ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 341 เดินทางขึ้นเหนือ
บทที่ 341 เดินทางขึ้นเหนือ
“สองเหตุผล”
เว่ยเยวียนวางถ้วยชาในมือลง วิเคราะห์ให้ฆ้องเงินคนสนิทฟังว่า “ผู้ตรวจการเป็นตัวแทนของราชสำนัก และมีอำนาจมาก แม้แต่อ๋องสยบแดนเหนือ อย่างมากที่สุดก็แค่สถานภาพเท่าเทียมกัน ฝ่าบาทไม่ทรงประสงค์ที่จะหาผู้ตรวจการมาบีบบังคับอ๋องสยบแดนเหนือเพราะความเห็นแก่ตัว หรืออาจจะคำนึงถึงสถานการณ์ของสงคราม
“การแต่งตั้งฆ้องเงินเป็นขุนนางผู้รับผิดชอบจะไม่มีปัญหาดังกล่าว”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “หากเป็นเช่นนี้ การสืบสวนของข้าจะไม่เป็นการถูกมัดมือมัดเท้าหรือ”
เว่ยเยวียนยิ้มแล้วพูดว่า “งานดีใครๆ ก็แย่งชิงกัน ไม่เช่นนั้นเหล่าขุนนางจะเลือกเจ้าด้วยเหตุใด สังหารเลือดหมู่สามพันลี้…หากอ๋องสยบแดนเหนือรายงานเท็จเรื่องสถานการณ์ทางการทหาร และพยายามจะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ ขุนนางผู้รับผิดชอบสืบไม่พบก็แล้วไป แต่หากสืบพบละก็…”
ถ้าสืบพบก็จะโดนฆ่าปิดปาก? สวี่ชีอันหนาวหัวใจขึ้นมาทันที
“นี่คือเหตุผลที่สองที่เหล่าขุนนางเลือกเจ้า” เว่ยเยวียนกล่าวอย่างสบายๆ
เฒ่าเหรียญปากผีพวกนี้…ดูเหมือนเว่ยกงจะไม่กังวลแม้แต่น้อย? สวี่ชีอันรีบถามอย่างรวดเร็วว่า “ข้าควรจะทำอย่างไร”
สำหรับเรื่องนี้ เขามีความคิดของตัวเอง แต่เขาก็ยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อาวุโส และยอมรับโดยดี
‘การกล่าวตักเตือนอย่างตรงไปตรงมา’ เป็นวิธีที่ดี
“เสแสร้งแกล้งทำ ตรวจสอบอย่างลับๆ”
เว่ยเยวียนได้ให้สัจธรรมแปดคำ แล้วก็พูดต่อว่า “หลังจากที่เจ้าไปทางเหนือแล้ว จำไว้ว่าทำอะไรอย่าวู่วาม และพยายามอย่าขัดแย้งกับผู้ใต้บังคับบัญชาของกอ๋องสยบแดนเหนือ ทำให้ศัตรูเห็นความอ่อนแอ จะทำให้พวกเขาคลายความระมัดระวังได้
“หากสามารถสอบสวนอย่างลับๆ ก็อย่าทำอย่างเปิดเผยโดยเด็ดขาด หากพบหลักฐานที่เป็นภัยต่ออ๋องสยบแดนเหนือ ให้เก็บซ่อนไว้ให้ดี เมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้วจึงนำออกมาแสดง หากเจอการลอบสังหาร อ๋องสยบแดนเหนือไม่น่าจะลงมือเอง ข้าจะให้หยางเยี่ยนไปกับเจ้า
“กำลังของตัวเจ้าเองแข็งแกร่งมากพอ และมีพลังเทพวชิระอยู่บ้าง ในด้านนี้ไม่กังวล”
ถ้าอ๋องสยบแดนเหนือลงมือเอง แม้ว่าจะส่งฆ้องทองคำไปมากเท่าไหร่ ก็เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทหารระดับสามแข็งแกร่งเพียงใด แต่ทั้งราชสำนักมีระดับสามเพียงคนเดียว ส่วนระดับสี่นั้นกลับมีอยู่มากมาย…สวี่ชีอันพยักหน้า พูดว่า
“ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้น”
อันที่จริงเขาไม่กลัวการถูกลอบสังหาร แต่สิ่งที่เขากลัวคืออ๋องสยบแดนเหนือจะลงจากตำแหน่งเอง ถึงเวลานั้น เขาคงทำทุกอย่างเพื่อเรียกไต้ซือเสินซูมา การต่อสู้กับทหารระดับสาม ไต้ซือเสินซูจะต้องกลืนกินเลือดอย่างบ้าคลั่ง และจะฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่สวี่ชีอันไม่อยากเห็น
