ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 311 ข้อมูลแลกยา
บทที่ 311 ข้อมูลแลกยา
เวลากลางคืน แสงดวงดาวและดวงจันทร์ส่องสลัว ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
จงหลีที่อยู่บนหลังของสวี่ชีอันมองเห็นเมืองหลวงได้จากมุมสูง เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแสนสงบเงียบในความมืด
มีการจุดไฟยกระดับทุกๆ ยี่สิบขั้นบนทางม้าของกำแพงเมืองเพื่อให้แสงสว่าง ควบคู่ไปกับแสงเทียนในพระราชวัง เมืองจักรพรรดิ เมืองชั้นใน และที่อื่นๆ ก็สว่างไสวทีเดียว
“ช่างสวยจริงๆ” จงหลีที่นอนอยู่บนหลังของเขาพึมพำ
“เจ้าไม่เคยเห็นแท่นแปดทิศของสำนักโหราจารย์ในยามค่ำคืนแบบนี้หรืออย่างไร?” สวี่ชีอันหัวเราะ
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะสวยขนาดนี้ เจ้าดูท้องฟ้ายามค่ำคืนสิ ปกติเวลานี้เราได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปที่แท่นแปดทิศที่ไหน ยกเว้นไฉ่เวย” จงหลีนึกเสียใจ
“เหตุใดไฉ่เวยถึงได้รับยกเว่นเล่า” สวี่ชีอันรู้สึกประหลาดใจ
“อาจเป็นเพราะนางอายุน้อยที่สุดและรู้ทันน้อยที่สุดกระมัง อาจารย์จึงชอบนางมากกว่า” จงหลีเอ่ยอย่างคาดเดา
เจ้ากำลังพูดไม่ดีเกี่ยวกับไฉ่เวยงั้นเหรอ? ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นจงหลีที่ไม่ดีเช่นนี้
เอ๊ะ แต่ด้วยบุคลิกของศิษย์พี่ห้าผู้โชคร้าย คงจะพูดความจริงสินะ…ดูเหมือนว่าเรื่องที่ไฉ่เวยไม่ทันคนนั้นสำนักโหราจารย์ก็ทราบดี
หลังคิดในใจ สวี่ชีอันจึงเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับกระซิบ “ข้าได้เห็นเมืองในฝันด้วยล่ะ ทุกคืนจะมีการจุดตะเกียงที่ข้างถนน คดเคี้ยวไปทุกมุมเมืองเลย ในความฝันข้าเห็นเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารสูงตระหง่านอย่างหอดูดาวซึ่งเปล่งแสงสีต่างๆ แล้วยังเห็นเมืองในฝันที่มีรถม้าส่องสว่างไปตามถนน ทั้งเมืองส่องสว่างพร่างพราวและแสงเทียนก็คงอยู่ตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสาง”
จงหลีตกตะลึงเล็กน้อยพลางบ่น “นั่นคงจะเป็นแดนสวรรค์แล้วล่ะ”
สวี่ชีอันไม่ตอบ แต่ยิ้มด้วยความคิดถึง ทว่าภายใต้รอยยิ้มของเขากลับมีความคิดถึงระคนความเศร้า
กระบี่บินและนกกระเรียนกระดาษไม่ได้ลงจอดในทันที แต่ลอยอยู่กลางอากาศของเมืองชั้นนอกครู่หนึ่งราวกับเคาะประตู ทำให้โหรแห่งสำนักโหราจารย์หรือยอดฝีมือของเมืองหลวงมีโอกาสตอบโต้
เพื่อให้พวกเขารู้ว่าผู้มาเยือนไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นตัวเขาเอง
หากรีบขึ้นบกโดยไม่ทักทายก่อน ยอดฝีมือของเมืองหลวงคงจะลงมือจัดการเขาเป็นแน่
