ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 305-2 แปลกประหลาด (2)
บทที่ 305 แปลกประหลาด (2)
‘ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว’…
ในโถงทางเดินข้างหน้า เสียงลมพัดปลิวเข้ามา สายลมที่พัดเอากลิ่นคาวเข้ามา เป่าคบเพลิงจนดับไป
เสียงสายลมนั้นราวกับเป็นการหายใจที่เข้าออกเป็นจังหวะ
ไม่สิ นี่คือเสียงลมหายใจอย่างแท้จริง
ใบหน้าของกงหยางซู่ซีดเผือด กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เบื้องหน้ามีวิญญาณชั่วร้ายอยู่ มีอะไรบางอย่างกำลังเข้ามา”
ทุกคนที่รู้สึกดีใจเพราะเพิ่งรอดจากเหตุการณ์ที่เลวร้าย หัวใจกลับค่อยๆ จมดิ่งลงไป
“รีบจุดไฟเร็วเข้า” หัวหน้าที่ป่วยออกคำสั่ง แล้วมองไปที่ลี่น่าด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เจ้า ยังสู้ไหวอยู่หรือไม่”
เฉียนโหย่วรีบวิ่งไปที่ตำแหน่งคบเพลิงอย่างลนลาน หยิบหินไฟออกมา และเริ่มจุดไฟด้วยเสียงดัง ‘ป๊อก ป๊อก ป๊อก’ มือของเขายังคงไม่หยุดสั่น ต้องตีหินไฟอย่างไรถึงจะมีเปลวไฟออกมา
เสียงลมหายใจดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นเหม็นก็ส่งกลิ่นรุนแรงขึ้นแล้ว ทว่ากลับปราศจากเสียงฝีเท้า
“เร็ว เร็วหน่อย เร็วเข้าสิ…”
เฉียนโหย่วรีบจนใกล้จะบ้าอยู่แล้ว ‘ป๊อก ป๊อก’ หินไฟค่อยๆ ปรากฏเปลวไฟขึ้นมา จุดชนวนไขสัตว์ลงบนไฟ
‘ฟู่!’
เปลวไฟลุกโชน ขจัดความมืดมิดจนหมดสิ้น
เฉียนโหย่วคว้าคบเพลิงขึ้นมา ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ แล้วโยนมันออกไปไกลๆ
คบเพลิงตกลงสู่พื้น ประกายไฟลุกโชนขึ้นมาจนแสบตา บรรยากาศสว่างเรืองขึ้นทันใด ทุกคนเห็นฉากตรงทางเดิน
ในทางเดิน สัตว์ชั่วร้ายขนาดมหึมาตัวหนึ่งคืบคลานเข้ามา ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะไล่ล่าเป็นอย่างยิ่ง
รูปร่างของสัตว์ชั่วร้ายตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวนั้นสามเท่า จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน ดวงตาสีเทาแข็งทื่อ ริมฝีปากติดกัน แต่ฟันด้านบนยื่นออกมา
ยังมีอีกหรือ?!
แสงจากคบเพลิงระเบิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในวินาทีต่อมา ทุกคนก็มองไม่เห็นมันแล้ว
หัวหน้าที่ป่วยแค่รู้สึกถึงลมพัดผ่าน เหมือนมีอะไรบางอย่างที่รวดเร็วมากเฉียดผ่านตนเองไป หลังจากนั้น เขาก็พบว่าลี่น่าหายไปแล้ว
“ลี่น่า!”
หัวหน้าที่ป่วยส่งเสียงตะโกน หันกลับไปทันที เขาและทุกคนต่างทำท่าเดียวกัน
ด้านหลัง สัตว์ประหลาดตัวนั้นได้คาบสาวน้อยซินเจียงตอนใต้ไปแล้ว ศีรษะของนางสั่นคลอน แกว่งไปมาอย่างรุนแรง
หัวหน้าที่ป่วยนัยน์ตาโกรธแค้นราวกับจะแตกสลาย พลางกล่าวคำราม “ช่วยด้วย ช่วยด้วย รีบฆ่าสัตว์ตัวนี้เสีย”
ในความมืด เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของลี่น่าดังขึ้นมา
ในเวลานี้นั่นเอง อีกด้านหนึ่งของทางเดิน มีเสียงตะโกนขึ้น “ถอยไป!”