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปก็ต้องออกท่องไปในยุทธภพ และไม่สามารถกลับราชสำนักได้อีก หากเป็นเช่นนี้ ผู้บงการเบื้องหลังก็จะดีใจเป็นอย่างมาก…
เว่ยเยวียนกล่าวต่อไปว่า “เจ้าต้องรักษาสมดุลเอง หากสถานการณ์ไม่ดี คดีนี้สามารถรามือได้ หลังจากกลับเมืองหลวงแล้ว อย่างมากเจ้าก็ถูกถามหาความรับผิดชอบ”
“ข้า…”
สวี่ชีอันลังเลที่จะพูด จู่ๆ คำว่า ‘สังหารเลือดหมู่สามพันลี้’ ก็ผุดขึ้นมาในสมอง
“หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ข้า ข้าจะไม่รามือ จะไม่เมินเฉย” เขาพูดเสียงต่ำ พูดจบสวี่ชีอันก็กล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า
“แต่ข้าจะไม่วู่วาม เว่ยกงวางใจได้”
เว่ยเยวียนมองดูเขาครู่หนึ่ง ในดวงตามีทั้งความชื่นชมและจนใจ ในที่สุดก็กลายเป็นความปลาบปลื้ม แล้วพูดว่า “อีกสามวันออกเดินทาง ช่วงเวลานี้เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
…
จวนฮว๋ายอ๋อง
ในสวนหลังจวน ดอกไม้บานสะพรั่ง ฝูงผึ้งบินว่อนส่งเสียงดังหึ่งๆ ชุลมุนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ ผีเสื้อหลากสีโบยบิน ไล่ตามกันอย่างสนุกสนาน
อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมจรุงใจ พระมเหสีทรงสวมผ้าคลุมพระพักตร์ ในพระหัตถ์ถือตะกร้าไม้ไผ่ ลากชายกระโปรงยาว ทรงพระดำเนินอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้
ในตะกร้าไม้ไผ่มีดอกไม้สดที่อ่อนช้อยงดงามอยู่เต็มตะกร้า
พระองค์ทรงโน้มพระวรกายลงไปเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่ง แล้วทรงสูดดมด้วยปลายพระนาสิกเบาๆ ดวงพระเนตรโค้ง เผยให้เห็นถึงพระพักตร์ที่ทรงปีติ
พระมเหสีที่ทรงสวมชุดชาววังวิจิตรตระการตาในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ พระปฤษฎางค์โค้งงดงาม ผ้ารัดพระกฤษฎีคอดกิ่ว สัดส่วนของพระอังสาและพระศอเหมาะสม
พระเกศาที่รวบขึ้นตกลงมาประปราย พระศอเรียวยาวที่เห็นคลุมเครือนั้น ขาวผุดผ่อง
แค่มองด้านหลัง รูปร่างก็เรียกได้ว่าสวยงามเป็นหนึ่ง ผู้หญิงเช่นนี้ถึงแม้หน้าตาจะไม่นับว่าสวยมาก แต่ก็สามารถถูกผู้ชายมองว่าเป็นหญิงงามได้เช่นกัน
ฉู่เซียงหลงที่สวมเสื้อเกราะอ่อนเข้าไปในสวนหลังจวน ขณะเดิน เกล็ดบนเสื้อเกราะส่งเสียงดังก๊องแก๊ง
เขาหยุดเดิน รักษาระยะห่าง กุมหมัดแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงมีพระบัญชา อีกสามวัน พระมเหสีจะต้องทรงพระดำเนินไปชายแดนภาคเหนือพร้อมกับคณะสืบสวนคดี พระมเหสีทรงเตรียมตัวให้พร้อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงพระเนตรโค้งค่อยๆ ราบเรียบลง และค่อยๆ เย็นชา พระหัตถ์กำกิ่งดอกไม้แน่น จนข้อนิ้วพระหัตถ์เป็นสีขาว ทรงตรัสอย่างเฉยเมยว่า “มีอะไรอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้วก็จงไสหัวไป”