กระบี่บินและนกกระเรียนกระดาษลงจอดในตรอกอันเงียบสงบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูเมือง ทุกคนกล่าวคำอำลาลี่น่าซึ่งอยู่ในอาการนิทราที่มีนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นผู้ดูแลชั่วคราว ถึงอย่างไรนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นถึงผู้นำแห่งพรรคฟ้าดิน
เขาควรแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้
สวี่ชีอันแบกจงหลีไปที่ทหารยามตรงประตูเมือง ที่นั่นมีม้าพันธุ์ดีรูปร่างงดงามถูกผูกเอาไว้อยู่
เมื่อคืนวานนี้ เขาออกไปนอกเมืองพร้อมกับนักบวชเต๋าจินเหลียนและคนอื่นๆ พร้อมทั้งแม่ม้าน้อย จากนั้นก็มอบมันให้กับทหารยามของกองดาบที่ลาดตระเวนอยู่ระหว่างทาง ให้พวกเขาช่วยฝากมันไว้ที่ประตูเมืองโดยมีทหารรักษาเมืองคอยดูแล
“แม่ม้าน้อย เจ้าของตัวจริงของเจ้ากลับมาแล้ว”
สวี่ชีอันแตะที่คอของตัวเมียตัวน้อย พลางปลดบังเหียนแล้วขี่กลับไปที่เมืองชั้นในพร้อมกับจงหลี
จากประตูเมืองชั้นนอกไปจนถึงเมืองชั้นในของจวนสกุลสวี่ หากเดินทางเท้ากว่าจะถึงคงปาไปเที่ยงคืน แต่ดีที่เขาขี่ม้าจึงทดเวลาได้มากทีเดียว สวี่ชีอันอดนึกภูมิใจที่ตนเองมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลไม่ได้
เขาใช้ฆ้องเงินของตัวเองเพื่อเปิดประตูเมืองชั้นใน เมื่อกลับไปถึงจวนสกุลสวี่ก็จวนมืดค่ำแล้ว จงหลีชำระกายเพียงไม่นาน ก็ใช้ไม้ที่สวี่ชีอันมอบให้ดามกระดูกของตนเอง
“ขอโทษจริงๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เดิมทีเจ้าไม่ควรจะมาเผชิญกับความเจ็บปวดนี้แท้ๆ” สวี่ชีอันกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
“พรุ่งนี้พาข้ากลับไปที่สำนักโหราจารย์ที ท่านอาจารย์คงสามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของข้าได้”
จงหลีก้มศีรษะลงลูบไล้ขาของตนเอง เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “ข้าใช้โชคชะตาของท่านเพื่อหลีกเลี่ยงความโชคร้าย เป็นธรรมดาที่ต้องตอบแทน จากคำพูดของท่าน นี่คือการแลกเปลี่ยนอันเทียบเท่า กฎการเล่นแร่แปรธาตุย่อมไม่เปลี่ยนแปลง”
“ศิษย์พี่จงช่างมีเหตุผลมาก น่าประทับใจจริงๆ …อืม เจ้าคงง่วงนอนแล้วใช่หรือไม่”
จงหลีส่ายหัว
‘ตุบ!’ สวี่ชีอันวางหนังสือเปล่าไว้ตรงหน้าอีกฝ่ายพลางเอ่ย “ถ้าไม่ง่วงก็ช่วยข้าเขียนหนังสือทีสิ ข้าแบกเจ้าจากเซียงโจวกลับมายังเมืองหลวง เหนื่อยมากนะ การแลกเปลี่ยนอันเทียบเท่า กฎการเล่นแร่แปรธาตุย่อมไม่เปลี่ยนแปลง”
จงหลีตกตะลึง
ในขณะที่สวี่ชีอันเทน้ำและน้ำหมึกก็พูดเร่งเร้าไปด้วย “เร็วเข้า ข้าสัญญากับองค์หญิงไว้ว่าจะส่งรายงานให้นาง ข้ามีนกพิราบ เพียงวันเดียวก็ส่งถึงนางแล้ว”
“อื้อ…”
จงหลีตอบรับอย่างอ่อนแรง จากนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะและนั่งลง ยืดเอวให้เหยียดตรง พร้อมกับหยิบพู่กันที่สวี่ชีอันส่งให้
…
วันรุ่งขึ้นสวี่ชีอันแต่งตัวเรียบร้อย ผูกฆ้องทองแดง แขวนดาบ ส่งจงหลีกลับไปที่บ้านเดิมของนาง
