ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 322 หลี่เมี่ยวเจินเข้าสู่เมืองหลวง
บทที่ 322 หลี่เมี่ยวเจินเข้าสู่เมืองหลวง
สองนายบ่าว หนึ่งคน หนึ่งผีแยกพุ่มไม้ออก พวกนางค้นหาอยู่ครู่หนึ่งและพบศพอยู่ท่ามกลางวัชพืชที่สูงถึงเข่า
ศพนี้สวมจิ้นจวงสีดำและสูญเสียหัว ในมือถือดาบที่มีใบมีดโค้ง ตรงคอมีแผลเป็นขนาดใหญ่ ซึ่งแห้งจนกลายเป็นสีดำแล้ว เวลาที่ตายอย่างน้อยเกินสองชั่วยามหรือนานกว่านั้น
“ต้องเสียชีวิตเพราะความอาฆาตของยุทธภพเป็นแน่ ความคับแค้นยังรุนแรงอยู่เลย พวกเราฝังศพเขาเถิด เพื่อไม่ให้เขาตายอย่างอนาถและกลายเป็นวิญญาณอาฆาตในอีกเจ็ดวันให้หลัง”
ซูซูแนะนำ นางที่เป็น ‘ปีศาจสาว’ ได้กลิ่นความคับแค้นที่รุนแรงอย่างมาก
ความคับแค้นนี้เป็นไปได้มากว่าจะทำให้ผู้ตายกลายเป็นวิญญาณอาฆาตในอีกเจ็ดวันให้หลัง แน่นอนว่า วิญญาณประเภทนี้ไม่อาจคงอยู่ได้นาน ถ้าระยะสั้นก็ไม่กี่ชั่วยาม แต่ถ้าระยะยาวก็หลายวันถึงจะหายไป
แต่ทางบนเขาเส้นนี้ไม่ได้รกร้าง หากมีคนสัญจรผ่านมาก่อนที่วิญญาณอาฆาตจะหายไป เป็นไปได้มากว่าจะถูกวิญญาณอาฆาตโจมตี ถ้าเบาก็เจ็บป่วยร้ายแรง แต่ถ้าหนักก็เสียชีวิต
ซูซูคิดว่าควรจะยุติเรื่องนี้ในท่วงที
“ความคับแค้นลุ่มลึกเช่นนี้ เกรงว่ายามมีชีวิตคงจะเกิดเรื่องใหญ่ถึงทำให้เขาไม่ยินยอมเช่นนี้ ข้าจะลองเรียกวิญญาณของเขาและดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” หลี่เมี่ยวเจินพึมพำ
“ไม่ไม่ นายท่าน ท่านคิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์หญิงหรือ”
ซูซูกระโดดอยู่ที่เดิมและพูดว่า “ท่านเป็นเทพธิดาของนิกายสวรรค์ ในอนาคตท่านจะต้องลืมเลือนความรู้สึก เกิด แก่ เจ็บ ตาย บุญคุณและความแค้นของมนุษย์ล้วนเป็นเมฆลอยสำหรับท่าน ลืมเลือนความรู้สึกและยุติธรรม ไม่หวั่นไหวด้วยอารมณ์ ไม่ถูกรบกวนด้วยความรู้สึก จอมยุทธ์หญิงเป็นเพียงบทบาทหนึ่งที่พวกเราสร้างขึ้นเพื่ออำพรางตัวตนเท่านั้น สวรรค์เป็นส่วนตัวที่สุด การใช้งานเป็นส่วนรวมที่สุด เมื่อใดที่ท่านมองความรักโลภโกรธหลงของมนุษย์ด้วยสายตาเย็นชาได้ ไม่หวั่นไหว ไม่ขัดขวาง ไม่แทรกแซง เช่นนั้นท่านก็จะสามารถบรรลุทางธรรมได้ พวกเราไปฝังเขาเถิด เหตุใดถึงต้องหาเรื่องด้วย”
“หุบปาก!”
หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยอย่างหมดความอดทน “จุดมุ่งหมายลับของนิกายสวรรค์ จำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนช้าหรือ การลืมเลือนความรู้สึกนั้นถูกต้อง แต่ถ้าหากแม้แต่ความรู้สึกคืออะไรก็ไม่รู้ แล้วจะลืมเลือนความรู้สึกได้อย่างไร บอกให้ลืมก็ลืมหรือ”
อีกอย่าง นางไม่คิดว่าการผดุงคุณธรรมจะมีอะไรผิด เหตุใดบางคนถึงมักจะพูดถึงความจอมปลอมของโลก เพราะคนที่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นมีน้อยเกินไป
หากทุกคนมีคุณธรรมเยี่ยงจอมยุทธ์และใจที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่น โลกก็คงไม่จอมปลอม
หลี่เมี่ยวเจินยกศพไปที่ข้างทางและสั่งให้ซูซูนำกระบอกไม้ไผ่สามท่อนออกมา ในกระบอกไม้ไผ่แบ่งเป็นโคลนสีดำ เลือดสีดำและส่วนผสมยาที่แผ่ไอเย็นออกมา
ส่วนประกอบหลักของโคลนสีดำคือกากตะกอนที่ขุดจากสุสานไร้ญาติ เสริมด้วยวัตถุดิบเชิงลบต่างๆ
ส่วนประกอบหลักของเลือดสีดำคือประจำเดือนของหญิงสาวพรหมจรรย์ที่เกิดในยามหยิน เสริมด้วยเสริมด้วยวัตถุดิบเชิงลบต่างๆ
ส่วนผสมยาที่แผ่ไอเย็นออกมาเป็นส่วนผสมยาบางอย่างที่เติบโตในแดนหยินสูงสุด
ศพนี้ตายมานานแล้ว จึงไม่อาจเรียกวิญญาณโดยตรงได้และยังอยู่ในสภาพตายอย่างอนาถอีก หากฝืนเรียกวิญญาณ วิญญาณจะหายไปท่ามกลางพลังแห่งดวงอาทิตย์
ซูซูใช้วัตถุดิบสามอย่างผสมเป็น ‘หมึก’ อย่างชำนาญและหยิบพู่กันที่ใช้ข้อนิ้วเป็นด้ามออกมา จุ่มหมึกและยื่นให้หลี่เมี่ยวเจิน
หลี่เมี่ยวเจินวาดภาพหรือบิดเบือนจางหยาง หรือคาถาแปลกๆ ที่แฝงความเก็บงำไว้บนร่างของศพและพึมพำบางอย่าง ขณะที่ค่ายกลค่อยๆ ก่อตัวขึ้น บริเวณรอบๆ ก็มีลมหนาวพัดมา ดวงอาทิตย์ราวกับสูญเสียความร้อน
เมื่อจังหวะสุดท้ายหยดลง ลมหนาวก็พัดพาวิญญาณที่แตกสลายมาทีละนิดจากข้างทาง จากในพุ่มไม้และจากในอากาศ…ควบแน่นเหนือซากศพและกลายเป็นภาพลวงตาที่ดูไม่สมจริง
นั่นเป็นชายร่างผอมบาง แววตาไร้ชีวิตชีวา ลอยอยู่เหนือศพอย่างเหม่อลอย
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วเล็กน้อย ลัทธิเต๋าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นผี มองเพียงแค่แวบเดียว นางก็ยืนยันว่าผีตนนี้ได้รับความเสียหายร้ายแรงและถูกคนที่เพ่งเล็งโจมตีวิญญาณก่อนที่จะเสียชีวิต
แต่อีกฝ่ายน่าจะเป็นทหาร ความสามารถจึงมีจำกัดและไม่อาจทำลายวิญญาณให้สิ้นซากได้
“เจ้าเป็นใคร” หลี่เมี่ยวเจินถาม
ขณะเดียวกัน นางก็ยกนิ้วขึ้นและถ่ายทอดพลังหยินให้เขาเพื่อหล่อเลี้ยงวิญญาณของเขา
เมื่อผีได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังหยิน สีหน้าที่เหม่อลอยก็เปลี่ยนไป มันพึมพำว่า “สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ราชสำนัก โปรดส่งกำลังพลไปปราบปราม…”