ฉู่เซียงหลงประสานมือ แล้วหันหลังเดินจากไป
…
เมื่อรู้ว่าอีกสามวันตนเองจะต้องเดินทางไปชายแดนภาคเหนือ สวี่ชีอันจึงออกจากที่ทำการปกครอง ขี่แม่ม้าน้อยกลับถึงบ้าน เมื่อตามหาหลี่เมี่ยวเจินซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกลมหายใจอยู่จนพบ ก็พูดว่า
“ตามข้าไปที่สำนักอวิ๋นลู่ได้หรือไม่”
“ไม่ไป” หลี่เมี่ยวเจินปฏิเสธหนักแน่น
หึ ผู้หญิงเช่นเจ้าไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย นิสัยแข็งกร้าว… สวี่ชีอันประสานมือ “มีเรื่องสำคัญ”
ดวงตาที่ใสราวน้ำในสระของหลี่เมี่ยวเจินมองมาอย่างรอคอยคำพูดต่อจากนั้น
“ยังจำคดีที่เจ้าค้นพบได้หรือไม่ คดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้” สวี่ชีอันเดินเข้ามาในห้อง ปลดดาบออกแล้ววางลงบนโต๊ะ รินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว แล้วอธิบายว่า
“ราชสำนักแต่งตั้งให้ข้าเป็นขุนนางผู้รับผิดชอบ อีกสามวัน ต้องนำคณะทูตเดินทางไปชายแดนทางเหนือ เพื่อตรวจสอบคดีนี้ให้ถึงที่สุด”
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกกระปรี้ประเปร่าขึ้นมาทันที เปลี่ยนท่านั่งจากนั่งสมาธิเป็นนั่งทับส้นเท้าตัวตรง แล้วพูดว่า “ข้าจะไปกับเจ้า”
อนิจจา นักปราชญ์หญิงผู้สง่างามของนิกายสวรรค์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเช่นนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเป็นการก่อกรรมทำเข็ญหรือไม่…สวี่ชีอันพึมพำเบาๆ ว่า “ราชสำนักมีกฎของราชสำนัก เจ้าไม่ได้เป็นขุนนาง ไม่สามารถเข้าร่วมคดีนี้ได้”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าเดินทางล่วงหน้าไปก่อน พวกเราไปพบกันที่ชายแดนภาคเหนือ โดยติดต่อกันทางหนังสือปฐพี”
เขามาหาหลี่เมี่ยวเจินเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เพื่อเชิญให้นักปราชญ์หญิงแห่งนิกายสวรรค์เข้าร่วม ไม่สิ แทบจะไม่ต้องเอ่ยปากเชิญด้วยซ้ำ ด้วยลักษณะนิสัยของหลี่เมี่ยวเจินที่เกลียดชังความชั่วร้ายเหมือนศัตรู ย่อมต้องเป็นฝ่ายขอเข้าร่วมเองอย่างแน่นอน
มีระดับสี่ของลัทธิเต๋าคอยแอบเป็นผู้ช่วย ความมั่นใจในการคลี่คลายคดีจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ข้ายังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว
“เชิญพูดมาได้เลย”
“ขณะที่เจ้าสอบสวนคดี ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า หากเป็นเพราะเหตุอื่นไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เจ้าจะต้องเล่ากระบวนการทุกขั้นตอน และแนวคิดในการคลี่คลายคดีให้ข้าฟังอย่างละเอียดในภายหลัง” ท่าทางหลี่เมี่ยวเจินจริงจัง