ขณะมองดูจงหลีเข้าไปยังหอดูดาว สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงสวดมนต์อันยาวเหยียดดังมาจากด้านหลัง
“ที่ปลายทะเล ท้องฟ้าคือชายฝั่ง ศิลปะคือจุดสูงสุดของข้า”
ศิษย์พี่หยางเปลี่ยนมนต์แล้วเหรอ? ไม่สิ เจ้าพูดแบบนี้ภายใต้หอดูดาวแห่งนี้ คิดถึงความรู้สึกของท่านโหราจารย์บ้างหรือไม่? สวี่ชีอันยกยิ้มอย่างอบอุ่น หันกลับมาและพูดว่า
“พี่หยาง ตามหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
“เมื่อคืนดูเหมือนเจ้ามีปัญหาบางอย่าง ต้องการความช่วยเหลือจากข้าใช่หรือไม่” หยางเชียนฮ่วนเอ่ยเสียงเบาหวิว
สวี่ชีอันรู้สึกเย็นวาบที่หลัง พลางหรี่ตาและจ้องไปที่แผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วน
ที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร เขาหมายถึงโชคชะตาที่ข้าฉกฉวยมาได้จากสุสานโบราณเมื่อวานหรือเปล่า เป็นไปไม่ได้ หยางเชียนฮ่วนจะมองเห็นโชคชะตาอันแปลกประหลาดของข้าได้อย่างไร
ขณะที่เขาตกใจ หยางเชียนฮ่วนก็ยืนมือพาดไปข้างหลังและพูดว่า Wข้าเพียงอยากช่วยอาจารย์ส่งข่าวก็เท่านั้น บอกข้าทีเถอะว่าท่านคิดอย่างไร หากข้าจะเป็นคนตอบกลับเอง”
ความคิดของข้าคือการเอาชนะเจ้าอย่างไรเล่า!
ปากของสวี่ชีอันกระตุก
ไม่แปลกใจเลยที่คืนวานนี้เมื่อข้ากลับมาที่เมืองหลวง ท่านโหราจารย์ถึงเห็นความผิดปกติของข้าบนแท่นแปดทิศ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโหรระดับหนึ่งที่ปีนขึ้นไปที่สูงเพื่อชมทัศนียภาพ จนตอนนี้ก็ยังไม่สามารถหาตัวเจอ ท่านโหราจารย์ขอให้พี่หยางมาพูดกับข้า แสดงว่าความลับของสวรรค์ที่เขาคอยปกป้องข้าคงจะไม่ได้ผลแล้วสินะ เป็นเพราะโชคชะตาที่ได้รับมาเมื่อวานหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าคงขอปฏิเสธ คนชั่วที่ได้รับการอภัยกลับไปยังแดนประจิมแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ข้ายังต้องทนรับกฎสี่ร้อยสี่ข้ออยู่อีก ช่วงนี้ทุกครั้งที่ข้าไปหอคณิกา ในใจแสนเจ็บปวดนัก ชีวิตที่ปราศจากการมัวเมาสตรีช่างไร้ความหมายสิ้นดี
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สวี่ชีอันจึงตอบคำถามของเขาเอง “ไม่จำเป็นหรอก ฝากขอบคุณท่านโหราจารย์แทนข้าด้วย”
แม่ม้าน้อยวิ่งกุกกักจากไป
ระหว่างเดินทางไปที่ทำการปกครอง ขณะที่สวี่ชีอันที่อาบแสงแดดยามเช้า ทันใดนั้นก็พบว่ารถม้าที่อยู่ข้างหน้าเขาเกิดควบคุมไม่ได้
คนขับรถม้าพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดึงบังเหียนเพื่อหยุดรถ แต่กลับไม่สามารถหยุดม้าได้
รถม้าวิ่งออกจากการควบคุมพุ่งเข้าชนกับเด็กข้างถนน ซึ่งนั่งยองๆ อยู่ข้างถนนเพื่อเล่นไปตามประสา ถัดจากเขาคือมารดาที่กำลังเลือกซื้อเครื่องประดับราคาถูกจากแผงขายของ
