ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 299 วางแผนแทงข้างหลัง (1)
บทที่ 299 วางแผนแทงข้างหลัง (1)
ฮว๋ายชิ่งก็ต้องการพบข้าหรือ! อืม ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับสององค์หญิงก็พึงจะต้องพบ…แต่ข้าต้องไปพบฮว๋ายชิ่งหรือหลินอันก่อนกันแน่นี่สิ
สวี่ชีอันลังเลสักพักก่อนจะได้คำตอบ ‘ไปพบฮว๋ายชิ่งก่อน’
ที่เขาเลือกเช่นนี้ก็มีเหตุผล มิใช่ว่าเขาสนใจฮว๋ายชิ่งมากกว่าหลินอัน สวี่ชีอันเลือกตามสติปัญญาของทั้งสององค์หญิง
ฮว๋ายชิ่งฉลาดเกินไปไม่ถูกหลอกง่ายๆ อีกทั้งความคิดล้ำลึก ไม่พอใจก็ไม่แสดงออกมา บอกไม่ได้ว่าจะหลอกลวงเราเมื่อใด
ตรงข้ามกับหลินอันที่ค่อนข้างเรียบง่าย นางขี้งอนเอาแต่ใจ มักจะพาลหาเรื่องแต่ก็ไม่ได้ผูกพยาบาทจริงๆ หลังใส่อารมณ์เสร็จก็ปล่อยผ่านไป
“ได้ ข้าจะเข้าวังไปพร้อมเจ้า”
สวี่ชีอันให้เจ้าพนักงานไปส่งฎีกาที่หอเฮ่าชี่ ส่วนตนก็ขี่ม้าเข้าวังตามทหารรักษาพระองค์ไป
หลังจากผ่านกระบวนการที่เกี่ยวข้อง สวี่ชีอันได้ก้าวเข้าสู่สวนเต๋อซิน มองเห็นฮว๋ายชิ่งในห้องโถงสะอาดสะอ้านงดงาม นางอยู่ในชุดฝ่ายในสีขาวที่เข้ากับบุคลิก ผมสลวยใช้ปิ่นทองม้วนขึ้นอย่างเรียบง่าย เส้นผมลู่ตกเป็นเส้นๆ
เยือกเย็นราวกับเทพธิดาในภาพวาด
เส้นผมที่ลู่ตกลงทำให้นางดูมีชีวิตชีวาเล็กน้อย
“ร่างกายแข็งแรงดีหรือ” ฮว๋ายชิ่งยิ้มบางๆ
“มิได้ร้ายแรง ร่างกายของกระหม่อมแข็งแรงดุจวัว บาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้นอนพักเสียหน่อยก็ดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันเอ่ยพร้อมหัวเราะ
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าอย่างวางใจ แล้วเรียกให้เขานั่งพร้อมเอ่ย “หากชนะในพิธีต้าวฮวดครั้งนี้ ราชสำนักจะต้องตกรางวัลให้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การเป็นข้าราชการนั้นแสนง่าย แต่การได้บรรดาศักดิ์แสนยาก หากใต้เท้าสวี่ไม่ขัดสนเงินทองก็ลองเสนอความประสงค์กับเสด็จพ่อได้ อนาคตของสวี่ฉือจิ้วก็จะได้รับหลักประกัน”
ในวันหน้าผู้ใดได้แต่งงานกับฮว๋ายชิ่งก็เหมือนกับเล่าปี่ได้จูกัดเหลียงมาเป็นพวก! สวี่ชีอันปลงตกในใจ
นี่เป็นความคิดที่ล้ำเลิศจริงๆ
สละผลประโยชน์เล็กน้อยจากการปรับตัวแลกกับอนาคตของเอ้อร์หลางเพื่อปูเส้นทางของสมุหราชเลขาธิการให้เอ้อร์หลาง
“กระหม่อมได้ขอแผ่นเหล็กอักษรแดงจากฝ่าบาทไปแล้ว” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างเสียดาย
