ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 301 เคราะห์ร้ายอันน่ากลัว
บทที่ 301 เคราะห์ร้ายอันน่ากลัว
สหายน้อยคนหนึ่งเกิดปัญหา…เป็นหมายเลขห้าหรือผู้เยาว์คนไหนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนรู้จัก
สวี่ชีอันทำท่าสงสัยระคนจริงจัง “สหายน้อยของท่านนักบวชอยู่ที่ใดเล่า ต้องให้ข้าเรียกระดมพลคนในราชสำนักหรือไม่”
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหน้า “อยู่ที่เซียงโจว”
เซียงโจวอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงห่างออกไปประมาณสี่ร้อยลี้…ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ท่านนักบวชมีปัญหา ย่อมเป็นภาระหน้าที่ของข้า แต่ข้าต้องไปขอลาหยุดกับที่ทำการปกครองเสียก่อน ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็เป็นการเดินทางไกล”
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า “ท่านให้บ่าวในจวนไปขอลาแทนในวันพรุ่งนี้ คืนนี้เราออกเดินทางกันเถิด เวลากระชั้นชิดนัก…จริงสิ ศาสดาพยากรณ์คนนั้นเล่า หากจะตามหาคนก็ต้องใช้วิชามองปราณ”
“นางอยู่ที่สำนักโหราจารย์…” สวี่ชีอันพ่นลมและพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก “ตกลง ข้าจะไปตามหาที่บ้านเดิมของนาง”
ศาสดาพยากรณ์คนนี้ต้องเป็นสตรีแน่ๆ… หมายเลขหกเหิงหย่วนและหมายเลขสี่ฉู่หยวนเจิ่นต่างก็คาดเดาในเวลาเดียวกัน
ทั้งสามเข้าไปรอในห้องทันทีส่วนสวี่ชีอันก็จูงแม่ม้าน้อยจากสวนหลังบ้าน ก่อนจะควบขี่ไปยังสำนักโหราจารย์
แสงไฟของสำนักโหราจารย์ติดสว่างตลอดทั้งคืน สวี่ชีอันเข้าไปยังโถงชั้นที่หนึ่งแล้วเอ่ยถามเหล่าหมอยาที่กำลังศึกษาบางอย่างกันอยู่ “ศิษย์พี่ท่านใดบอกได้บ้าง ข้ามาตามหาศิษย์พี่หญิงจงหลี”
บรรยากาศแข็งค้างไปชั่วขณะ เหล่าหมอยามองสบตากัน จากนั้นก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงจงหลีอยู่ชั้นใต้ดิน ใต้เท้าโปรดรอสักครู่…”
ร่างสวมชุดขาวเดินเข้าไปข้างใน เพียงไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงคำรามดังขึ้น “ศิษย์พี่หญิงจงหลี ใต้เท้าสวี่มาหาท่าน”
พูดจบโหรท่านนั้นก็รีบวิ่งออกมาอย่างรีบร้อนราวกับมีแมลงยักษ์ไล่ตามหลัง
ภายในห้องโถง ร่างสวมชุดขาวคนอื่นๆ ต่างพากันละมือจากงานแล้ววิ่งไปที่บันได พริบตาเดียวภายในห้องโถงก็เงียบกริบ นอกจากสวี่ชีอันก็ไม่เหลือใครอีก
ผ่านไปอีกไม่กี่นาที จงหลีก็เดินออกมาจากด้านใน เส้นผมแผ่สยาย นุ่งห่มผ้าหยาบ ก้มศีรษะเล็กน้อย
แต่งกายไว้ทุกข์ถูกระเบียบตามทำนองคลองธรรม
“ข้าต้องออกไปทำธุระนอกเมืองหลวง จะกลับมาเร็วๆ นี้และต้องการกำลังของเจ้า” สวี่ชีอันพูดตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ
“อืม”
จงหลีพยักหน้ารับ เชื่อฟังอย่างที่มนุษย์เครื่องจักรควรเป็น