หลี่เมี่ยวเจินถามติดต่อกันหลายครั้ง ผีก็พูดเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเขาก็พูดอะไรไม่ออกอีก
“สังหารเลือดหมู่สามพันลี้…” หลี่เมี่ยวเจินพึมพำซ้ำๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“จะจัดการกับเขาอย่างไร” ซูซูตระหนักได้ถึงความเคร่งเครียดของเรื่องนี้
“วิญญาณของเขาไม่สมบูรณ์ หากอยากให้เขาเล่าเนื้อหาต่อจากนั้น ก็ต้องเลี้ยงวิญญาณ แต่การเลี้ยงวิญญาณเป็นกระบวนการที่ยาวนานและไม่อาจคาดหวังได้ในระยะสั้น” ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินจับจ้องอยู่ที่ศพและฉุกคิดขึ้นมาได้
“หากสืบหาตัวตนของชายคนนี้ได้ พวกเราก็อาจจะได้รู้เรื่องราวเบื้องลึกมากขึ้นและรู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร”
“สิ่งที่นายท่านพูดก็มีเหตุผล” ซูซูพยักหน้าอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ถามว่า “แล้วจะสืบหาอย่างไร”
‘ข้าจะรู้ได้อย่างไร…’ หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดไม่พูดไม่จา นางครุ่นคิดไม่หยุด ในหัวนึกถึงประสบการณ์ที่ร่วมมือกับสวี่ชีอันสืบสวนคดีตอนคดีอวิ๋นโจวโดยไม่ตั้งใจ
นางพยายามนึกย้อนกลับไปและพยายามเรียนรู้จากความคิดของสวี่ชีอันเพื่อไขปริศนาของศพนี้ แต่นางก็ล้มเหลว
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงัน ซูซูเอ่ยเสียงเบา “หากเจ้าเด็กนั่นยังอยู่ เขาต้องมีวิธีแน่นอน”
‘เจ้าก็คิดถึงเขาเหมือนกันหรือ’ หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าอย่างสงบเยือกเย็นและกล่าวว่า “เขาเป็นคนที่มีความสามารถในการสืบสวนคดียอดเยี่ยมที่สุดที่ข้าเคยเจอ อืม นำศพกลับไปที่เมืองหลวงและมอบให้ที่ทำการปกครองเถอะ ชายคนนี้ถูกสังหารในภูเขารกร้างซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง แปดสิบเปอร์เซ็นต์ถูกฆ่าตัดตอน”
พูดจบ หลี่เมี่ยวเจินก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาและเล็งไปที่ศพ แสงสว่างวาบและศพก็หายไป จากนั้นนางก็เปิดถุงหอมที่เอวและเก็บเศษซากวิญญาณเข้าไปในนั้น
เพราะเหตุการณ์นี้ นายบ่าวจึงไม่ได้เดินเล่นอย่างสบายใจอีกต่อไป หลี่เมี่ยวเจินเก็บซูซูเข้าไปในถุงหอม เรียกกระบี่บินออกมาและกระโดดขึ้นไปบนสันกระบี่
กระบี่บินทะลวงผ่านอากาศเสียงดัง ‘ฟ้าว’
หนึ่งเค่อต่อมา นางก็เห็นเค้าโครงสูงตระหง่านของเมืองหลวงและเห็นหมู่บ้านกับเมืองเล็กๆ ที่ตั้งและกระจายอยู่รอบเมืองหลวง
หลี่เมี่ยวเจินลดกระบี่บินลงและลงสู่พื้นที่นอกเมือง กระบี่บินมีดวงวิญญาณ มันจึงกลับเข้าไปในฝักโดยอัตโนมัติ
‘ฟึ่บ!’