บุรุษชุดเขียวที่ถือคบเพลิงผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากทางเดิน ยกกระบี่เข้าไปในกองไฟ เปลวเพลิงราวกับถูกชุบชีวิต ผุดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
บุรุษชุดเขียวจับกลุ่มเปลวเพลิงด้วยปลายนิ้ว แล้วยิงออกไปในทันที
เปลวเพลิงตัดทะลุเข้าไปอากาศ ครูดเป็นเส้นตรงบางๆ สว่างไสวออกมาในความมืด ทะลุเข้าแผ่นหลังของสัตว์ประหลาดตนนั้นอย่างแรง
‘ปัง!’
เลือดและเนื้อระเบิดออก จนตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้
สัตว์ร้ายโดนโจมตีจึงปล่อยเหยื่อที่อยู่ปากออกมาทันที พอได้สติก็แผดเสียงคำราม แปลงร่างเป็นภูตผี และกระโจนเข้าใส่บุรุษชุดเขียว
มีเงาคนร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากด้านหลังบุรุษชุดเขียว พุ่งเข้าหาสัตว์ชั่วร้าย ในระหว่างนั้น มีแสงสีทองออกมาจากระหว่างคิ้วของเขาเล็กน้อย ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่าง
เขาส่งเสียงคำราม พร้อมกระแทกศีรษะเข้าไป
‘เปรี้ยง!’
ดูเหมือนสัตว์ชั่วร้ายจะกระแทกเข้ากับแผ่นเหล็ก ทั้งศีรษะสั่นสะท้าน ร่างที่พุ่งไปข้างหน้าติดแหง็ก เงาร่างทองอร่ามร่างนั้นเอียงข้างและบินออกไปเหมือนเหล็กกล้า กระแทกฝังเข้าใส่กำแพง
ในช่วงเวลานี้ มีอีกร่างหนึ่งพุ่งขึ้นไปในอากาศ สบโอกาสที่สัตว์ชั่วร้ายยังเวียนหัวตาลายอยู่ กระโดดอย่างมั่นใจเข้าไปที่หัวของมัน
ในปากท่องคำว่าอมิตตาพุทธ ยกกำปั้นที่มีขนาดเท่าหม้อขึ้น
‘ปัง ปัง ปัง’…
ท่ามกลางกำปั้นที่โปรยปรายดั่งสายฝน สัตว์ชั่วร้ายจากที่ต่อสู้อย่างดุดันในตอนแรก ทั่วร่างชักกระตุก ในที่สุดก็ตายลงเพราะสมองถูกทุบตีจนหลุดออกมา
นักบวชเต๋าจินเหลียนถือคบเพลิง และเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย กล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว พวกข้าคือคนที่มาช่วยพวกเจ้าเอง”
เฉียนโหย่วอุทานอย่างตื่นเต้น “พวกเขาเป็นสหายของแม่นางลี่น่า และเป็นผู้ช่วยที่ข้าเชิญมา”
คนทั้งกลุ่มโฮ่วถู่จับจ้องมองไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียน เพียงรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีท่าทางอ่อนโยน ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก ซึ่งเข้ากันได้ดีกับทัศนคติของยอดฝีมือไร้เทียมทานที่อยู่ในใจพวกเขา
“ขอบคุณท่านนักบวชยิ่งนักที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้ ขอบคุณท่านนักบวชที่ช่วยชีวิตไว้จริงๆ”
สมาชิกกลุ่มโฮ่วถู่โห่ร้อง
นักบวชเต๋าจินเหลียนที่ถือคบเพลิงพยักหน้าเล็กน้อย สายตากวาดมองไปรอบๆ เห็นลี่น่าที่นอนจมกองเลือดอยู่ในความมืดอยู่ไกลออกไป
นักบวชเต๋าจินเหลียนเดินเข้าไปข้างหน้าเพื่อดูอาการ ร่างกายครึ่งหนึ่งของนางถูกกัดจนเป็นบาดแผลฉกรรจ์ กระทั่งสามารถมองเห็นอวัยวะภายใน ด้ายสีเงินบางๆ ทีละเส้นผุดออกมาจากเลือดเนื้อของบาดแผล พลางหยุดเลือดและซ่อมแซมบาดแผลอย่างรวดเร็ว
หากชีวิตของกู่ไม่ได้รับบาดเจ็บ คนจากเผ่าพันธุ์กู่ก็จะไม่สิ้นชีวิต