ความชุลมุนประดังประเดขึ้น ทว่ากลับไม่มีใครไหวติง ในขณะที่มารดาของเด็กชายได้ยินเสียงอุทานของผู้คนที่เดินขวักไขว่พลันหันศีรษะไปตามต้นเสียง เมื่อพบว่ารถม้ากำลังมุ่งหน้าตรงไปหาลูกชายของตน จึงกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจทันที
ขณะเดียวกันชายหนุ่มในเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับวิญญาณ พลางวางมือบนหน้าผากของม้า
‘ชู่ๆ…’
ม้าแผดเสียงร้องคำรามพลางคุกเข่าลงที่กีบหน้า ในขณะที่ชายหนุ่มหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั้นยังคงนิ่งอยู่
“ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยเหลือ ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยเหลือ”
มารดายังคงสวมกอดลูกชายของตน ร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจพร้อมกับโค้งคำนับเพื่อขอบคุณเขาอย่างไม่ลดละ
คนเดินถนนที่เห็นฉากนี้ส่งเสียงปรบมือดังลั่น
“นี่ใช่ท่านใต้เท้าสวี่หรือไม่ นี่ไม่ใช่วีรบุรุษของเราชาวต้าฟ่งหรอกหรือ”
มีคนจำเขาได้และตะโกนด้วยความประหลาดใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนเดินผ่านไปมาซึ่งเฝ้าดูการต่อสู้และจำสวี่ชีอันได้จึงตะโกนขึ้น “ใช่แล้ว ท่านผู้นี้คือใต้เท้าสวี่ เป็นใต้เท้าสวี่ไม่ผิดแน่”
ชั่วครู่จากคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นพิธีต้าวฮวด พลันรู้ได้ทันทีว่าพ่อฆ้องเงินรูปหล่อที่ช่วยเด็กไว้นั้นเป็นคนเดียวกับวีรบุรุษผู้ดึงดูดความสนใจในพิธีต้าวฮวดเพื่อปราบปรามความเย่อหยิ่งของสำนักพุทธ
ปรากฏว่าข้าโด่งดังและเป็นที่รักของชาวเมืองหลวงไปแล้วหรือนี่…สวี่ชีอันถอนหายใจพลางแม่ม้าน้อยของเขาจากไป
เสียงตะโกนไล่หลังดังขึ้น “ใต้เท้าสวี่” เสียงนั้นมาจากระยะไกลและเอ่ยซ้ำๆ
“นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย มีคำกล่าวที่ว่าต่อให้แกล้งทำเป็นไร้ความสามารถเพียงใด การกระทำอันยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องบังเอิญ…” สวี่ชีอันเอ่ยบทกวี
แต่ต่อมาเขาก็เผชิญกับอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับเด็กหลงทาง เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเจอพวกเร่ค้ามนุษย์ เขาจึงรอครอบครัวของเด็กคนนั้นหาตัวบุตรให้พบ ทำให้ได้รับคำขอบคุณและคำชื่นชมมากมายจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ยายแก่หกล้มขณะเดินข้ามถนน เหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดสนใจ ในฐานะที่สวี่ชีอันเป็นเยาวชนดีห้าประการ เป็นเรื่องปกติที่จะต้องรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งเขาก็ได้รับคำขอบคุณจากยายแก่และคำชมจากคนที่เดินผ่านไปมาอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เหตุใดไม่ว่าข้าจะไปที่ใด ก็ถูกบังคับให้ทำดีในทุกที่ที่ไป ช่างไร้เหตุผลเสียจริง หลังจากช่วยยายแก่ข้ามถนนแล้ว ยังต้องช่วยคุณหนูชิวเจียเอาชนะหลี่ฟู่อยู่อีกหรือไม่”
