ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 36 ตัวก่อปัญหา
“เจ้ารู้กระบวนการคลี่คลายคดีหรือไม่” สวี่ชีอันเริ่มต้นด้วยเรื่องที่เขาถนัด
“สำรวจที่เกิดเหตุ รวบรวมเบาะแส จากนั้นตั้งสมมติฐานให้ชัดเจนและตรวจสอบอย่างรอบคอบ ค่อยๆ คลี่คลายปริศนาและค้นหาความจริง”
แสงเทียนริบหรี่พลิ้วไหวสะท้อนให้เห็นสีหน้างุนงงของอารองสวี่
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วครุ่นคิด
สวี่ชีอันพูดอย่างฉะฉาน “ลองคิดดู หากพวกเราไม่ใช้แผนของโจวลี่ ทว่าให้สังเกตการณ์โจวลี่แทน เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล สรุปทุกอย่างเข้าด้วยกันและวางแผนอย่างรอบคอบ จากนั้นจึงค่อยพิจารณากระบวนการอย่างถี่ถ้วนถึงความน่าจะเป็นของแผนการ”
คำพูดของเขาฟังดูชัดเจนและแม่นยำ ทำให้สวี่เอ้อร์หลางพูดไม่ออก เขาจึงเห็นพ้องกับความคิดอันเที่ยงตรงของพี่ใหญ่
‘หนิงเยี่ยนยังคงเป็นเด็กที่มีไหวพริบและไว้ใจได้…’ สวี่ผิงจื้อรู้สึกภูมิใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเคยกังวลว่าหลายชายของเขานั้นหัวรั้นเกินไปจนอาจเป็นเหตุทำให้เสียอนาคตได้
เมื่อทุกคนเห็นพ้องตรงกัน สวี่ชีอันจึงกล่าวต่อ “ฉือจิ้ว เจ้าได้เป็นข้าราชการกิตติศัพท์ ซึ่งสามารถเข้ารับการศึกษาเป็นบัณฑิตและเรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นข้าราชการ เช่นนั้นเจ้าจงไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากโจวลี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ห้ามทำพลาดเด็ดขาด”
“อารอง จวนสกุลโจวตั้งอยู่ภายในตัวเมืองชั้นใน ตามเวลาปกติจะมีกองดาบรับผิดชอบการลาดตระเวนยามราตรีของเมืองชั้นในและชั้นนอก ท่านมีหน้าที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของจวนสกุลโจว และอย่าได้ไปคนเดียว จงหาคู่หูที่ไว้ใจได้เพื่อไปช่วยสังเกตการณ์”
“ในหนึ่งวันโจวลี่ไปที่ใด ทำอะไร ติดต่อกับใครบ้าง คือทั้งหมดที่ข้าอยากรู้”
สองพ่อลูกพยักหน้ารับ ทันใดนั้นเองเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และจ้องไปยังสวี่ชีอัน “แล้วเจ้าเล่า”
สวี่ชีอันยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าต้องหาทางออกให้สกุลสวี่ ฉือจิ้ว เราค่อยหารือรายละเอียดกันทีหลัง ทว่าข้าขออะไรเจ้าสักอย่าง คืนนี้ข้าคงต้องค้างที่ห้องเจ้าเสียแล้ว”
…
‘ติ๊กๆ…’
เสียงน้ำรั่วดังอยู่ในห้องอันเงียบสงัด
“พี่ใหญ่ ท่านหลับแล้วหรือ”
“ยังไม่หลับ”
“อือ”
…
“พี่ใหญ่ ท่านหลับแล้วหรือยัง”
“ยังไม่หลับ”
“อือ”
…
“พี่ใหญ่ ท่านแทงข้าอยู่…”
สวี่ชีอันผงะเมื่อได้ยินสวี่ซินเหนียนกล่าว “เก็บข้อศอกของท่านหน่อย”
“โอ้…”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ทำให้ได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน จากนั้นสวี่ชีอันจึงถามขึ้น