นางเขย่ากระจกหยกบานเล็กและมนุษย์กระดาษเหมือนจริงก็ลอยออกมาจากกระจก ซึ่งมีกิ่งไผ่เป็นกระดูกและมีคิ้วดั่งภาพวาด
เมื่อสะบัดถุงหอม ซูซูก็กลายเป็นควันสีเขียวลอยออกมาและลอยม้วนเข้าไปในมนุษย์กระดาษ
มนุษย์กระดาษมีชีวิตขึ้นมาทันที หน้าตาปราดเปรียว ร่างกายที่ทำจากกระดาษกลายเป็นเลือดเนื้อ กระโปรงยาวพลิ้วไหว
นายบ่าวยิ้มให้กันและเข้าไปในเมืองหลวง
“นายท่าน ข้ามาที่เมืองหลวงเป็นครั้งแรก ว่ากันว่านี่เป็นเมืองที่ดีที่สุดในต้าฟ่งและเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดบนแผ่นดิน” ซูซูเอ่ยอย่างตื่นเต้น หลังจากข้ามผ่านประตูเมือง นางก็มองไปรอบๆ อย่างอดใจรอไม่ไหว
“ระงับจิตใจหน่อยเถิด ชีวิตมนุษย์กับชีวิตผีของเจ้ารวมกันก็เกือบจะสี่สิบปีแล้ว” หลี่เมี่ยวเจินพูดและเดินไปทางป้ายประกาศข้างกำแพงเมือง
ทุกครั้งที่มาถึงเมือง นางจะเดินไปดูป้ายประกาศโดยสัญชาตญาณ บนนั้นจะมีประกาศที่เจ้าหน้าที่ลงไว้ รวมถึงพระราชกฤษฎีกาของราชสำนัก ประกาศจับ พระราชโองการและอื่นๆ
“นายท่านทำนิสัยเดิมอีกแล้ว เมืองหลวงมียอดฝีมือมากมายมารวมตัวกัน แม้ว่าจะมีพระราชโองการก็ไม่ถึงตาท่านลงมือแทนสวรรค์หรอก” ซูซูถือร่มสีแดงกำบังดวงอาทิตย์
เวลานี้ นางเห็นร่างของหลี่เมี่ยวเจินแข็งทื่อไปทันที ดวงตาเบิกกว้างช้าๆ จ้องมองประกาศบางแผ่นบนกำแพงและแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา
‘นางไม่ค่อยเสียอาการเช่นนี้ นางเห็นอะไร’ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซูซูเดินไปยืนเคียงข้างหลี่เมี่ยวเจินและมองไปที่พระราชโองการ
วินาทีต่อมา นางก็เบิกดวงตากลมโตกว้าง ริมฝีปากแดงก่ำอ้าเล็กน้อย ราวกับว่านางเห็นผี…คำเปรียบเทียบนี้ไม่เหมาะสม ราวกับว่านางเห็นนักพรตเต๋าที่ลงมือแทนสวรรค์
ไม่รู้ว่านางตกใจเกินไปหรือตื่นเต้นเกินไป มือที่ถือร่มสีแดงสั่นเล็กน้อย
…
แสงอาทิตย์ยามบ่ายแผดเผาเล็กน้อย สวี่ชีอันนำฆ้องทองแดงที่อยู่ใต้บังคับบัญชาไปลาดตระเวน เมื่อไม่นานมานี้ เว่ยเยวียนยอมรับคำแนะนำของเขาและจัดตั้งทีมชั่วคราวบนพื้นฐานของเขา ทีมที่ประกอบด้วยชาวยุทธภพ
ปล่อยให้พวกเขารับผิดชอบหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเมืองหลวงและราชสำนักจะมอบเงินเดือนกับรางวัลที่ค่อนข้างเอื้อเฟื้อให้แก่พวกเขา
โดยพื้นฐานแล้วนโยบายนี้แก้ไขปัญหาความโกลาหลด้านความปลอดภัย แต่เหตุใดเหตุการณ์โจรกรรมกับปล้นสะดมถึงยังมีให้เห็นบ่อยๆ
เพราะชาวยุทธภพส่วนใหญ่เป็นคนใฝ่ต่ำ ไม่มีงานการที่แน่นอน ราคาของในเมืองหลวงก็แพง หากไม่ขโมยไม่ปล้นจะอยู่ได้อย่างไร
ให้งานที่ทำเงินแก่พวกเขา ให้พวกเขารักษาความปลอดภัยและใช้หอกของพวกเขาโจมตีโล่ของพวกเขา แน่นอนว่า ทีมรักษาความปลอดภัยที่ประกอบด้วยชาวยุทธภพทุกทีมล้วนมีกองกำลังของราชสำนักสังเกตการณ์และป้องกันพวกเขาโจรกรรม