ความคิดหนึ่งฉายวาบขึ้น ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวผมยุ่งคนหนึ่งวิ่งออกมาจากถนนพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
ที่ด้านหลังมีชายคนหนึ่งวิ่งไล่ตามวาดมือขึ้นตั้งท่าจะตี ด่าทออย่างโกรธกริ้ว
“ข้าจะตีเจ้าให้ตาย นังผู้หญิงไร้ยางอาย จะตีเจ้าให้ตายนังผู้หญิงไร้ยางอาย ข้าจะเขียนจดหมายหย่า…”
ไม่ได้การ…สวี่ชีอันหันหัวของม้า ตีก้นของแม่ม้าน้อยให้พุ่งไปยังทิศทางของสำนักโหราจารย์ในทันที
ระหว่างทางเขาสงบลงและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คาดเดาไปต่างๆ นานาอย่างมีเหตุผลอันสมควรมากขึ้น
เดิมทีโชคชะตาอันแปลกประหลาดภายในร่างกาย เมื่อการบำเพ็ญของเขาแกร่งกล้าขึ้นก็จะค่อยๆ ถูกปลุกให้ตื่นอย่างช้าๆ ทีละขั้น ดังนั้นมันจึงส่งผลถึงการแสดงออกภายนอก เขาหยิบเงินออกมาเหรียญแล้วเหรียญเล่าจนครบห้าเหรียญ…
ตอนนี้การเสี่ยงโชคชะตาจากตราหยกเป็นเหมือนกับการดึงกล้าไม้เพื่อกระตุ้นการเติบโต และโชคชะตาก็อยู่เหนือการควบคุมแล้ว
“จงหลีมักเผชิญโชคร้ายจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ ส่วนข้ามักพบเจอเหตุอันเกิดแก่โชคชะตาจึงต้องคอยระวังเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่เสมอเช่นกัน…นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอก อีกอย่างข้าไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้เกิดขึ้นไปตามกลไกธรรมชาติหรือเกิดขึ้นโดยเจตนาเพราะการปรากฏตัวของข้า เพียงเพื่อให้ข้าแกล้งทำเป็น วีรบุรุษผู้เลื่องชื่อ’ อะไรทำนองนั้น
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้สวี่ชีอันก็หัวเราะกับตัวเอง ต่อไปข้าจะเขียนหนังสือขึ้นมาหนึ่งเล่ม โดยใช้ชื่อว่า ‘ข้าไม่อยากเสแสร้ง’
เขารีบกลับไปที่สำนักโหราจารย์ ขณะที่กำลังจะลงจากหลังม้าก็มีบทสวดยืดยาวดังมาจากข้างหลังเขา
“สักวันหนึ่งต้าเผิงจะโบยบินไปตามสายลม ทะยานออกไปไกลเก้าหมื่นลี้ สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา”
ด้วยเสียงที่แผ่วเบา หยกสีม่วงชิ้นหนึ่งบินตรงไปยังสวี่ชีอันที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์ข้าขอมอบให้ท่าน เขาบอกว่าท่านอาจประสบเคราะห์บางอย่าง จี้หยกนี้จะสามารถช่วยปัดเป่ามันได้”
จี้หยกนี้สามารถระงับโชคชะตาของข้าได้อย่างนั้นหรือ? หลังพินิจพิเคราะห์จี้หยก หยกนี้มีรูปร่างกลมมน ขนาดของมันใหญ่เทียบเท่าฝ่ามือของสวี่ชีอัน นี่คือหยกแขนอันล้ำค่า…สวี่ชีอันมีความสุขและเชื่อมั่นอย่างนั้น
“ท่านโหราจารย์มาโปรดโดยแท้ เขารู้ว่าข้าจะกลับมา”
หยางเชียนฮ่วนได้ยินดังนั้นก็ส่ายหัว “ไม่ใช่หรอก ก่อนหน้านี้เขามอบให้ข้านานแล้ว”
“?”