“แผ่นเหล็กอักษรแดง? ” คิ้วเรียวของฮว๋ายชิ่งขมวดเล็กน้อยพร้อมเอ่ย “เจ้าต้องการของสิ่งนี้ไปทำไม แม้ในบางครั้งมันจะได้ผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ก็อาจไร้ประโยชน์เช่นกัน”
นางหมายความว่าสิทธิ์ในการตีความสรรพสิ่งนี้ล้วนขึ้นอยู่กับจักรพรรดิ จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่รักษาสัญญาสิ่งนี้ก็ไร้ค่า…ให้พูดตรงๆ แผ่นเหล็กอักษรแดงก็เหมือนเงินเครดิตในชาติก่อนของข้า รัฐบาลมีเครดิต เงินก็มีค่า แต่หากรัฐบาลไม่มีเครดิต เงินก็คือเงินสกุลซิมบับเว…ฮว๋ายชิ่งพูดแบบนี้กับข้าได้ก็นับว่าจริงใจแล้ว
สวี่ชีอันยิ้มบางๆ “ก็อาจจะได้ผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์เช่นกันนี่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งไม่ยุ่งเกี่ยวอีกพร้อมเอ่ยต่อ “เจ้าเรียนรู้พลังระดับเพชรได้แล้วจริงหรือ”
สวี่ชีอันกางฝ่ามือออก เลือดเนื้อเกาะตัวกันเป็นทองสีน้ำมันอย่างรวดเร็ว ทั้งแขนไหลเวียนไปด้วยแสงรัศมีสีทองอ่อน
ฮว๋ายชิ่งกลับไม่ยินดีพร้อมเอ่ยเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าระดับเพชรไร้พ่ายนี้ทำให้ทหารจับจ้องตาเป็นมันกันมากเท่าไร”
สวี่ชีอันตกตะลึงในใจ ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
ฮว๋ายชิ่งจิบชาแล้วเอ่ย “ตอนนี้เจ้ามีอานุภาพเกรียงไกร ไม่มีใครรับมือกับเจ้าตรงๆ ได้ ผู้คนรอบข้างจับตามองอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ก็ต้องระวังตัวเสียหน่อย อย่าให้ใครจับพิรุธได้”
นางหยุดไปสักพักก่อนจะกล่าวเสริม “เว่ยกงใช่ว่าจะไร้เทียมทาน”
ด้วยพลังต่อสู้อันกล้าแกร่งที่ประจักษ์แก่สายตาในพิธีต้าวฮวดของข้า แม้ชาวยุทธภพในเมืองหลวงจะน้ำลายยืดน้ำลายไหลก็ไม่กล้าเพ่งความสนใจมาที่หัวข้า…ลูกพี่แห่งยุทธภพไม่มาผสมโรงความครื้นเครงในสงครามระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ ก็ย่อมไม่รู้เรื่องของพิธีต้าวฮวดเช่นกัน…ความหมายของฮว๋ายชิ่งก็ชัดเจนมากแล้ว
จะมีสักกี่คนในเมืองหลวงที่คอยจับจ้องระดับเพชรไร้พ่ายของข้ากัน
บางทีขุนนางบุ๋นอาจจะจับจ้องระดับเพชรไร้พ่ายของข้าตาเป็นมัน แม้พวกเขาจะไม่ต้องการ ทว่ามอบให้กับหน่วยกล้าตายและคนสนิทที่เลี้ยงดูในจวนได้
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ผลประโยชน์โดยตรงและผลประโยชน์ที่จำเป็น ดังนั้นขุนนางบุ๋นจึงไม่เห่อเหิมจนเกินไป
ฝ่ายขุนนางคุณูปการและฝ่ายทหารต่างหาก!