ทั้งสองออกจากสำนักโหราจารย์ไปด้วยกัน สวี่ชีอันขี่ม้า จงหลีเดินเท้า ทว่าความเร็วไม่ต่ำไปกว่าแม่ม้าน้อยเลย
ไม่นานก็กลับมาถึงจวนสกุลสวี่ มารวมตัวกับพรรคฟ้าดินทั้งสามคนโดยมีนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นผู้นำ
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวว่า “กลางเมืองชั้นในเหาะเหินยากนัก เราไปเมืองชั้นนอกเถิด รบกวนพี่สวี่พาเราออกไปด้วย”
หากมีเขาคนเดียว การเหาะออกจากเมืองชั้นในไม่ใช่เรื่องยาก ยอดฝีมือในเมืองจะไม่ลงมือขัดขวางหรือโจมตีด้วยเห็นแก่ฐานะของนิกายมนุษย์
แต่หากจำนวนคนมากเกินไปก็ไม่อาจหลับตาข้างหนึ่งปล่อยผ่านไปได้ มีแต่จะเพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีก
สวี่ชีอันพาทั้งสามคนออกจากจวนไป มีฆ้องเงินอย่างสวี่ชีอันนำทางไป ไม่ว่าหน่วยลาดตระเวนหรือกองดาบก็ทำแค่สอบถามตามปกติ ไม่ได้ขัดขวางอะไร
ระหว่างทางนักบวชเต๋าจินเหลียนก็มองสวี่ชีอันแล้วเอ่ยเสียงขรึม “หมายเลขห้าหายไป”
ฉู่หยวนเจิ่นหันไปมองสวี่ชีอันทันที
สวี่ชีอันมึนงง “ท่านนักบวชพูดถึงอะไร อืม เหตุใดวันนี้ท่านนักบวชถึงไม่ติดแมวเล่า”
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวเสียงเรียบ “หมายเลขห้าคือหมายเลขผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เรื่องนี้ท่านน่าจะทราบดี เรื่องที่ช่วยเหิงหย่วนในวันนั้นต้องขอบคุณมาก อืม ท่านพูดถึงแมวอะไร”
สวี่ชีอันส่งเสียง “อ้อ ไม่มีอะไร ข้าจำผิดเอง”
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้าอย่างพอใจ
สวี่ชีอันก็พยักหน้าอย่างพอใจ
ฉู่หยวนเจิ่นมองทั้งสอง ก่อนจะหันไปมองเหิงหย่วน แล้วพูดยิ้มๆ “ที่ช่วยไต้ซือเหิงหย่วนตอนคดีซังผอน่ะหรือ”
นักบวชเต๋าเหิงหย่วนประสานมือ “ตอนนั้นต้องขอบคุณใต้เท้าสวี่มาก”
เหิงหย่วนถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีซังผอจริง ตอนที่อยู่ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขาเคยบอกว่าที่สามารถรอดจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาได้ ต้องยกเป็นความดีความชอบของสวี่ชีอัน…ดูจากตอนนี้ ดูเหมือนเรื่องนี้ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่ นักบวชเต๋าจินเหลียนติดต่อสวี่ชีอันผ่านหมายเลขสาม หรือก็คือสวี่ชีอันรู้ถึงการมีอยู่ของพรรคฟ้าดินและชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
หากเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐานว่าแม้นักบวชเต๋าจินเหลียนจะมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้สวี่ซินเหนียน บัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ แต่ความจริงเขาต้องการคนทั้งสอง
ฉู่หยวนเจิ่นยิ้มโดยไม่พูดอะไร
เมื่อถึงเมืองชั้นนอก ฉู่หยวนเจิ่นก็ตบหลัง ดาบซึ่งเป็นอาวุธเวทมนตร์ของนิกายมนุษย์ก็ลอยออกมาพร้อมฝัก ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