การแสดงออกของสวี่ชีอัดแน่นบนใบหน้าของเขา “แล้วเหตุใดจนป่านนี้เจ้าถึงเพิ่งเอามามอบให้”
หยางเชียนฮ่วนพูดตามความจริง “ของสำคัญยิ่งควรสงวนไว้เพื่อรอปรากฏตัวในตอนท้าย ซึ่งวีรบุรุษมักจะปรากฏตัวในช่วงเวลาวิกฤติเสมอ ข้าอดทนรอไม่ไหว ท่านโหราจารย์จึงช่วยข้าทุบตีหญิงผู้นี้ให้ปางตายเพื่อการปรากฏของท่าน…”
ในใจสวี่ชีอันแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสรุ่นที่สิบแปดของหยางเชียนฮ่วนนับร้อยครั้งด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะฟาดแส้แล้วจากไป
…
ณ ตำหนักเต๋อซิน
สวี่ชีอันและองค์หญิงฮว๋ายชิ่งกำลังนั่งจดบันทึกบางอย่าง พลางถือชาร้อนในมือ ปล่อยให้ไอกรุ่นกระจายไปทั่วใบหน้าอันงดงาม สวี่ชีอันเอ่ยขึ้น
“ได้ยินมาว่าพระองค์ทรงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ด้วย พระปรีชาของพระองค์ล้วนเก่งกล้าไม่แพ้เอ๋อร์หลางเลย”
ฮว๋ายชิ่งลดมือลงกุมที่ตัก ตั้งหลังเหยียดตรงและเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“ไม่แพ้เอ๋อร์หลาง?”
ดวงตาใสราวกับหยาดน้ำสารทฤดูจ้องมองไปที่สวี่ชีอันเป็นเวลาชั่วครู่
“กล่าวถึงเอ๋อร์หลางคนฐานะต่ำต้อยไม่พอ ยังกล่าวว่าข้าทัดเทียมเขาอีก”
สวี่ชีอันหัวเราะ
ฮว๋ายชิ่งไม่ได้กล่าวต่อ เพียงยื่นมือหยิบหยกออกมาจากแขนเสื้อที่เปิดกว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นจิบน้ำชาจากถ้วยแล้วเอ่ย “เจ้ามีเรื่องใดจะถามไถ่?”
การพูดคุยกับคนฉลาดช่างเป็นเรื่องง่ายดาย…
สวี่ชีอันกล่าวตอบ “พระองค์รู้จักราชวงศ์ต้าเหลียงหรือไม่”
การสำรวจสุสานโบราณนอกเซียงเฉิงเป็นราชโองการของพรรคฟ้าดิน ในฐานะบุตรชายผู้ทรยศของเว่ยเยวียน สวี่ชีอันจึงควรรายงานเรื่องนี้ต่อพระองค์ แต่ด้วยโชคชะตาของตราหยก เขาจึงวางแผนที่จะเก็บซ่อนมัน
“โดยคานอำนาจมีด้วยกันสามราชวงศ์ ราชวงศ์แรกสุดเริ่มเมื่อประมาณสามพันปีที่แล้ว ราชวงศ์หลังสุดคือหลังจากที่ต้าฟ่งก่อตั้งประเทศ ส่วนราชวงศ์ที่เหลือก่อนหน้านี้ ด้วยการสนับสนุนของสำนักพ่อมดจึงคานอำนาจได้เพียงในระยะเวลาอันสั้น สิบแปดปีต่อมาจึงถูกทำลายโดยจักรพรรดิเกาจู่” ฮว๋ายชิ่งประหลาดใจและตอบออกไปอย่างซื่อตรง
“ยังมีก่อนหน้านี้อีกหรือไม่” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ฮว๋ายชิ่งส่ายพระพักตร์
ดูเหมือนว่าในหนังสือประวัติศาสตร์จะไม่ได้บันทึกอายุของจิตรกรรมฝาผนังเอาไว้ชัดเจน…
แม้จะได้รับคำตอบ แต่สวี่ชีอันกลับผิดหวังเล็กน้อย