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่เตือนสติ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างนอมน้อม
หลังจากคุยสัพเพเหระอีกเล็กน้อย ฮว๋ายชิ่งก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ “บทละครพื้นบ้านที่เจ้าให้ข้าครั้งก่อน เหล่าสาวใช้ข้างกายข้าได้อ่านต่างก็กล่าวกันว่าน่าสนใจยิ่ง แม้ข้าจะไม่อ่านของแบบนั้น แต่ก็ต้านคำขอบ่อยครั้งของพวกนางไม่ไหว…แล้วเรื่องราวต่อจากนั้นเป็นอย่างไร”
“หากพระองค์ทรงต้องการ กระหม่อมจะส่งมาให้พระองค์อีกครั้งในอีกสองสามวัน” สวี่ชีอันเอ่ยพร้อมหัวเราะ
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าอย่างสำรวม “ไม่ต้องรีบร้อน ก็แค่สาวใช้หลายนางอยากอ่าน อืม พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
แบบนี้ของเจ้าเรียกไม่รีบรึ นี่มันรีบจวนปะทุแล้ว…เอาเถอะ วันนี้กลับไปก็ค่อยเรียกหาเจ้ามนุษย์เครื่องมือจงหลีให้เขียนบทความ…สวี่ชีอันตำหนิในใจ
หลังคุยสัพเพเหระไม่นาน สวี่ชีอันก็หาข้ออ้างบอกลาองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง
เขากลับไปที่ด้านนอกกำแพงพระราชวังก่อน หลังจากรอหน่วยองครักษ์ราชวัลลภแจ้งข่าวจึงเข้าวังอีกครั้งและมุ่งสู่เส้นทางของสวนเส้าอินด้านหน้า
“ใต้เท้าสวี่หยุดก่อน! ” ทหารรักษาพระองค์ยกมือสกัดเขาเอาไว้พร้อมเอ่ย
“องค์หญิงหลินอันมีรับสั่งว่าวันนี้ไม่พบแขก โปรดกลับไป”
“องค์หญิงหลินอันเชิญข้ามา เมื่อเจ้าไปแจ้งก็จะได้รู้” สวี่ชีอันเตือนเขา
ใครจะคาดคิดว่าทหารรักษาพระองค์จะแน่วแน่มาก ส่ายหน้าพร้อมเอ่ย “ใต้เท้าสวี่อย่าทำให้ข้าน้อยลำบากเลย โปรดกลับไปเถิด”
การทำร้ายทหารรักษาพระองค์ในวังมีโทษมหันต์ เจ้าหมอนี่ช่างโชคดีเสียจริง…แบบนี้หลินอันต้องโกรธเป็นแน่หากรู้ว่าข้าไปที่สวนเต๋อซินของฮว๋ายชิ่งก่อน…ระหว่างที่สวี่กินฟรีกำลังหัวหมุนก็มีแผนรับมืออยู่แล้ว พร้อมเอ่ยอย่างโกรธเคือง
“เห็นชัดๆ ว่าองค์หญิงเชิญข้ามา เจ้าไม่ไปแจ้งข้าก็หมดปัญญากับเจ้า คงได้แต่รออยู่ด้านนอก”
…
รถม้าแบบธรรมดาจอดอยู่นอกจวนสกุลหวาง สวี่ซินเหนียนเลิกม่านออก เหยียบตั่งไม้ที่คนขับรถม้าเตรียมไว้ให้ลงมา กลับหันหลังและยื่นมือไปหาน้องสาวผู้งดงาม
สวี่หลิงเยวี่ยจับมือของพี่ชายคนรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลงรถอย่างมั่นคง สองพี่น้องยื่นบัตรเชิญส่งให้คนใช้เฝ้าประตูและเข้าไปในจวนภายใต้การนำทางของอีกฝ่าย
“พี่รอง ที่หนักอกหนักใจตลอดทางมานี้เป็นเพราะตื่นเต้นใช่หรือไม่” สวี่หลิงเยวี่ยกระซิบ
“พี่รองของเจ้า ต่อให้เข้าพบจักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็ไม่ตื่นเต้นหรอก” สวี่ฉือจิ้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา สีหน้าของเขาจริงจัง คิ้วขมวดเล็กน้อย แล้วกดเสียงต่ำพูดกับน้องสาว
“เข้าไปในงานเลี้ยง ฟังให้มาก มองให้มาก พูดให้น้อย เจ้าเป็นเพียงหญิงผู้ติดตาม คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนข้า…”
ส่วนข้าอาจจะกำลังได้ไปเจอสมุหราชเลขาธิการ