หลังจากการปราบปรามสองสามวันแรก ชาวยุทธภพที่หลั่งไหลเข้ามาในเมืองประพฤติตัวเรียบร้อยขึ้นมาก
ดังนั้น สวี่ชีอันจึงวางแผนจะไปฟังดนตรีที่หอคณิกา
“ชีวิตสุขสบาย มีราคะง่าย แต่เมื่อพึงพอใจกับเรื่องนี้แล้ว มนุษย์ก็จะแสวงหาความเพลิดเพลินในระดับที่สูงยิ่งขึ้น นั่นก็คือความเพลิดเพลินทางจิตวิญญาณ โลกนี้ไม่มีคอมพิวเตอร์ จึงเล่นเกมดูหนังไม่ได้ มีเพียงไปชมการแสดงและฟังดนตรีที่หอคณิกาเพื่อรักษาชีวิตที่ดี…”
สวี่ชีอันนำเหล่าฆ้องทองแดงเข้าไปในหอคณิกา ขอห้องส่วนตัว ดื่มชา กินผลไม้และชมอุปรากรจีนในห้องโถงใหญ่
ทันใดนั้น อาการใจสั่นที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น
สวี่ชีอันหันหลังกลับเพื่อกันสายตาของเหล่าฆ้องทองแดง เขาหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาดูและตกใจจนหน้าถอดสี
หมายเลขสอง ‘สวี่ชีอันยังไม่ตายหรือ?!’
หมายเลขสอง ‘เหตุใดถึงไม่มีใครบอกข้าว่าสวี่ชีอันยังไม่ตาย เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่บอกข้าว่าสวี่ชีอันยังไม่ตาย!’
หลังจากส่งข้อความมาสองข้อความก็ไร้สุ้มเสียง
หมายเลขสี่ ‘หืม หลี่เมี่ยวเจินไม่รู้ว่าสวี่ชีอันยังมีชีวิตอยู่หรือ’
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความแสดงความสงสัย
หมายเลขหนึ่ง ‘หลังจากคดีอวิ๋นโจว นางก็วิ่งไปทั่วทุกแห่ง จะไม่รู้ว่าสวี่ชีอันตายและฟื้นคืนชีพก็เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อข่าวพิธีต้าวฮวดปล่อยออกมา นางจะรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว อา นางกับสวี่ชีอันผูกสัมพันธไมตรีกันอย่างลึกซึ้งที่อวิ๋นโจว จะตื่นเต้นเช่นนี้ก็ไม่แปลก’
เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าหมายเลขหนึ่งกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง
หมายเลขหก ‘เหตุใดหมายเลขสองถึงไม่พูดอะไรแล้ว’
เหิงหย่วนก็เข้าร่วมการสนทนาเช่นกัน
สวี่ชีอันครุ่นคิด พิจารณาและส่งข้อความ หมายเลขสาม ‘หมายเลขสอง ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า…’
เขายังไม่ได้ส่งข้อความนี้ออกไป ทุกคนในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีก็เห็นข้อความที่นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งมา ‘หลี่เมี่ยวเจินมาถึงเมืองหลวงแล้ว’
หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่ได้รับข้อความใดอีก
ข้างถนน หลี่เมี่ยวเจินที่สั่นไปทั้งตัวถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและป้อนข้อความด้วยนิ้วที่สั่นเทา ‘สวี่ชีอัน ไอ้สารเลว! เจ้าคิดจะหลอกพวกเราไปถึงเมื่อไหร่’
นางส่งข้อความออกไป แต่ไม่มีการตอบกลับเป็นเวลานานมาก
หลี่เมี่ยวเจินโกรธจนตัวสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ และส่งข้อความว่า ‘เป็นไปได้หรือไม่ว่า พวกเจ้าทุกคนรู้ว่าเขาคือหมายเลขสาม พวกเจ้ารวมหัวกันหลอกข้าหรือ’