ก่อนที่ลัทธิขงจื๊อจะถือกำเนิด แม้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีนิสัยชอบบันทึกประวัติศาสตร์ ทว่าพวกเขาส่วนใหญ่มักวาดมันไว้บนฝาผนัง ซึ่งยากที่จะอนุรักษ์และอาจถูกทำลายในสงคราม
หลังจากการถือกำเนิดของลัทธิขงจื๊อ การปฏิบัติพระคัมภีร์จึงถือเป็นประเพณีอันเคร่งครัด เหล่าปัญญาชนจึงเริ่มอุทิศตนรื้อฟื้นหนังสือและประวัติศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่รุ่งโรจน์ตลอดชีวิต
“ใต้เท้าสวี่มีอะไรอีกหรือไม่” ฮว๋ายชิ่งทักท้วง
“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
หลังไตร่ตรองในใจ สวี่ชีอันก็ส่ายน้าโดยไม่รู้ตัว
“ไม่มีแล้วงั้นหรือ…” เสียงของฮว๋ายชิ่งดังขึ้นเล็กน้อย
“ดูบันทึกของกระหม่อมดีกว่า ที่เคยสัญญากันเอาไว้ว่าจะส่งให้พระองค์” เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ สวี่ชีอันจึงหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาจากอ้อมแขนของเขา ใส่ลงในกล่องแล้วพูดว่า
“เมื่อวานนี้ที่บ้านของกระหม่อมเกิดเรื่อง ด้วยเหตุนี้จึงล่าช้า พระองค์คงตั้งตารออยู่ใช่หรือไม่”
ฮว๋ายชิ่งเสมองบันทึกด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา “พวกนางกำนัลต่างหากที่อยากเห็น ใช่ว่าข้าตั้งตารอเสียที่ไหนกัน”
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นข้าน้อยขอทูลลา”
สวี่ชีอันยังคงคิดที่จะไปตามนัดกับหลินอัน
ผู้หญิงช่างเรื่องเยอะเสียจริง ข้าไม่มีเวลาแม้กระทั่งฝึกฝนร่างกายด้วยซ้ำ เหตุใดถึงบอกว่าข้าเลี้ยงปลาในบ่อไว้มากกัน…เมื่อคิดถึงใบหน้าแสนทรงเสน่ห์และน่ารักของหลินอัน สวี่ชีอันแทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว
“ขอไม่ไปส่งนะ”
หลังจากสวี่ชีอันออกจากห้องโถง ฮว๋ายชิ่งพลันยกกระโปรงขึ้นลุกยืน เดินตรงไปที่โต๊ะ แล้วหยิบหนังสือเล่มเล็กขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สายตาระยิบระยับกวาดตามองเป็นเครื่องยืนยันว่าอีกฝ่ายสนอกสนใจมันมาก ในตอนนั้นดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความโล่งอก
…
ณ อารามรัตนะ
แมวสีส้มตัวหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนรั้วด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เหลือบมองไปยังลานเล็กอันเงียบสงบแล้วกระโดดลงจากกำแพง
มันยกหางขึ้นเดินข้ามทางเท้าหินกรวดมุ่งตรงไปยังประตูห้องหนึ่งอันเงียบสงบ จากนั้นจึงยกอุ้งเท้าขึ้นแล้วเคาะประตู
ประตูไม้ฉลุเปิดออกโดยทันที พร้อมกับเสียงเย็นชาของลั่วอวี้เหิงที่ดังลอดออกมา “เจ้ามาทำอะไรที่อารามรัตนะของข้าอีกแล้ว”
“อนิจจา!”