อันที่จริงหากไม่พูดถึงอย่างอื่น ลำพังเพียงความกล้าและความห้าวหาญ ก็สมควรแล้วที่สวี่เอ้อร์หลางจะเป็นคนที่โดดเด่นในรุ่นเดียวกัน
จวนสกุลหวางใหญ่ยิ่งนัก สองพี่น้องเดินตามคนรับใช้อยู่นาน ทะลุระเบียงข้ามผ่านลาน ในที่สุดก็มาถึงสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง ภูเขาจำลองน้ำมรกต ขับใบไม้เขียวที่งอกเงยใหม่ให้เด่น รวมถึงดอกไม้ตูมที่รอผลิบาน ทิวทัศน์ช่างชื่นมื่นยิ่งนัก
เสียงท่องอันกังวานและเสียงหัวเราะน่ารักเจื้อยแจ้วดังมาจากในสวนดอกไม้อันกว้างขวาง
ทะลุออกจากระเบียงยาว สวี่เอ้อร์หลางและสวี่หลิงเยวี่ยก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งเรียงโต๊ะ ด้านซ้ายเป็นปัญญาชนสวมชุดปราชญ์ สิบกว่าคน แต่ละคนล้วนจิตวิญญาณฮึกเหิม ท่าทางองอาจห้าวหาญ
ด้านขวาเป็นกลุ่มหญิงสาวสวมกระโปรงแพรบางหลากสี งดงามเยาว์วัย
ในพริบตาที่พี่น้องบ้านสกุลสวี่ปรากฏตัว บรรยากาศก็หยุดนิ่งอย่างเห็นได้ชัด สายตาของหนุ่มน้อย อัจฉริยะบุรุษ เหล่าสาวน้อยวัยแรกแย้มเป็นประกายกันถ้วนหน้า
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้ว นี่ต่างจากงานชุมนุมวรรณกรรมที่เขาคาดไว้เล็กน้อย งานชุมนุมวรรณกรรมที่มีสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นคนจัดในจินตนาการของเขา บัณฑิตบรรณาการที่เข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมจะสาธยายปรัชญาของตนและเผยความรู้ความสามารถของตนต่อหน้าสมุหราชเลขาธิการอย่างประมาณตน
หากเข้าตาสมุหราชเลขาธิการก็จะมีคนค้ำจุนยามเข้าท้องพระโรงในอนาคต
นึกไม่ถึงว่าบรรยากาศของงานชุมนุมวรรณกรรมจะผ่อนคลายเช่นนี้ นอกเหนือจากสุรารสเลิศ อาหารอันโอชะ ยังมีผลไม้สดใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น…ยังมีสาวน้อยแรกแย้มมากมายเช่นนี้อีก
“คุณชายสวี่ คุณหนูสวี่ โปรดรีบเข้าที่นั่งเถิด”
หญิงสาวที่มีองค์ประกอบใบหน้างดงาม บุคลิกสง่าเรียบร้อยลุกขึ้นคารวะอย่างอ่อนช้อย
นางรูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าอันอวบอิ่มเล็กน้อยเรียบร้อยงามหยาดเยิ้ม คู่ดวงตาเป็นประกาย ยามหัวเราะทั้งสุภาพเรียบร้อยดุจกุลสตรีตระกูลชั้นสูงและดูเจ้าเล่ห์ในเวลาเดียวกัน
สวี่ซินเหนียนและสวี่หลิงเยวี่ยคารวะกลับ สวี่ซินเหนียนพินิจพิเคราะห์เล็กน้อย แล้วเดินไปที่นั่งทางด้านซ้าย และเลือกนั่งลงตรงที่ว่าง
“บัณฑิตสวี่ฮุ่ยหยวน[1] ได้ยินชื่อลือนามมานาน”
เพิ่งจะเข้าที่นั่ง เหล่าบัณฑิตบรรณาการรอบข้างก็พากันยกจอกสุราขึ้น
‘แน่นอนว่านอกจากข้าก็ไม่มีบัณฑิตคนอื่นจากสำนักอวิ๋นลู่เลย คนเหล่านี้ล้วนเป็นบัณฑิตจากราชวิทยาลัยหลวง’…สวี่ซินเหนียนตกตะลึงอยู่ในใจ รอยยิ้มบนใบหน้านิ่งสงบ แล้วยกจอกสุราตอบ
เขาพูดคุยกับบัณฑิตบรรณาการอย่างเต็มที่อยู่พักหนึ่ง ความสุภาพของคนเหล่านี้เหนือความคาดหมายเขาเล็กน้อย ไม่ปรากฏความหน้าเนื้อใจเสือหรือเรื่องที่ท้าทายอย่างโจ่งแจ้งทั้งสิ้น