นางต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการคลี่คลายคดีจากข้า? อืม ต่อไปนางจะต้องยินดีช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแน่นอน ระหว่างนั้นย่อมต้องมีการกำจัดคนพาล และช่วยคนที่ไม่ได้กระทำผิด ดังนั้นจึงต้องการที่จะเรียนรู้ทักษะด้านตรรกะและเหตุผลและทักษะการสืบสวนคดีอาชญากรรม…สวี่ชีอันเห็นด้วยกับคำขอร้องของนาง จึงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ตกลง ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
หลี่เมี่ยวเจินนั่งตัวตรง แสดงท่าทางตั้งใจฟัง
“ขณะที่เจ้าติดต่อกับข้าผ่านทางเศษหนังสือปฐพี อย่าลืมขอให้นักบวชเต๋าจินเหลียนปิดกั้นคนอื่นด้วย”
“…” นักปราชญ์หญิงของนิกายสวรรค์เหลือกตาใส่เขา
ทั้งสองออกจากเมืองทันที คนหนึ่งควบม้าและอีกคนหนึ่งเหยียบดาบเหินไป
เมื่อเขามาถึงภูเขาชิงหยุน สวี่ชีอันได้เข้าพบปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สามท่าน เขาพูดด้วยท่าทางเก้อเขินว่า “เอ่อ หลายวันมานี้ความปราดเปรื่องในการประพันธ์ของศิษย์ติดขัดยิ่งนัก ทำอย่างไรก็คิดกลอนดีๆ ไม่ออก อาจารย์ทุกท่านได้โปรดอภัยให้ด้วย”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สามคนที่สวมเสื้อและหมวกลัทธิขงจื๊อมองมาที่เขาอย่างสงบ “ไม่เป็นไร มีธุระอะไรหรือ”
สวี่ชีอันกระแอมครั้งหนึ่ง แล้วพูดอย่างหน้าหนาว่า “ตำราเวทมนตร์ที่อาจารย์หลี่และอาจารย์จางมอบให้ข้า ข้าได้ใช้ไปมากแล้วดังนั้น…”
‘หนังสือเวทมนตร์’ ที่หลี่มู่ไป๋และจางเซิ่นมอบให้เขานั้น ส่วนใหญ่เป็นเวทมนตร์ระดับต่ำ ในจำนวนนั้นเป็นวิชามองปราณของสำนักโหราจารย์มากที่สุด
นี่เป็นเพราะว่าบรรดาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มีสินค้ากักเก็บไว้ไม่มาก และมีเวทมนตร์ระดับสูง พวกเขาต้องเก็บไว้ใช้เอง ยิ่งไปกว่านั้น เวลานั้นสวี่ชีอันเพิ่งอยู่ในระดับหลอมปราณเท่านั้น หากให้เวทมนตร์ที่ทรงพลังเกินไปกลับจะเป็นการทำร้ายเขาเสียด้วยซ้ำไป
ในหนังสือเวทมนตร์ ทักษะที่ทรงพลังที่สุดบันทึกโดยหลี่มู่ไป๋และจางเซิ่น ‘ปฏิบัติตามกฎ’ ทักษะขั้นสูงของลัทธิขงจื๊อ ทักษะขั้นสูงของระบบอื่นๆ แทบจะไม่มี
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามมองมาที่เขา ผ่านไปครู่ใหญ่หลี่มู่ไป๋ก็กล่าวว่า “หลายวันมานี้ความปราดเปรื่องในการประพันธ์ติดขัดยิ่งนัก…”
จางเซิ่น “รู้สึกไม่สบาย…”
เฉินไท่ “ความคิดและกำลังกายเหนื่อยล้าเกินไป…”
ทุกคนที่ยินยอมถูกกินฟรี ชาติที่แล้วล้วนเป็นเทวดาปีกหัก พวกท่านทั้งสามไม่ใช่อย่างแน่นอน… สวี่ชีอันกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าอยากจะขอให้อาจารย์ทั้งสามช่วยเหลือ ช่วยข้าบันทึกเวทมนตร์สื่อวิญญาณของลัทธิเต๋า”
“ได้!” ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามพยักหน้า
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วและพูดว่า “เวทมนตร์สื่อวิญญาณจะต้องจัดตั้งค่ายกล”
จางเซิ่นโบกมือ พูดว่า “เจ้าทำหน้าที่แสดง ที่เหลือมอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา”