“เจ้านอนไม่หลับหรือ”
สวี่ซินเหนียนกล่าวตอบ “อืม ไม่ชินเท่าไร”
ข้าก็เช่นกัน… สวี่ชีอันกล่าวอย่างโศกเศร้า
“นานแค่ไหนแล้วที่พวกเราไม่ได้ล้มตัวลงนอนและผล็อยหลับไปด้วยกัน”
สวี่ซินเหนียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“หลังจากที่ท่านอายุสิบขวบ แต่ละปีต้องใช้เงินหนึ่งร้อยตำลึงไปกับการฝึกฝนวิทยายุทธ หลังจากที่เรื่องเกิดขัดแย้งกันระหว่างท่านกับแม่ของข้า พวกเราจึงกลายเป็นแค่คนแปลกหน้า”
ข้าคิดว่าเจ้าจะพูดประโยคที่เย่อหยิ่งออกมา เช่น พวกเรายังไม่เคยนอนด้วยกันมาก่อน…ทว่าตอนนี้เราได้นอนด้วยกันแล้ว หากเป็นหลิงเยวี่ยคงไม่มีทางเป็นไปได้… ความทรงจำในวัยเยาว์ของเจ้าของร่างเดิมปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่งในหัวเขา สวี่ชีอันจึงถอนหายใจ
“อันที่จริงข้าไม่ได้โทษท่านป้าหรอก เป็นเพราะกองดาบไม่อาจรับภารกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมายได้ อารองจึงต้องทำงานหนักเพียงเพื่อเพิ่มเงินเดือนของข้าราชการแค่ปีละสองร้อยตำลึงเท่านั้น ครึ่งหนึ่งเพื่อนำมาดูแลข้า อีกครึ่งหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของพวกเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องอันเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้ท่านป้าเกิดความคับข้องใจ”
สวี่ซินเหนียนจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“หากวิกฤตนี้ยังไม่จบสิ้น บ้านสกุลสวี่อาจถึงกาลอวสานอย่างแท้จริง”
หากไม่อาจล้มรองเจ้ากรมโจวได้ ภายหลังของการตรวจสอบข้าราชสำนักอาจเป็นเวลาแห่งความพินาศที่จะบังเกิดขึ้นกับสกุลสวี่
“ข้าจะจัดการเส้นทางด้านหลังให้เอง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าหลังจากการตรวจสอบข้าราชสำนัก ครอบครัวของเราจะออกจากเมืองหลวง ข้ากับท่านอารองมีทักษะอันยอดเยี่ยม ดังนั้นไม่ว่าจะไปอยู่หนใดพวกเจ้าอย่าได้เป็นกังวลเรื่องทำมาหากิน” สวี่ชีอันกล่าวอย่างเศร้าใจ
“ทว่าเอ้อร์หลาง ตลอดสิบปีที่ผ่านมาเจ้าศึกษาเล่าเรียนมาอย่างหนัก จึงทำให้สอบเป็นจวี่เหรินได้”
สวี่ซินเหนียนกล่าว
“โอ้ ชื่อเสียงและลาภยศได้หมดสิ้นไป ข้าคือปัญญาชน ข้าอ่านหนังสือของปราชญ์และเรียนรู้วิถีของปราชญ์ ข้าไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมอย่างการมีชื่อเสียงหรอก”
สวี่ชีอันเห็นด้วยอย่างมากพร้อมกล่าว “หากฟ้าไม่สร้างข้าสวี่ซินเหนียน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน”
‘ข้าอยากเลิกเป็นเพื่อนกับเจ้า’ สวี่ซินเหนียนหายใจถี่ออกมา และทันใดนั้นเขาจึงม้วนตัวออกจากที่นอนและแสร้งหลับอย่างเงียบๆ
“นี่ ฉือจิ้ว แบ่งผ้าห่มให้ข้าบ้าง นี่มันวันเพ็ญเดือนสิบสองของฤดูหนาว ถึงแม้ว่าพี่ใหญ่จะเป็นระดับหลอมจิต แต่ร่างกายยังคงไม่อาจทนต่อความหนาวเหน็บได้”