‘ด้วยแผนกลยุทธ์อันชาญฉลาดของสมุหราชเลขาธิการหวาง การท้าทายอย่างโจ่งแจ้งช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลย’…สวี่ซินเหนียนพยักหน้าน้อยๆ สมกับที่เป็นสมุหราชเลขาธิการหวาง คนยังไม่มาก็ทำให้ข้ารู้สึกราวกับจะออกศึกใหญ่
อีกด้านหนึ่งสวี่หลิงเยวี่ยถูกจัดให้อยู่ข้างกายคุณหนูหวาง คุณหนูหวางยกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน “คุณหนูสวี่ ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว”
ซูหลิงเยว่เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “สิบเจ็ดปีเจ้าค่ะ”
คุณหนูหวางเอ่ยในทันที “พี่สาวอายุสิบเก้าปี เช่นนั้นเรียกเจ้าว่าน้องหลิงเยวี่ยเป็นอย่างไร”
‘นางเป็นใครกัน ท่าทางราวกับเจ้าของบ้าน’…สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้สิเจ้าคะ พี่สาว”
รอยยิ้มของคุณหนูหวางอบอุ่นยิ่งขึ้นแล้วเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าพี่ซือมู่แล้วกัน”
หลังจากได้พูดคุยกันเล็กน้อย สวี่หลิงเยวี่ยก็รู้ว่าหญิงสาวที่อ่อนโยนน่าเข้าใกล้ผู้นี้เป็นใคร นางเป็นบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน
“น้องหลิงเยวี่ยแต่งงานแล้วหรือยัง” คุณหนูหวางพลันเอ่ยถาม
สวี่หลิงเยวี่ยก้มศีรษะอย่างเหนียมอายเล็กน้อย “ยังไม่ได้แต่งเจ้าค่ะ”
กลับกันหากเป็นบุรุษถามคำถามนี้กับนาง สวี่หลิงเยวี่ยจะต้องโกรธเคืองเป็นแน่ ทว่ารอบข้างล้วนเป็นสตรี เสียงพูดก็ช่างเบา และที่สำคัญที่สุด อีกฝ่ายเป็นบุตรีของบ้านสกุลหวาง
คุณหนูหวางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “คิดว่าเหล่าพี่ชายในบ้านจะต้องหมั้นหมายกันหมดแล้ว น้องสาวก็ต้องรีบตามไปนะ”
สวี่หลิงเยวี่ยชำเลืองมองนางและเอ่ยพร้อมส่ายหน้า “พี่ชายทั้งสองก็ยังไม่ได้แต่งงานเจ้าค่ะ”
ยังไม่ได้แต่งงาน…คุณหนูหวางเอ่ยด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยม “ด้วยฝีมือความสามารถของคุณชายบ้านสกุลสวี่ทั้งสอง คิดว่าต้องมีคู่หมั้นหมายข้างกายอยู่แล้วเสียอีก”
เหล่าสาวน้อยรอบข้างเงี่ยหูฟังอย่างเงียบๆ
ไม่ว่าจะเป็นสวี่ซินเหนียนผู้รูปงามหาใดเทียบหรือสวี่ชีอันผู้อาจหาญยิ่ง โดยเฉพาะคนหลัง เพิ่งจะผ่านพิธีต้าวฮวดมา เหล่าหญิงสาวตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวงจึงคึกคัก ‘อยากรู้อยากเห็น’ ในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง
คุณหนูหวางยิ้มอย่างน่ารัก
ทว่าทุกสิ่งล้วนมีข้อยกเว้น สาวน้อยในชุดสีม่วงเอ่ยอย่างเหยียดหยาม
“บ้านสกุลสวี่ถือเป็นปลาทะยานข้ามประตูมังกร[2] สวี่ชีอันนั่นเดิมก็เป็นเพียงมือปราบจากอำเภอฉางเล่อ สวี่ผิงจื้อก็เป็นแค่หัวหน้ากองร้อยของกองดาบ ครอบครัวเช่นนี้ในอนาคตคุณหนูสวี่แต่งงานกับตระกูลพ่อค้าก็นับว่าโชคดีมากโขแล้ว ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าไปในตระกูลร่ำรวยแล้วก็ได้”
สวี่หลิงเยวี่ยนึกถึงเบื้องหลังของสาวน้อยผู้นี้ไม่ออก จึงก้มศีรษะลงด้วยท่าทางที่กล้ำกลืน
เมื่อเห็นเช่นนี้เหล่าคุณหนูที่เหลือก็เกิดไม่พอใจสาวน้อยชุดสีม่วงเล็กน้อย