นักบวชเต๋าจินเหลียนหยิบนกกระเรียนกระดาษจากอกแล้วโยนออกไปเบาๆ นกกระเรียนกระดาษก็กลายร่างเป็นนกยาวเจ็ดฉื่อกระพือปีกบินโฉบในพริบตา
“ท่านนักบวช ข้าไปด้วย!” สวี่ชีอันรีบพูด
เจ้าโง่นี่เลือกได้ทั้งหมด ฉู่หยวนเจิ่นเป็นตั๋วยืน ส่วนนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นตั๋วนั่ง
เหิงหย่วนกับฉู่หยวนเจิ่นเหยียบฝักดาบ เสียง ‘ฟิ้ว’ ดังขึ้นพร้อมทะยานออกไป
หลังจากสวี่ชีอันและนักบวชเต๋าจินเหลียนนั่งลงบนหลังนกกระเรียนขาวก็เพิ่งพบว่าพื้นที่ไม่พอ ไม่มีที่นั่งให้จงหลีแล้ว
“โหรสามารถเหาะได้หรือไม่” สวี่ชีอันก้มถาม ‘สตรีไว้ทุกข์’ ด้านล่าง
“ไม่ได้ ค่ายกลเคลื่อนที่พริบตาต้องเป็นขั้นสี่จึงจะใช้ได้” จงหลีส่ายหน้า
สวี่ชีอันมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดที่ต้นขาตัวเอง
“ไม่มีปัญหา!” นักบวชเต๋าจินเหลียนถอดปิ่นไม้แล้วโยนให้จงหลี
จงหลีรับปิ่นไม้ แล้วมันก็พานางทะยานขึ้นฟ้าเสียงดัง ‘ฟิ้ว’ ตามหลังดาบบินของฉู่หยวนเจิ่น
ท่านนักบวช ท่านลดทางของตัวเองแล้ว…สวี่ชีอันคิดในใจ
นกกระเรียนขาวกระพือปีกโบยบิน
…
กระบี่บิน นกกระเรียนกระดาษ และปิ่นไม้ บินสูงขึ้นช้าๆ ภาพบนพื้นดินเริ่มเลือนราง
‘ฟิ้ว’ …เมฆหมอกแหวกออกเมื่อหนึ่งกระบี่หนึ่งนกกระเรียนพุ่งเข้าไป
ท้องฟ้ายามราตรีเป็นสีฟ้าราวกับถูกชำระล้าง พระจันทร์เสี้ยวแขวนอยู่กลางผืนฟ้า ทะเลเมฆแข็งตัวอยู่ใต้ฝ่าเท้าไม่ขยับเขยื้อน
โลกพลันสงบเงียบในพริบตา
“เราเข้ามาในชั้นผิงหลิว[1]แล้ว” สวี่ชีอันส่งกระแสจิต
ลมพัดแรงเสียจนเขาลืมตาไม่ได้ พอเสียงพูดออกจากปากก็ถูกลมแรงพัดขาดทันที จึงสื่อสารได้เฉพาะกระแสจิตเท่านั้น
นักบวชเต๋าจินเหลียนก็หลับตาเช่นกัน ใช้จิตเดิมแทนดวงตา เมื่อได้ยินกระแสจิตจากสวี่ชีอันก็ถามอย่างแปลกใจ “ชั้นผิงหลิวหรือ”
“ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย ท่านนักบวช เล่าเรื่องหมายเลขห้าให้ฟังหน่อยสิ” สวี่ชีอันส่งกระแสจิตไป
“คราวก่อนการสื่อสารภายในพรรคฟ้าดินสิ้นสุดลง หมายเลขห้าก็ขาดการติดต่อไปแล้ว ตอนนั้นข้ายังสัมผัสตำแหน่งของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในเซียงโจวได้ แต่จู่ๆ วันต่อมาก็ตัดขาดกับชิ้นส่วนไปเสียอย่างนั้น” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวเสียงขรึม
“หมายเลขห้าเจอกับเต๋ามารนิกายปฐพีหรือ” สวี่ชีอันสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะคาดเดา
“อาจเป็นไปได้” นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า
‘เพราะอย่างนี้ท่านถึงมาเชิญข้า’ เหิงหย่วนกับฉู่หยวนเจิ่นคิด…
ความปรารถนาในการอยู่รอดของท่านนักบวชแข็งแกร่งยิ่งนัก สวี่ชีอันพยักหน้า พลางประเมินพลังต่อสู้ฝ่ายตน