สวี่ฉือจิ้วขดตัวและห่อผ้าห่มไว้แน่นอย่างไม่แยแส
…
ณ ห้องของสวี่หลิงเยวี่ย เมื่อเปลวไฟยามราตรีดับลง ควันของคาร์บอนไดออกไซด์ภายในห้องจึงทำให้อากาศดูขุ่นมัว
หน้าต่างที่มีรอยแตกถูกเปิดออกเพื่อส่งผ่านอากาศอันบริสุทธิ์เข้าสู่ภายในห้อง
ใบหน้าขาวนวลอันงดงามของสวี่หลิงเยวี่ยบวกกับขนตาสั้นๆ ที่สั่นไหวคล้ายกับพู่กันเล็กๆ นางตื่นและลืมตาขึ้นพร้อมกับจับจ้องไปยังผ้าม่านเหนือศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง และเพียงไม่กี่วินาทีดวงตางัวเงียก็ฟื้นคืนสภาพสู่การมองเห็น นางพยุงร่างลุกขึ้นนั่ง
พร้อมกับยืดเอวบิดขี้เกียจจนทำให้ผ้าห่มผืนหนาเลื่อนหลุด เผยให้เห็นเสื้อสีขาวซีดที่คลุมเรือนร่างของสาวน้อยไว้อยู่
ส่วนโค้งของคอสีขาวโพลนดูสง่างาม ผมฟูยุ่งเหยิงปกปิดใบหน้าเรียวบางสละสลวยเอาไว้
สวี่หลิงเยวี่ยหาวขึ้นพร้อมกับใช้มือเล็กๆ สีขาวอมชมพูของนางขึ้นมาป้องปาก
สาวใช้ที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามตื่นขึ้นและลุกจากเตียงอย่างเอื่อยเฉื่อยขึ้นไปสวมเสื้อผ้า
“อากาศในห้องมันอุดอู้ เจ้าเปิดหน้าต่างออกหน่อย” สาวน้อยขมวดคิ้วพร้อมกับออกคำสั่ง
จากนั้นสาวใช้จึงรีบวิ่งไปเปิดหน้าต่างในทันใด
สวี่หลิงเยวี่ยแหวกผ้าห่มออกจากเตียงแล้วเดินไปยังหน้าต่างเพื่อสูดเอาลมหนาวที่พัดมาจากลานบ้าน
บุตรสาวคนโตที่เติบโตมากับนายทหารดูเป็นคนสบายๆ ในขณะที่สวี่ผิงจื้อฝึกซ้อมร่างกายให้กับสวี่ชีอันอยู่นั้น เขามักจะพาสวี่เอ้อร์หลางและสวี่หลิงเยวี่ยไปด้วย
พี่น้องทั้งคู่มีรากฐานที่แข็งแรงในเวลานั้นและยังมีสมรรถภาพทางร่างกายอันยอดเยี่ยม
เมื่อเติบใหญ่ท่านป้าจึงไม่ปล่อยให้เด็กทั้งคู่ฝึกฝนวิทยายุทธกับหลานชายผู้โชคร้าย และในที่สุดสวี่ผิงจื้อหัวหน้าครอบครัวในเวลานั้นจึงตัดสินใจให้หลานชายเข้าฝึกฝนวิทยายุทธ พร้อมกับให้บุตรชายของเขาเข้ารับการศึกษาในสำนักศึกษา
นักปราชญ์ที่ผ่านการฝึกฝนวิทยายุทธกลับละทิ้งในหน้าที่
บุตรสาวจะฝึกฝนวิทยายุทธไม่ได้ หากนางมีก้อนกล้ามเนื้อน่าเกลียด ในอนาคตจะมีคู่ครองได้อย่างไร
ในขณะที่สวี่หลิงเยวี่ยกำลังเพลิดเพลินอยู่กับอากาศอันบริสุทธิ์ ทันใดนั้นนางเห็นเงาของมนุษย์กำลังเดินเข้ามายังหน้าต่าง เขาอยู่ในชุดสีดำคลุมยาวถึงเท้าและมีจุดเล็กๆ สีแดงตรงขอบแขนเสื้อกับคอเสื้อ ซึ่งเป็นชุดของมือปราบ
พี่น้องทั้งคู่มองหน้ากันอย่างเงียบๆ อยู่สองสามวินาทีผ่านหน้าต่าง
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น
สวี่หลิงเยวี่ยกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ‘ปัง…’ และหน้าต่างจึงถูกปิดลง
“น้องหญิงโตขึ้นขนาดนี้เลย!” สวี่ชีอันคิดอย่างปลาบปลื้มใจ