คุณหนูหวางหรี่ตาพร้อมเอ่ยเสียงนุ่ม “เหยียนเอ๋อร์ พูดจาดีๆ หน่อย…น้องหลิงเยวี่ย เหยียนเอ๋อร์เป็นหลานสาวของเจ้ากรมกรมอาญา”
หลานสาวของเจ้ากรมกรมอาญา…สวี่หลิงเยวี่ยใจกระตุก จำเรื่องที่โจวลี่คุณชายของรองเจ้ากรมกรมการคลังที่สมคบคิดกับกรมอาญาใส่กุญแจพี่ใหญ่เข้าคุกกรมอาญาในตอนนั้นขึ้นมาได้
ที่แท้ก็เป็นศัตรูคู่แค้น
“คุณหนูเหยียนเอ๋อร์ช่างตรงไปตรงมา สิ่งที่กล่าวมานั้นถูกต้อง” สวี่หลิงเยวี่ยส่ายหน้า บังคับตนเองให้ข่มความน้อยใจไว้ แล้วเผยรอยยิ้มออกไป
“พี่ใหญ่ของข้าเป็นทหาร พี่รองก็ไร้ตำแหน่งขุนนาง”
สาวน้อยที่มีนามว่าเหยียนเอ๋อร์พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง หากรับประเด็นสนทนานี้ นางก็ต้องเหน็บแนมสวี่ชีอันและสวี่ซินเหนียนต่อหน้าผู้ชมในลานกว้างต่อไป คนหนึ่งก็อยู่ที่โต๊ะ อีกคนหนึ่งก็มีพลังชื่อเสียงเกรียงไกร
“เอาล่ะ ดื่มชากันเถิด” คุณหนูหวางตัดจบประเด็นสนทนา
งานชุมนุมวรรณกรรมดำเนินงานตามปกติ เหล่าบัณฑิตบรรณาการพูดคุยตั้งแต่บทกวีไปจนถึงเรื่องสำคัญระดับชาติ โต้ตอบกับเหล่าบุตรีตระกูลชั้นสูงบ้างเป็นบางครั้ง เป็นฉากที่นับว่ารื่นเริง
สวี่ซินเหนียนพบว่าตนคุยเพลินไป จึงหาข้ออ้างบอกว่าทิวทัศน์ของสวนดอกไม้งดงามและถือจอกสุราเดินไปด้านข้าง พิจารณาว่าสมุหราชเลขาธิการหวางมีแผนร้ายอะไรกันแน่
“จวนจะใกล้เวลาผลิดอกแต่กลับแห้งเหี่ยวเสียแล้วหรือ” เขาจ้องสระใบบัวที่แห้งเหี่ยวอย่างตกตะลึง
บัดนี้เสียงอันอ่อนโยนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “นี่คือบัวแดงจากชิงโจว กลางฤดูหนาวจึงจะผลิบาน เริ่มฤดูใบไม้ผลิจึงแห้งเหี่ยวโรยรา ทว่าสภาพอากาศของเมืองหลวงต่างกับชิงโจวเป็นอย่างมาก บัวแดงจึงเติบโตได้ไม่ดีนัก คุณค่าเชยชมมีไม่มาก”
เมื่อหันกลับไปมอง เป็นหญิงสาวที่มีองค์ประกอบใบหน้างดงามผู้นั้น
สวี่ซินเหนียนในตอนนี้รู้สถานะของนางแล้ว จึงเอ่ยพร้อมแสดงคารวะ “คุณหนูหวาง”
“เรียกข้าว่าซือมู่เถอะ” นางกล่าว
สวี่ซินเหนียนจึงกล่าว “คุณหนูซือมู่”
หวางซือมู่ยิ้มหวาน สายตาทอดมองเหล่าหนุ่มมากความสามารถและเหล่าหญิงงามที่ออกจากที่นั่งและต่างคนต่างชมทิวทัศน์เที่ยวชมสวน แล้วเอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม “คุณชายสวี่ เส้นทางลำเค็ญบทนั้น ซือมู่ติดไว้ในห้องเชยชมอยู่ทุกวี่วัน”
“ในเรื่องของบทกวี พี่ใหญ่ของข้ายังคงเป็นเลิศที่สุด” สวี่เอ้อร์หลางกล่าวจบก็เอ่ยอย่างสำรวม “ทว่าบทความสวรรค์บันดาลนี้ ฝีมือเลิศล้ำได้รับมาโดยบังเอิญ ข้าเองก็มีบ้างเป็นบางครา”
ใช้ของของพี่ใหญ่มาแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คน สวี่เอ้อร์หลางก็รู้สึกสบายใจ
‘คนบ้านเดียวกันมิใช่คนอื่นไกล ของของพี่ใหญ่ก็คือของของข้า’
………………………………………………….
[1] บัณฑิตฮุ่ยหยวน หมายถึง บัณฑิตบรรณาการหรือบัณฑิตก้งชื่อที่สอบได้อันดับสูงสุดของการสอบระดับเมืองหลวง
[2] ปลาทะยานข้ามประตูมังกร เป็นสำนวนจีนซึ่งหมายถึง เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือทุ่มเทเพื่อให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่มุ่งหมายไว้