มีเพียงแบบนี้เท่านั้นที่จะอธิบายได้ว่าทำไมทุกคนไม่พูดถึงข่าวที่สวี่ชีอันยังไม่ตายและอธิบายได้ว่าทำไมทุกคนถึงนิ่งเงียบในขณะนี้
หมายเลขเก้า ‘เมี่ยวเจิน พวกเขาไม่รู้ตัวตนของสวี่ชีอัน ส่วนเหตุใดเขาถึงฟื้นคืนชีพ เรื่องมันยาว ข้าจะให้ที่อยู่เจ้า เจ้าก็มาหาข้าที่นี่’
เวลานี้หลี่เมี่ยวเจินได้รับข้อความของนักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินจ้องมองข้อความของนักบวชเต๋าจินเหลียนด้วยอารมณ์ซับซ้อน นางแยกไม่ออกว่าตัวเองโกรธ มีความสุข หรือว่าละอายใจ
“นายท่าน เจ้าเด็กคนนั้นยังไม่ตายจริงๆ หรือ”
หลังจากข้อความจบ ซูซูก็อดถามไม่ได้ ใบหน้าอันงดงามของนางแสดงความประหม่าระคนปลื้มปริ่มออกมา ราวกับว่าความเป็นความตายของชายคนนั้นสำคัญสำหรับนางมาก
หลี่เมี่ยวเจินระงับความโกรธและส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา
เมื่อนึกถึงตัวเองในช่วงเวลานี้ นางมักจะทอดถอนใจกับ ‘ปีศาจสาว’ ที่อยู่ข้างๆ ว่าพระเจ้าอิจฉาพรสวรรค์ของเขาและน่าเสียดายที่สวี่ชีอันตาย นางจึงรู้สึกละอายใจจนอยากปิดหน้ามุดดินหนี
ซูซูก็มีความรู้สึกทางจิตใจแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นนายบ่าวจึงมองหน้ากันและละสายตาอย่างรู้ใจ
…
หมายเลขเก้า ‘หลี่เมี่ยวเจินเข้ามาในเมืองแล้ว เจ้าต้องการพบนางหรือไม่ แม้ว่าข้าจะสกัดกั้นนาง เพื่อไม่ให้นางพูดมากเกินไป แต่คนที่ควรมาก็ยังต้องมา’
ในหอคณิกา สวี่ชีอันได้รับข้อความของนักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว
ท่านนักพรต ทำได้ดีมาก! คิ้วของสวี่ชีอันเท่ากัน เขาเผยสีหน้ามีความสุขออกมาและส่งข้อความตอบกลับ ‘ข้าจะไปพบนาง’
หมายเลขเก้า ‘มาที่พักของข้า’
สวี่ชีอันเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพี โยนเม็ดเงินสองสามเม็ดและพูดว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ พวกเจ้าดื่มเสร็จก็ออกไปลาดตระเวนต่อ”
“ขอรับ ใต้เท้า”
…
เมืองชั้นนอก ณ ประตูลานเล็กที่ปลูกต้นหลิวไว้แห่งหนึ่ง
หลี่เมี่ยวเจินที่สวมชุดลัทธิเต๋าเคาะประตูลานเบาๆ หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ประตูลานก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ เสียงอันอ่อนโยนของนักบวชเต๋าจินเหลียนดังขึ้น “เชิญเข้ามา”
หลี่เมี่ยวเจินนำผีรับใช้ ซูซูเข้าไปข้างใน เดินผ่านลานเล็ก ข้ามธรณีประตูและเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง
เขามีผมสีขาวหงอกและปล่อยเส้นผมห้อยลงมา ภาพลักษณ์ดูกระเซิงสบายๆ เช่นในอดีต
“เยี่ยมมาก สมกับที่เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของนิกายสวรรค์ เจ้าก้าวเข้าสู่ระดับรวมปราณแล้ว” นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยชม
ลัทธิเต๋าระดับสี่ รวมปราณ!