นักบวชเต๋าจินเหลียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อีกด้านหนึ่ง จงหลีคว้าข้อเท้าของสวี่ชีอันไว้แน่น เอนหลังทำมุมสี่สิบห้าองศา และดึงเขาออกมาจากในกำแพง
สวี่ชีอันผู้มีระดับเพชรไร้พ่ายเอ่ยถามเสียงสูง “ท่านนักบวช สหายตัวน้อยของท่านอาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ถึงกับชีวิต” นักบวชเต๋าจินเหลียนโบกมือไปทางจงหลีพร้อมกล่าว
“แม่นางจงหลีได้นำยารักษาบาดแผลติดมาด้วยหรือไม่”
จงหลีส่งเสียง “อื้อ” หยิบเครื่องเคลือบขวดหนึ่งออกมาจากชุดผ้าป่าน ส่งให้นักบวชเต๋าจินเหลียนอย่างเชื่อฟัง “กินครั้งละหนึ่งเม็ด อาการจะหายในสามวัน”
นักบวชเต๋าจินเหลียนดึงจุกออก ดมไปสักพัก มันคือยารักษาที่มีคุณภาพดีเยี่ยม
สำนักโหราจารย์ช่างร่ำรวยเสียจริง อาตมาไม่มีเงินพอจะเล่นแร่แปรธาตุมาหลายปีแล้ว…นักบวชเต๋าจินเหลียนคิดอย่างอิจฉา โน้มตัวและงัดปากของลี่น่า ป้อนยาให้หนึ่งเม็ด
มือสวี่ชีอันถือคบเพลิง โน้มตัวเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ จ้องมองหมายเลขห้าในตำนานอย่างพินิจ ผมของนางเป็นสีดำแกมน้ำตาล ตรงปลายลอนเล็กน้อย รูปร่างของหญิงสาวราวกับแม่เสือดาวที่แข็งแรง
ใบหน้านับว่าประณีตเลยทีเดียว ริมฝีปากบาง จมูกโด่ง ผิวสีข้าวสาลีมีสุขภาพดี รูปลักษณ์ช่างสอดคล้องกับสาวน้อยชาวซินเจียงตอนใต้ยิ่งนัก
ถือว่าดูดีเลยทีเดียว ใบหน้าดูมีมิติกว่าสตรีต้าฟ่งเล็กน้อย…นี่ถือเป็นเพื่อนผู้หญิงบนโลกออนไลน์ที่สวยมากคนหนึ่ง! สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ พึงพอใจอย่างมาก
เพื่อแน่ใจว่าหมายเลขห้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว สวี่ชีอันและผู้ติดตามชูคบเพลิงขึ้น พินิจพิเคราะห์ซากศพของสัตว์ชั่วร้าย
“นี่มันคือสัตว์ประหลาดชนิดใด”
สวี่ชีอันที่ไม่มีวัฒนธรรมใดๆ ส่งเสียงคำว่า เวรเอ๊ย ในใจ
“น่าจะเป็นรูปปั้นสัตว์ร้ายพิทักษ์สุสาน”
ฉู่หยวนเจิ่นผู้มีความรู้กว้างขวางและมีความสามารถรอบด้านกล่าวอธิบาย “ข้าเคยอ่านในบันทึกที่เกี่ยวข้อง หลังจากคนโบราณเสียชีวิต เขาจะปล่อยสัตว์ร้ายให้เข้าไปอยู่ในสุสาน เพื่อให้พวกมันทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าสุสาน
“ในตอนแรกปริมาณของสัตว์ชนิดนี้มีมากมายมหาศาล หากพวกมันต้องการมีชีวิตรอด มีเพียงแค่อาศัยการกินพวกพ้องหรือซากสัตว์เป็นอาหารเท่านั้น จนกระทั่งตายลงอย่างช้าๆ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวเสริม “การสืบพันธุ์ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น จำเป็นต้องหล่อเลี้ยงด้วยปกิณกะ กลืนกินสัตว์พิษของหลุมฝังศพและซากศพจนไม่เหลือเค้าเดิม จนแตกต่างจากบรรพบุรุษของพวกมันมานานแล้ว”
“ซากศพมีราคาใช่หรือไม่” สวี่ชีอันถาม
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายศีรษะ
“จงหลี ฝากเจ้าดูแลนางด้วย แบกให้ดีๆ ล่ะ” สวี่ชีอันมองในความเป็นจริงมากขึ้น ไม่สนใจซากศพสัตว์ชั่วร้ายอีกต่อไป ก่อนกล่าวออก
“อย่าอยู่ห่างจากข้ามากเกินไป มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถดูแลเจ้าได้”
หากอยู่ไกลเกินไป ปีกที่ซ่อนอยู่ของข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้!