ภายนอกคือระบบทหาร แต่ความจริงแล้วฉู่หยวนเจิ่นผู้ฝึกวิถีกระบี่แห่งนิกายมนุษย์น่าจะมีพลังต่อสู้ที่แท้จริงที่ขั้นสี่ หรือหากไม่ถึงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านี้มากนัก
ภายนอกคือระบบสำนักพุทธ แต่ความจริงแล้วคือหมายเลขหกเหิงหย่วนคนนี้ยังสรุปไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่เคยประมือด้วย เหิงหย่วนยังมีประสบการณ์การต่อสู้น้อยมากด้วย
แล้วก็นักบวชเต๋าจินเหลียน จำได้ว่าตอนนั้นเขาเคยถูกจื่อเหลียนที่อยู่ขั้นสี่ไล่ฆ่าและหนีเข้ามาในเมืองหลวง ความแข็งแกร่งของนักบวชเต๋าจินเหลียนน่าจะไม่ด้อยไปกว่าขั้นสี่
เหตุผลก็เพราะเขาไม่ถูกจื่อเหลียนทำร้ายบาดเจ็บ แต่ได้รับบาดเจ็บจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีที่เข้าสู่ทางมาร เช่นนั้นก็ยังถือว่ารอดพ้นการไล่ฆ่าจากจื่อเหลียนได้
หากเจอเข้ากับเต๋ามารนิกายปฐพี แล้วระดับต่ำกว่าขั้นสาม ฝ่ายเราคงเหมือนสุนัขแก่…สวี่ชีอันคิดในใจ
หนึ่งชั่วยามต่อมา นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ส่งกระแสจิตหาทุกคน “ถึงแล้ว ต่ำลงไปหนึ่งร้อยลี้น่าจะเป็นจุดที่หมายเลขห้าหายตัวไป ข้ายังคงเชื่อมต่อกับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไม่ได้”
ทุกคนพุ่งทะลุเมฆ ทะยานลงไปยังพื้นดิน
พื้นดินเลือนรางพลันชัดเจนขึ้น สวี่ชีอันเห็นเมืองขนาดใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออก ใจกลางเมืองนั้นยังแบ่งออกเป็นหมู่บ้านและเขตต่างๆ มากมาย
ทั้งสี่คนลงจอดในป่า นักบวชเต๋าจินเหลียนและฉู่หยวนเจิ่นเข้าฌานเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ
เหิงหย่วนยืนคุ้มกันพวกเขา ส่วนสวี่ชีอันแยกตัวไปเดินสำรวจในป่าและล่าไก่ป่าได้สองตัว กวางหนึ่งตัว
พอกลับมาถึงก็นั่งขัดสมาธิแล้วเอ่ยถาม “พวกเจ้ามีใครพกหม้อมาด้วยหรือไม่”
“ข้าเอามา”
ฉู่หยวนเจิ่นลืมตา ขณะกำลังจะลุกเดินเข้าไปในป่าใกล้ๆ เพื่อหยิบหม้อก็เปลี่ยนความคิด ในเมื่อสวี่ชีอันรู้ถึงการมีอยู่ของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนมันแล้ว
ดังนั้นจึงนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา ก่อนจะหยิบหม้อออกมา ทั้งสี่คนก่อไฟสองกองเพื่อใช้ต้มน้ำซุปและย่างเนื้อ
ไม่ว่าจะเป็นระบบใด หลังใช้พลังล้วนต้องบำรุงร่างกายเพื่อฟื้นฟู เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างพลังงานจากอากาศได้
“ข้าเอาเหล้าติดมาด้วย…”
ฉู่หยวนเจิ่นหยิบเหล้าออกมาอีกสองไห กินพร้อมเนื้อย่างและซุปเนื้อพลางอธิบาย “ตอนเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ของสองอย่างที่ต้องนำไปด้วย หนึ่งคือเครื่องมือทำอาหาร สองคือกระดาษชำระ”
สวี่ชีอันยกขวดขึ้นมาพร้อมเลิกคิ้วและพูดยิ้มๆ “ตอนนี้เพิ่มเป็นสามอย่างแล้ว ผงปรุงรสไก่”
ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าเห็นด้วยทันที
สวี่หนิงเยี่ยนสุดยอดไปเลย น่าสนใจมาก!