แม้ว่าพวกผู้ใหญ่ไม่ได้เลี้ยงดูข้ามาทั้งชีวิต ทว่าคอยดูแลและเฝ้าดูข้าจนเติบใหญ่…ข้าคิดว่าเจ้ายังเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสา…ทว่าดูจากการแต่งตัวได้งดงามเช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดมาก
สวี่หลิงเยวี่ยนั่งยองๆ ลงกับพื้นในห้องนอนด้วยใบหน้าเขินอาย
สาวใช้จึงพูดว่า “คุณหนู ถึงเวลาที่ท่านต้องเปลี่ยนนิสัยได้แล้ว ท่านต้องแต่งหน้าทำผมให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดหน้าต่างออกไป ดูสิ ต้าหลางเห็นเข้าแล้ว โชคดีที่ยังเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกัน หากให้ใครอื่นมาเห็นเข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
“ยังจะพูดอีก!” สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวอย่างละอายใจ
ในอดีตสวี่ชีอันไม่เคยมาที่แห่งนี้ ส่วนห้องใหญ่ของท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นสิ่งแรกที่นางทำหลังจากตื่นนอนตอนเช้าก็คือการเปิดหน้าต่างได้อย่างปลอดภัย
‘พี่ใหญ่เข้ามาอยู่ในลานบ้านได้อย่างไร…’ สวี่หลิงเยวี่ยที่นั่งอยู่ตรงหน้ากระจกแต่งหน้ากำลังสับสน
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังกำลังแต่งตัวให้นางอยู่ ในตอนท้ายนางหยิบกล่องเครื่องประดับออกมาและบ่นว่า “คุณหนู ท่านไม่มีแม้แต่กิ๊บติดผมหรือปิ่นปักผมสวยๆ เลย”
สวี่หลิงเยวี่ยไร้ซึ่งคำพูดและถอนหายใจ ‘ครอบครัวประสบหายนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า เงินเก็บสูญสิ้น ต้องใช้จ่ายเพื่อประทังชีวิตภายในครอบครัว รวมไปถึงเหล่าคนรับใช้ทั้งสิบเจ็ดสิบแปดปากท้อง ล้วนต้องใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาล จะให้เอาเงินจากไหนมาซื้อเครื่องประดับ’
“กิ๊บติดผมที่รถเร่ขายเครื่องประดับงดงามนัก เมื่อวานข้าแวะไปดูมา ทว่าอดไม่ได้จึงเดินออกมา มันจะดูดีมีระดับหากได้แซมลงบนผมของคุณหนู…แวววาว ระยิบระยับ”
“เป็นส่วนประกอบที่ลงตัว” ความปรารถนานัยน์ตาของสวี่หลิงเยวี่ยเปล่งประกายออกมา ทว่านางระงับใจโดยพลัน
สาวใช้กล่าวกับตัวเอง “แค่ชิ้นเดียวตั้งสิบตำลึง ราคาแพงนัก เว้นแต่หากไขปริศนาทายคำในร้านได้พ่อค้าถึงจะลดราคาให้”
สวี่หลิงเยวี่ยขาดสมาธิในการฟัง นางจึงถามขึ้น
“หลานเอ๋อร์ เจ้าว่าช่วงนี้พี่ใหญ่เปลี่ยนไปมากหรือไม่”
สาวใช้ที่ชื่อหลานเอ๋อร์แปลกใจ ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
“ในอดีตต้าหลางเป็นคนที่อ่อนโยน น่าทึ่ง และเก่งกาจมากกว่านี้ เขาเป็นคนเย็นชาเอาจริงเอาจัง และไม่ค่อยใจดีต่อคุณหนูกับเอ้อร์หลางสักเท่าไร และเขายังยิ้มแค่ตอนพูดคุยกับนายท่านเท่านั้น”
สวี่หลิงเยวี่ยดูเหมือนจะพอใจกับคำตอบของสาวใช้เป็นอย่างมาก ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“นั่นไม่ใช่ความผิดของเขาเช่นกัน ทว่าเป็นเพราะท่านแม่ข้าไม่ต้องการเจอหน้าเขา”