ขณะพูด เขาหยิบหนังสือปกสีน้ำตาลที่ไม่มีตัวอักษรออกมา แล้วค่อยๆ บดมัน
หลี่เมี่ยวเจินเห็นดังนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก หยิบวัตถุลึกลับออกมาจากชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี จัดตั้งค่ายกล และทำการแสดงเวทมนตร์ของลัทธิเต๋า
ภายในห้อง ลมหนาวพัดมาเป็นระลอก ราวกับเปลี่ยนจากกลางฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูหนาวช่วงที่หนาวที่สุด
จางเซิ่นหยิบปากกาขึ้นมา แล้วเขียนตัวอักษรลงในหนังสือ ทุกครั้งที่ลงมือเขียนก็จะเกิดแสงสว่างขึ้น
ค่ายกลรวมวิญญาณไม่สามารถเรียกวิญญาณออกมาได้ นับเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ภูตผีปีศาจไม่สามารถอยู่ในภูเขาชิงหยุนได้ ภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่ง บรรดาภูตผีปีศาจทั้งหลายจะสลายไป
จางเซิ่นหยุดเขียนได้เหมาะกับเวลา กล่าวว่า “พอแล้ว บันทึกได้สิบสองแผ่น เพียงพอหรือไม่”
“พอแล้ว พอแล้ว…”
สวี่ชีอันพยักหน้า พร้อมกับทอดถอนใจกับระบบที่ยอดเยี่ยมของลัทธิขงจื๊อ เช่นเดียวกับการอ่านหนังสือ เนื้อหาที่เคยอ่านแล้ว ก็สามารถจดจำได้ สิ่งที่จดจำได้ ก็เขียนลงบนกระดาษด้วยปากกาได้
“ข้าถือโอกาสเขียนคาถาลัทธิขงจื๊อให้เจ้าด้วย อาการตกค้างค่อนข้างน่ากลัว เจ้าคงจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ อย่าใช้มัน” จางเซิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
สวี่ชีอันรับหนังสือมาด้วยความดีใจ ถามข้อสงสัยที่รบกวนจิตใจเขามาเป็นเวลานาน
“ศิษย์ไม่เข้าใจ อาจารย์ทุกท่านหลบเลี่ยงการแว้งกัดได้อย่างไร”
การแว้งกัดของเวทมนตร์ลัทธิขงจื๊อน่ากลัวขนาดนี้ หากบรรดาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ไม่สามารถหลบเลี่ยงการแว้งกัดเช่นนี้ได้ ก็จะไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างยาวนาน
สำหรับคำถามของสวี่ชีอัน จางเซิ่นยิ้มและกล่าวว่า “ลัทธิขงจื๊อระดับสี่ เรียกว่า สุภาพชน สุภาพชนมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่ง ความชั่วร้ายทั้งหลายไม่สามารถรุกรานได้”
ความชั่วร้ายทั้งหลายไม่รุกราน นี่หมายความว่าเมื่อเข้าสู่ระดับวิญญูชนแล้ว ก็จะสามารถตีกลับหรือสามารถต้านทานการแว้งกดได้…แบบนี้จะบกพร่องเกินไปหรือไม่ สวี่ชีอันรู้สึกเสียใจที่เขาเดินสายระบบทหาร
สุภาพชนคือการใช้ปากแต่ไม่ใช้มือ ใช้ปากสร้างศัตรู จึงนับเป็นวิถีในอุดมคติของเขา
หลี่มู่ไป๋กล่าวเสริมว่า “หากร่ายเวทมนตร์ด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าเช่นนั้น ด้านที่ถูกเวทมนตร์ก็จะรับผลของการแว้งกัดแทน”
นี่มัน… รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัวลง ดีใจอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบได้ที่ตัวเองไม่ได้ทำให้อุดมคติคล้อยตามความเป็นจริง