นักบวชเต๋าจินเหลียนค่อนข้างไม่ไว้ใจกับแผนการเช่นนี้ ถึงอย่างไรหมายเลขห้าก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว หากให้นางติดตามศาสดาพยากรณ์จากสำนักโหราจารย์อีก มันคงจะโหดร้ายกับนางเกินไป
‘ด้วยโชคชะตาของเจ้าเด็กนี่ น่าจะ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร’…นักบวชเต๋าจินเหลียนมองไปทางกลุ่มโฮ่วถู่ที่รอดพ้นเคราะห์กรรมทันที ปลอบใจไม่กี่ประโยค จากนั้นจึงกล่าวว่า “ตามพวกข้ามา ข้าจะพาพวกเจ้าออกไป”
กล่าวเสร็จ ก็ส่งสัญญาณให้สวี่ชีอันนำทาง
กลุ่มคนถือคบเพลิงและเดินหน้าต่อไป
หัวหน้าที่ป่วยมองแผ่นหลังของเหล่ายอดฝีมือ นึกถึงการต่อสู้เมื่อครู่ บุรุษชุดเขียวที่แบกกระบี่ จะต้องเป็นหนึ่งในบุคคลหลักของ ‘การต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์’ แน่นอน
‘พระภิกษุสำนักพุทธช่างเก่งกาจเสียนี่กระไร สามารถฆ่าสัตว์ชั่วร้ายด้วยมือเปล่าได้ แม่นางลี่น่าไม่ได้บอกสถานะของเขาที่ชัดเจน ข้าก็คิดว่าเป็นเพียงผู้ช่วยคนหนึ่งเท่านั้น ใครจะคาดคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งเช่นนี้’
‘นักรบหนุ่มระดับหกท่านนั้นก็ดูธรรมดามาก…’ หัวหน้าผู้ป่วยคิดในใจ
ในความคิดของเขา นักรบกระดูกทองแดงระดับหก การต้านทานได้เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะการแสดงออกของสวี่ชีอันเมื่อครู่นี้ปกติมาก ไม่ได้มีการกระทำที่โดดเด่นมากเกินไป
ส่วนหญิงสาวที่สยายผมท่านนั้น นางดูแปลกๆ แต่ไม่มีการลงมือ จึงตัดสินไม่ได้
ระหว่างที่คิดไม่หยุดนั้น หัวหน้าที่ป่วยได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวอย่างดีใจ “ออกจากเขาวงกตได้แล้ว!”
ที่ปลายสุดของทางเดิน มีห้องเก็บศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ภายในห้องมีทองสัมฤทธิ์วางอยู่ตรงกลาง นอกจากนี้ ภายในห้องยังมีวัสดุที่ฝังศพอยู่นิดหน่อย เช่น ทองและเงิน เครื่องใช้ เครื่องปั้นดินเผา ตำรา และอื่นๆ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เงินได้รับการเผาไหม้อย่างรุนแรงจนสภาพเหมือนขี้ผึ้งละลาย ทองคำยังได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี ส่วนตำราและผ้า เพียงสัมผัสก็แทบฉีกขาด
สุสานแห่งนี้ไม่ได้แยกออกจากอากาศธาตุอย่างสมบูรณ์…สวี่ชีอันเหลือบมองรอบๆ อยู่หลายครั้ง เอ่ยถาม “ที่นี่คือสุสานหลักหรือ”
“ไม่ใช่ เป็นห้องด้านข้าง”
หัวหน้าที่ป่วยกล่าว “น่าจะเป็นหนึ่งในห้องด้านข้างที่มียามเฝ้าจำนวนมากในสุสานหลัก”
คนของกลุ่มโฮ่วถู่เก็บเงินทองของมีค่าอย่างตื่นเต้น เมินเฉยตำราและสิ่งของอื่นไป นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาหยาบคาย แต่รู้จักเพียงทองคำเท่านั้น ตรงกันข้าม กลุ่มโฮ่วถู่ถือเป็นมืออาชีพ
ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนมากขึ้นว่า สุสานโบราณที่มีอายุหลายปีแห่งนี้ ไม่สามารถนำตำราออกไปได้ เพราะพวกมันชำรุดมานานแล้ว
ฉู่หยวนเจิ่นมีความหลงใหลในตำราตามสัญชาตญาณ จึงเลือกหยิบมาเปิดดูอยู่หลายหน้า หน้าหนังสือเปราะบางราวกับเถ้าถ่าน แค่ใช้แรงเบาๆ ก็ฉีกขาดได้