ฉู่หยวนเจิ่นไม่มีข้อบกพร่อง แต่ข้ารามือไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีทำให้เขาตายไปเสีย
ทั้งสองยิ้มสบตากัน
หลังจากกินอิ่ม นักบวชเต๋าจินเหลียนก็นำกิ่งไม้แห้งมามัดรวมกับเส้นผมสีขาว จากนั้นจู่ๆ ใบหน้าเขาก็แข็งค้างไป
“ศาสดาพยากรณ์คนนั้นเล่า”
ได้ยินเช่นนั้น สวี่ชีอันก็สีหน้าแข็งทื่อ เวรแล้ว จงหลีล่ะ
“ข้าจำได้ว่าตอนลงจอด นางยังอยู่ข้างๆ อยู่เลย จากนั้นก็ไม่รู้ว่าลืมนางไปได้อย่างไร…” สวี่ชีอันหน้าซีดเผือด
“น่าจะอยู่แถวนี้ ทุกคนไปตามกันด้วยกัน ต้องหาให้ดี แล้วก็รีบหาด้วย” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวเสียงขรึม
“เรื่องนี้เร่งด่วนกว่าการช่วยชีวิตหมายเลขห้า บางทีหมายเลขห้าอาจไม่เป็นอะไร แต่กับศาสดาพยากรณ์ หากช้าจะไม่ทันการณ์…”
เหิงหย่วนไม่เข้าใจระบบโหรจึงเอ่ยถาม “จะเป็นอย่างไร”
สวี่ชีอันตอบเสียงจริงจัง “จะหนาวน่าดู”
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า ไม่พูดอะไร
ทั้งสี่รีบแยกย้ายกัน หนึ่งเค่อต่อมาสวี่ชีอันก็พบตัวจงหลี ตอนที่นางลงจอดดันตกลงไปในหลุมลึก จากนั้นสตรีผู้นี้ก็ย่อตัวไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในหลุมลึกนั้น
จนกระทั่งสวี่ชีอันออกตามหาและได้ยินเสียงของเขา จงหลีจึงปีนขึ้นมา
ข้างกองไฟ จงหลีนั่งกอดเข่าหันหลังให้ทุกคน ไหล่สองข้างบอบบาง แผ่นหลังแสนอ้างว้าง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะลืมเจ้าจริงๆ หายโกรธเถอะนะ”
สวี่ชีอันขอโทษพลางอธิบาย “ข้าแค่ แค่…ไม่ทันระวังจึงหลงลืมไปน่ะ”
จงหลีนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจเขา
ฉู่หยวนเจิ่นกระดกลิ้นดัง ‘เต๊าะ’ รับชมละครตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
ไต้ซือเหิงหย่วนประสานมือและเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “บริเวณนี้ไม่มีอันตราย เหตุใดประสกจงถึงไม่ออกมาเล่า”
“ไม่มีอันตรายต่อท่านเท่านั้น” จงหลีกล่าวเสียงเบา “จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หากเจอสถานการณ์เช่นนี้ การรอความช่วยเหลืออยู่กับที่คือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด หากข้าออกมาก็จะพบอันตรายนานัปการ อาจเป็นอุกกาบาตตกลงมาจากท้องฟ้า อาจเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ นักพรตชั่วหรืออะไรก็ตาม เคราะห์ร้ายคือสิ่งที่ไม่อาจสืบรู้หรือพยากรณ์ได้ มันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เช่น…”
ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ กองไฟก็ลุกโชน เศษประกายไฟชุดหนึ่งกระเด็นใส่เส้นผมของจงหลี
“ระวัง!”
เหิงหย่วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำซุปร้อนๆ ราดรดลงใส่จงหลีโดยไม่รู้ตัว
ตอนนั้นสวี่ชีอันยืนขวางอยู่ด้านหน้าจงหลี จึงโบกพลังปราณซัดน้ำซุปออกไป
จงหลีกอดต้นขาสวี่ชีอัน ตัวสั่นงก
ฉู่หยวนเจิ่นเบิกตาค้าง
สถานการณ์พลันเงียบกริบ
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน เหิงหย่วนก็ประสานมือกล่าวอย่างเวทนา “ประสกจง แม้โลกนี้จะมีดวงประทีปนับหมื่นก็ไม่อาจส่องแสงทะลุความมืดมนรอบกายเจ้า อมิตตาพุทธ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนและฉู่หยวนเจิ่นก็ประสานมือตามแล้วกล่าวว่า “อมิตตาพุทธ”
ท่านนักบวช ท่านเป็นลูกพี่ของสำนักพุทธ เอ่ยนามพระพุทธเจ้าทำไมกัน…แม้จงหลีจะน่าสงสารมาก แต่ข้าก็อยากหัวเราะหน่อยๆ…สวี่ชีอันแอบขำในใจ
เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะจงหลีเป็นเชิงปลอบโยน
“เมื่อครู่ เมื่อครู่ตอนลงจอด ข้าพบว่าฮวงจุ้ยรอบๆ มีปัญหา มีสุสานขนาดใหญ่อยู่ใต้ภูเขาทางทิศใต้” จงหลีกล่าวเสียงเบา
…………………………………………………
[1] ชั้นผิงหลิว คือ เมฆชั้นสตรโทสเฟียร์