‘เตียวเสี้ยนของข้าอยู่ที่เอว’…การแว้งกัดของเวทมนตร์ที่มาจากคำพูดประโยคนี้ อาจเป็นการหดองคชาตเข้าไปในรอยต่อ หรืออาจเป็นลวดพันเอว หรือกระทั่ง…ระเบิด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เอ้อร์หลาง ในใจของข้านั้น เส้นแสดงสถานะลดลงไม่มีค่าสำหรับใช้ประโยชน์แล้ว… เขาเยาะเย้ยอยู่ในใจ
กล่าวอำลาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนแล้ว เขาก็พาหลี่เมี่ยวเจินออกจากสำนักอวิ๋นลู่ เดินตามบันไดลงไปที่ตีนเขา
“ระบบลัทธิขงจื๊อช่างอัศจรรย์จริงๆ นอกจากปฏิบัติตามกฎแล้ว ยังมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่ง ความชั่วร้ายทั้งหลายไม่สามารถรุกรานได้ เช่นเดียวกับแก่นปราณของลัทธิเต๋าของเรา แล้วยังสามารถบันทึกเวทมนตร์ระบบอื่นๆ ได้…”
หลี่เมี่ยวเจินชมเปาะ พูดด้วยความสะเทือนใจว่า “ข้าสามารถนึกภาพออกว่าในยุครุ่งเรืองของลัทธิขงจื๊อนั้นเข้มแข็งเกรียงไกรเพียงใด ทุกสิ่งล้วนต่ำต้อยด้อยค่ามีเพียงการศึกษาเล่าเรียนเท่านั้นที่สูงส่ง เวลานี้จึงพอเข้าใจได้ ช่างน่าเสียดาย”
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
มีเสียงดังมาจากด้านหน้า เป็นชายชราที่ไม่พิถีพิถันกับการแต่งกาย สวมชุดลัทธิขงจื๊อตัวเก่า ผมหงอกยุ่งเหยิง ดวงตาสดใสเจิดจ้า แต่กลับแฝงไว้ด้วยความไม่เที่ยง
หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คนคนนี้จะเอ่ยปาก ตนเองกลับไม่รู้เลยว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น
“ศิษย์เคยพบท่านเจ้าสำนัก” สวี่ชีอันรีบแสดงการคารวะ
‘เขา เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นลู่ อันดับหนึ่งของลัทธิขงจื๊อแห่งยุค’…หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง
จ้าวโส่วยิ้ม พยักหน้าทักทาย แล้วกล่าวว่า “เจ้าจะไปชายแดนภาคเหนือหรือ”
ตามที่คาดไว้ สำนักอวิ๋นลู่ได้ส่งไส้ศึกไปอยู่ในท้องพระโรง คำพูดล้อเล่นของข้าในเวลานั้นกลายเป็นความจริง…สวี่ชีอันส่งเสียง “อืม ไปตรวจสอบคดีขอรับ”
“ไม่กลัวล่วงเกินอ๋องสยบแดนเหนือหรืออย่างไร” จ้าวโส่วซักถาม
“กลัว แต่อยากจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น” สวี่ชีอันกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
จ้าวโส่วจ้องหน้าเขา จ้องอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง จึงลูบเคราและยิ้ม “ไม่นับเป็นการหยามเกียรติโชคชะตาของเจ้า สวี่ชีอัน เจ้าต้องจำเอาไว้ว่า แก่นแท้ของโชคชะตาคือ ‘คน’ คำคำนี้ โชคชะตาของเจ้าเป็นเช่นนี้
“คนเป็นผู้รวบรวมโชคชะตา ประชาราษฎร์เป็นผู้รวบรวมโชคชะตา”
สวี่ชีอันรีบมองไปทางหลี่เมี่ยวเจินทันที และพบว่าสีหน้าของนางเป็นปกติ กำลังมองสำรวจจ้าวโส่วเจ้าสำนักอย่างละเอียด ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดนี้
เจ้าสำนักปิดกั้นการได้ยินของนาง?