ทว่าเขาก็ไม่ได้มาเสียเที่ยว อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าใครถูกฝังอยู่ในโลงศพ
“สุสานแห่งนี้ไม่ธรรมดาเลย เป็นสุสานของกษัตริย์ท่านหนึ่ง เหยื่อคือนางสนมของเขา” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าว
“ตอนนี้ควรจะทำเช่นไร หากไปสุสานหลัก อาจจะพบเจอกับอันตราย แต่หากกลับไปทางเดิม คงต้องเข้าสู่เขาวงกตอีกครั้งหนึ่ง”
พูดอยู่ ก็เหลือบมองสวี่ชีอัน “ข้าคิดว่าอย่างหลังปลอดภัยมากกว่า”
แม้อยากทราบว่าตัวตนของเจ้าของสุสานนี้เป็นใครยิ่งนัก ถึงกระนั้นความปลอดภัยต้องมาก่อน สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ อย่างเห็นด้วยกับข้อเสนอของจอหงวนฉู่
ยกเว้นลี่น่าที่สลบไสลและจงหลีที่ไม่มีความเห็น สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างเห็นด้วยที่จะกลับไปทางเดิมคือวิธีที่ถูกต้องแล้ว
ทันใดนั้น พวกเขาจึงได้นำทางพวกกลุ่มโฮ่วถู่ กลับไปยังเขาวงกต
…
เดินหน้าได้ไม่นาน สวี่ชีอันได้นำทางพาทุกคนออกจากทางเดิน และเข้าสู่ห้องด้านข้างแห่งหนึ่งแล้ว
“เหตุใดจึงกลับมาอีกแล้วเล่า” หัวหน้าที่ป่วยขมวดคิ้ว
สมาชิกทุกคนในพรรคฟ้าดินไตร่ตรอง ทว่าไม่กล่าวคำใด
“เดินอีกหนึ่งรอบ” สวี่ชีอันมองไปยังนักบวชเต๋าจินเหลียนและคนอื่นๆ
“ได้…” ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าด้วยสีหน้าที่หนักแน่น
…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดที่สวี่ชีอันพาทุกคนออกจากทางเดิน และกลับเข้ามาในห้องด้านข้างอีกครั้ง
“เหตุ…เหตุใดจึงกลับมาอีกแล้วเล่า” หัวหน้าที่ป่วยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน
สมาชิกคนอื่นในกลุ่มโฮ่วถู่สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดแล้ว ดวงตามีความหวาดหวั่น
“อีก เดินอีกหนึ่งรอบ” สวี่ชีอันกลืนน้ำลาย
“ได้” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงแห้งผาก
…
ครั้งที่สามแล้วที่พวกเขากลับมายังห้องด้านข้างแห่งนี้เหมือนเดิม
กลุ่มโจรปล้นสุสานเงียบราวกับเสียชีวิตแล้วก็มิปาน สวี่ชีอันขยับคออย่างยากลำบาก พลางมองไปทางจงหลี
จงหลีส่ายศีรษะ
นักบวชนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน กล่าวอย่างถอดใจ “เข้าไปเถอะ หากไม่เข้าไป เกรงว่าพวกเราคงออกจากสุสานแห่งนี้ไม่ได้อีกตลอดไป”
สวี่ชีอันกับฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วนดวงตาสั่นไหว กัดฟันกล่าว “ได้”
ต่อมา เขาหันไปมองคนของกลุ่มโฮ่วถู่ กล่าวตักเตือน “หลังจากที่เข้าสุสานหลักแล้ว ห้ามแตะต้องของซี้ซั้ว ห้ามพูดจาไร้สาระ เข้าใจหรือไม่”
แม้พวกปล้นสุสานจะมีความละโมบ แต่ก็รู้ว่าชีวิตสำคัญที่สุด จึงพยักหน้ารับติดต่อกัน
เวลานี้ กงหยางซู่ที่สวมชุดคลุมสีขาวสกปรกมองจงหลีพร้อมกล่าว “ห้ามใช้วิชามองปราณที่นี่โดยเด็ดขาด”
ตาแก่นี่…สวี่ชีอันจ้องมองเขาอย่างพินิจโดยระงับอารมณ์และคำพูด
จงหลีก้มหน้าลง ส่งเสียงในลำคอ “อืม”
………………………………………………………..