที่สวมจีวรสีดำกลับมายังจุดพักเปลี่ยนม้า ตรงไปพบไต้ซือตู้เอ้อร์ เขาพนมมือและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านโหราจารย์ยังคงไม่มาพบท่าน”
ท่ามกลางแสงเทียนสีส้ม ใบหน้าที่มีรอยย่นของไต้ซือตู้เอ้อร์สะท้อนอยู่ในแสงเทียนครึ่งหนึ่งและซ่อนอยู่ในเงามืดครึ่งหนึ่ง
“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อน”
พระสงฆ์รูปนั้นถอยออกไป
ไต้ซือตู้เอ้อร์หลับตาอีกครั้ง ตรงกะโหลกมีแสงสีทองพุ่งขึ้นมา
แสงสีทองค่อยๆ พุ่งขึ้นไปตัดท้องฟ้ายามค่ำคืนก่อนจะหายไป หลังจากนั้นประมาณสองสามวินาที เมฆดำบนท้องฟ้ายามค่ำคืนก็พลุ่งพล่าน สายฟ้าพลันฟาดผ่าลงมา
ในกลุ่มก้อนเมฆสีดำที่ม้วนตัวอย่างบ้าคลั่ง แสงสีทองสว่างวาบขึ้น จากนั้นจึงปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวง
เมฆหมอกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทันใดนั้นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าก็โผล่ออกมา ดวงตาเบิกโพลง คิ้วสองข้างเลิกสูง
ธรรมลักษณะนี้มีขนาดใหญ่มหึมา เฉพาะเพียงใบหน้าก็ใหญ่โตเท่ากับครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง
ภายในเมืองหลวง ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทว่าผู้ฝึกตนทุกคนต่างเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและหวาดผวาขึ้นในใจพร้อมๆ กัน ราวกับเป็นสัตว์ตัวจ้อยที่ตัวสั่นสะท้านขณะที่ฟ้าร้องในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
สวี่ชีอันสะดุ้งตื่นจากการหลับใหล รีบวิ่งออกจากห้องด้วยใบหน้าซีดขาว เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและเห็นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าสีทองอร่ามจ้องเขม็งอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง
ภาพนี้เขาเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกในชีวิต ประหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาทอดพระเนตรโลกมนุษย์จากในก้อนเมฆ
‘ปัง…’
ประตูห้องปีกตะวันออกกับห้องข้างๆ เปิดออกพร้อมกัน อารองสวี่กับสวี่เอ้อร์หลางวิ่งออกมา สองพ่อลูกขาสั่นอย่างต่อเนื่องขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่…สำนักพุทธแดนประจิมจะลงมือที่เมืองหลวงหรือ” สวี่เอ้อร์หลางตัวสั่น
สวี่ผิงจื้อตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นภาพที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
“ท่านโหราจารย์ เหตุใดท่านถึงไม่กล้ามาพบอาตมา”
เวลานี้ ธรรมลักษณะเอ่ยด้วยภาษาคน น้ำเสียงกึกก้องกัมปนาทราวกับสายฟ้าฟาดผ่า ดังกังวานไปทั่วทั้งเมืองหลวง
“บัดซบ…พลังต่อสู้ระดับสูงของโลกนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ…” สวี่ชีอันขาสั่นพลางถอนหายใจ
……………………………………………