ขณะกำลังคิดอยู่ในใจ จู่ๆ ก็เห็นจ้าวโส่วโบกแขนเสื้อ แล้วก็มีหนังสือเล่มหนึ่งลอยมาหยุดตรงข้างหน้าเขา
“นี่คือเวทมนตร์ของระบบใหญ่ๆ ที่ข้าได้บันทึกไว้เมื่อครั้งท่องเที่ยวไปทั่วทุกที่ในวัยหนุ่ม ตอนนี้ข้าไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว”
สวี่ชีอันรับมันมาด้วยความดีใจ แต่ไม่ได้เปิดออกดูทันที แสดงการคารวะและพูดว่า “ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก”
เมื่อเขายืดตัวขึ้น จ้าวโส่วก็หายไปแล้ว
…
สามวันต่อมา ท่าเรือเมืองหลวง
คณะทูตที่จะเดินทางขึ้นเหนือมาถึงท่าเรือแล้ว ต่างก้าวลงเรือของทางการ
ครั้งนี้คณะทูตมีจำนวนสองร้อยคน นำโดยสวี่ชีอันและหยางเยี่ยน ฆ้องเงินใต้บังคับบัญชาสี่คน และฆ้องทองแดงแปดคน หัวหน้ามือปราบจากกรมอาญาหนึ่งคน มือปราบสิบสองนาย ฝ่ายตรวจการได้ส่งฝ่ายตรวจการสองคน ทหารอารักขาสิบคน ศาลต้าหลี่ได้ส่งผู้ช่วยหนึ่งคน ทหารอารักขาพร้อมกับผู้ติดตามรวมสิบสองคน และทหารรักษาวังหนึ่งกองร้อย นี่คือขบวนการออกเดินทางของผู้ตรวจการ
ที่เหลือ คือคนของฉู่เซียงหลงทั้งหมด
จนถึงเมื่อครู่ สวี่ชีอันจึงได้รู้ว่าฉู่เซียงหลงก็อยู่ในคณะทูตเช่นเดียวกัน และเดินทางไปชายแดนทางภาคเหนือด้วยกัน
ในที่ทำการปกครอง เดิมทีพี่ชุน ซ่งถิงเฟิง และจูกว่างเสี้ยวก็ต้องการเดินทางไปทางเหนือพร้อมกับเขาเช่นกัน แต่พวกเขาถูกปฏิเสธ
การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ ไม่แน่ว่าจะพบกับวิกฤติการณ์สำคัญ แต่ถ้าพบก็จะอันตรายมาก เขาไม่อยากให้พวกเขาทั้งสามต้องประสบอันตรายไปด้วย ถึงอย่างไรในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล พวกเขาทั้งสามคนก็มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งกับเขาที่สุด
ที่ท่าเรือ สวี่ซินเหนียนและอารองสวี่เป็นตัวแทนของทุกคนในครอบครัว มาส่งสวี่ต้าหลางออกเดินทาง
นอกจากนี้ยังมีฉู่หยวนเจิ่นจอมยุทธ์ชุดดำ เหิงหย่วนหมายเลขหก นักปราชญ์หญิงหลี่เมี่ยวเจินแห่งนิกายสวรรค์
“กลับบ้านอย่างปลอดภัย”
อารองสวี่ตบไหล่หลานชาย นี่เป็นคำขอเดียวของเขา
ฉู่หยวนเจิ่นส่งดาบให้อย่างเงียบๆ และพูดว่า “ท่านราชครูฝากข้ามาให้”
ท่านราชครู?
ข้าไม่คุ้นเคยกับท่านราชครู นางมอบสิ่งนี้ให้ข้าทำไม…ด้วยความสงสัย สวี่ชีอันรับดาบมา แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านราชครูแทนข้าด้วย”
เหิงหย่วนพนมมือ แล้วกล่าวอามิตตาพุทธ “ใต้เท้าสวี่จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
หลี่เมี่ยวเจินจ้องหน้าเขา กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “ทำกุศลให้มาก ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด”
แอบกระซิบว่า “ข้าจะเดินทางไปก่อน ไปรอเจ้าที่ชายแดนภาคเหนือ”
สวี่ชีอันยิ้ม ‘ทำกุศลให้มาก ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด’
ตอบกลับไปว่า “พบกันที่ชายแดนภาคเหนือ”
เขาขึ้นเรือ ชักเรือใบขึ้นเพื่อออกเดินทาง
สวี่ชีอันยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือพลางทอดสายตามองไปไกลๆ กวาดสายตามองฝูงชน เห็นคนที่คุ้นเคยสามคนยืนอยู่ในระยะไกล พวกเขาคือหยางเชียนฮ่วนที่กำลังจ้องท้ายทอยของเขา
ฉู่ไฉ่เวยที่ป้องมือทั้งสองข้างพร้อมกับตะโกนเสียงหวาน และจงหลีที่แอบโบกมืออำลาอย่างเงียบๆ
เจ้ามาทำไม รู้สึกว่าระหว่างทางที่เจ้าเดินทางจากท่าเรือกลับสำนักโหราจารย์ อาจเจออันตรายมากกว่าอันตรายที่ข้าจะเจอระหว่างเดินทางขึ้นเหนือเสียอีก…สวี่ชีอันทั้งเป็นกังวลทั้งสะเทือนใจ
…………………………………………….