“เคล็ดกระบี่ของฉู่หยวนเจิ่นยอดเยี่ยมมาก หากไม่ก้าวเข้าสู่ระดับสี่ เกรงว่าข้าคงเอาชนะเขายาก” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว
“ข้าจำได้ว่าศิษย์พี่ของเจ้าอยู่ระดับสี่ รวมปราณนานแล้ว เขายังไม่ตกอีกหรือ” นักบวชเต๋าจินเหลียนถาม
“ใครจะรู้ บางทีเขาอาจจะตายเพราะการแก้แค้นของผู้หญิงสักคน บางทีเขาอาจจะถูกคนสนิทสักคนกักขังและทำเป็นสิ่งต้องห้าม ข้าคร้านจะใส่ใจเรื่องของเขา” หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
นักบวชเต๋าจินเหลียนพึมพำ “พูดตามตรง ข้าไม่อยากให้เจ้ากับฉู่หยวนเจิ่นต่อสู้กันจนตัวตาย ถึงขนาดไม่อยากเห็นพวกเจ้าสองคนประมือกัน”
หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยอย่างราบเรียบ “นี่เป็นชะตากรรมของลัทธิเต๋า สองนิกายสวรรค์กับมนุษย์ต่อสู้กันมานานหลายปี ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ ตอนนี้ท่านอาจารย์ก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งและสามารถยุติความขัดแย้งระหว่างลัทธิเต๋าได้ในที่สุด”
นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้มและไม่ได้คุยหัวข้อนี้ต่อ
หลี่เมี่ยวเจินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เกิดอะไรขึ้นกับสวี่ชีอัน”
“เขาไม่ได้ตาย วันนั้นเขากินยาคืนชีพของสำนักโหราจารย์และแกล้งตายเท่านั้นเอง…” นักบวชเต๋าจินเหลียนอธิบายเหตุผลอย่างเรียบง่าย
“เหตุใดถึงต้องปิดบังพวกเราด้วย” ซูซูพูดอย่างเดือดดาล
“คำถามนี้ พวกเจ้าถามเขาเองเถิด” นักบวชเต๋าจินเหลียนมองไปทางลานด้วยรอยยิ้ม
เสียงเกือกม้า ‘กุบกับ กุบกับ’ ดังขึ้น สวี่ชีอันขี่ม้ามาจอดอยู่ด้านนอกลาน
เขาผูกแม่ม้าตัวน้อย เดินเข้าไปในลาน ก้าวเข้ามาในห้องและเผยรอยยิ้มเขินอายแต่ยังคงมีมารยาทให้หลี่เมี่ยวเจิน
“ไม่เจอกันนาน เหตุใดแม่ทัพหลี่ถึงเปลี่ยนการแต่งกายเสียเล่า”
จากนั้นเขาก็มองไปทางเทพธิดามนุษย์กระดาษของซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวและหยอกล้อ “แม่นางซูซู เจ้าตัดสินใจแล้วหรือยังว่าจะมาเป็นนางสนมของข้าหรือไม่”
“หึ!”
ซูซูจ้องมองเขาและเบือนหน้าหนีด้วยท่าทางรังเกียจ
“ข้าเป็นศิษย์ของนิกายสวรรค์และข้าก็แต่งตัวเช่นนี้ในการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์”
หลี่เมี่ยวเจินพูดจบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและส่งเสียงฮึดฮัด “ข้าจะเอาเรื่องที่เจ้าคือหมายเลขสามไปป่าวประกาศให้ผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทุกคนรู้”
…………………………………………………