สวี่หลิงเยวี่ยชอบความสัมพันธ์อันแสนอบอุ่นของพี่ชายและน้องสาว เฉกเช่นกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นและแสนสบาย ช่างเป็นอะไรที่งดงามยิ่งนัก
‘พี่ใหญ่ในอดีตไม่ค่อยเป็นมิตรและแสนจะน่าเบื่อ ผิดกับปัจจุบันเขาเป็นคนที่น่าสนใจ อีกทั้งยังพูดจาไพเราะ’
…
สวี่ชีอันที่กำลังเดินมายังประตูห้องของสวี่หลิงอิน ซึ่งนางยังมีอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการป้องกันตัวของบุรุษและสตรี[1] ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเคาะประตู เขาจึงผลักประตูเข้าไปแทน และเห็นสวี่หลิงอินที่กำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงพื้น มือเล็กๆ กำไม้ขัดฟันแน่นพร้อมกับแปรงฟันอย่างเอาจริงเอาจัง เสมือนว่ากำลังกระทำการอันยิ่งใหญ่
ในขณะที่สาวใช้ในห้องกำลังจัดที่นอนอยู่ “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…” นางเงยหน้าขึ้นพร้อมกับฟองสบู่ที่ติดอยู่และกล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ
“ล้างเองได้งั้นหรือ” สวี่ชีอันถามขึ้นและมองไปยังสาวใช้
“ท่านพ่อบอกว่าผู้ชายต้องพัฒนาตนเองเพื่อการฝึกฝนวิทยายุทธให้ดี”
“เจ้า…รู้หรือไม่ว่าเจ้ายังเป็นแค่เด็กผู้หญิง” สวี่ชีอันครุ่นคิด
“รู้สิ” เสี่ยวโต้วติงเอียงศีรษะด้วยท่าทางไร้เดียงสา
ไม่ เจ้าไม่รู้… สวี่ชีอันกล่าว “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าระหว่างเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงมีความแตกต่างกันอย่างไร”
“พี่ใหญ่ ข้าไม่รู้” เสี่ยวโต้วติงเป็นคนเถรตรง นางจึงถามต่อ “แตกต่างกันอย่างไรหรือ”
นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาสรีรวิทยา หากพูดให้ฟังคงไร้ที่สิ้นสุด หรือแม้กระทั่งเพลงบางเพลงไม่จำเป็นต้องฟังแล้วเข้าใจ… สวี่ชีอันอาศัยความรู้และความจำอย่างละเอียดของเขาไปกับการศึกษาภาคบังคับเป็นเวลาเก้าปีในอดีตชาติ การอบรมสั่งสอนที่ยอดเยี่ยม การสรุปศาสตร์ยอดนิยมที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัยและเข้าใจง่าย
“พูดง่ายๆ ก็คือ อืม…เด็กผู้ชายโตขึ้นมาด้วยความซุกซน ส่วนเด็กผู้หญิงโตขึ้นมาด้วยการร้องไห้”
สวี่หลิงอินตระหนักในทันใดและกล่าวออกมาอย่างร่าเริง
“ไม่แปลกใจที่ท่านแม่มักพูดว่าข้าเป็นตัวก่อปัญหา”
นางวิ่งไปรอบๆ ห้องพร้อมตะโกนอย่างมีความสุข “ข้าเป็นตัวก่อปัญหา ข้าเป็นตัวก่อปัญหา…”
สวี่ชีอันปิดประตูห้องอย่างเงียบๆ วันนี้เขาไม่มีแผนที่จะทานอาหารเช้าที่บ้าน
……………………………………
[1] เกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการป้องกันตัวของบุรุษและสตรี คือ การปฏิบัติตามขอบเขตระหว่างชายและหญิงอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งผิดศีลธรรมระหว่างชายและหญิงในขณะที่มีอายุได้เจ็บขวบ