แมวส้มถอนหายใจสั่นเครือ ส่งเสียงโอดครวญออกมา “ศิษย์น้อง ยุทธภพกำลังเกิดความผันผวน ร่างกายของข้ากำลังจะดับสลาย”
“ข้านึกว่าท่านชอบร่างกายในตอนนี้มากกว่าเสียอีก” ลั่วอวี้เหิงหยอกล้อ
“ศิษย์น้องอย่าพูดจาเรื่อยเปื่อย” แมวส้มอารมณ์ขุ่นมัวพลางพูดอย่างจริงจัง “คนรุ่นข้า ไม่ยึดติดกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตหรอก”
“อย่าได้พูดจาไร้สาระทำนองนั้นอีก” ลั่วอวี้เหิงเริ่มหงุดหงิด
บนใบหน้าแมวส้มเผยรอยยิ้มอย่างมีมนุษยธรรม กล่าวอย่างไม่นึกอาย “ข้ามาหาเจ้าเพราะอยากขอยาบำรุงครรภ์สองเม็ด”
ลั่วอวี้เหิงถอนหายใจ “ข้าเป็นเพียงราชครูหญิงที่บำเพ็ญเต๋า เพราะนารีเป็นเหตุทำให้กฎมณเฑียรบาลเกิดความโกลาหล ยาของข้าจึงล้วนเป็นเลือดและหยาดเหงื่อของประชาชน พี่ใหญ่ไม่กลัวว่าหากกินเข้าไปแล้ว ไฟกรรมจะเผาไหม้จนร่างแห่งเต๋าดับสิ้นไปหรอกหรือ”
‘หญิงสาวที่ขี้เหนียวเอาแต่แค้นฝังใจผู้นี้ช่าง…’
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวอย่างจริงจัง “สิ่งที่ศิษย์น้องกล่าวมาไม่ถูกต้อง จักรพรรดิหยวนจิ่งต่างหากที่ต้องการปลูกฝังลัทธิเต๋า ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้านี่ หากคนจิตใจไม่ดีถูกเปลี่ยนมาเป็นราชครูต่างหากถึงเป็นความโกลาหลที่แท้จริง ศิษย์น้องคงห่วงประชาชนใต้หล้าจึงเข้ารับตำแหน่งราชครู เฝ้าจับจ้องพฤติกรรมของจักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยตนเอง มิฉะนั้นราชสำนักคงจะวุ่นวายไปนานแล้ว”
ลั่วอวี้เหิงถอนหายใจเบาๆ “คงจะดีหากผู้คนในใต้หล้ามองเห็นได้แม่นยำเช่นศิษย์พี่ ที่ท่านพูดมาก็ถูก เมื่อทำลายโชคชะตาของราชสำนัก ย่อมสมควรถูกลงโทษด้วยการประณามทางวาจาและลายลักษณ์อักษร”
“เช่นนั้น ยาบำรุงครรภ์นั่น…”
“ยาบำรุงครรภ์หนึ่งเม็ดคิดเป็นเงินสามสิบแปดตำลึง เห็นแก่ความรักที่อยากจะมีครอบครัว ข้าจะปัดเศษเป็นการพิเศษแก่ศิษย์พี่แล้วกัน จ่ายให้ข้าแค่หกสิบตำลึงก็พอ”
‘ถ้าคนจนมีเงินมากขนาดนั้น ข้าจะมาหาเจ้าทำไมกัน!’
ใบหน้าของแมวตัวยาวอย่างนักบวชเต๋าจินเหลียนแข็งทื่อ
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องที่เงียบสงัด มองดูความงามอันน่าทึ่งก่อนจะนั่งลงบนฟูกเพื่อเจรจาต่อรอง
“ข้าขอจ่ายเป็นข้อมูลบางอย่างเพื่อแลกกับยาบำรุงในครรภ์ได้หรือไม่”
ลั่วอวี้เหิงหลับตาระงับจิตใจให้ไม่ฟุ้งซ่าน ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับหยกแกะสลัก ริมฝีปากสีแดงเรื่อเผยอออกเล็กน้อย “แม้ว่าศิษย์พี่จะมีข้อมูลมากเพียงใด ข้าก็ไม่สนใจหรอก”
ดวงตาสีเขียวของแมวส้มจดจ้องที่นางพร้อมเอ่ย “หากเป็นข้อมูลของเรื่องสวี่ชีอันเล่า”
ลั่วอวี้เหิงลืมตาขึ้นแทบจะในทันที
……………………………………………….