ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 43 คำจารึก
“จนถึงขณะนี้ ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ก็รับช่วงต่อตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ เขาไม่ได้ยึดมั่นในแนวคิดของเหล่าผู้อาวุโสรุ่นก่อนๆ อีกต่อไป ทุ่มเทให้กับคำสั่งของเหรินจงอย่างแน่วแน่ ต่อต้านการละเมิดกฎ เขาแก้ปัญหาให้เหรินจงได้ ในที่สุดความขัดแย้งในประเทศที่วุ่นวายก็สิ้นสุดลง เหรินจงเกลียดสำนักอวิ๋นลู่เพราะเรื่องนี้ เขาตระหนักได้ว่าการมีอยู่ของสำนักอวิ๋นลู่ไม่เอื้อต่อการปกครองของอำนาจจักรพรรดิ และในเวลานี้เฉิงฮุ่ยก็เสนอให้ก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง และฝึกฝนบุคคลที่มีความสามารถโดยราชสำนักเอง และความเสื่อมถอยของลัทธิขงจื๊อก็เริ่มขึ้นด้วยเช่นกัน”
นี่คือที่มาของความขัดแย้งเกี่ยวกับลัทธิขงจื๊อดั้งเดิมระหว่างสำนักอวิ๋นลู่กับราชวิทยาลัยหลวง
ราชวิทยาลัยหลวงเป็นราชวิทยาลัยแห่งชาติ ส่วนสำนักอวิ๋นลู่เป็นเอกชน เอกชนจะแซงหน้ารัฐได้อย่างไร…สวี่ชีอันกระจ่างแจ้งในทันที
หลังจากสวี่ซินเหนียนพูดจบ เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเชิงทดสอบ “พี่ใหญ่คิดเห็นอย่างไร…อืม ข้าหมายถึงเรื่องความขัดแย้งในประเทศ ไม่เกี่ยวกับเรื่องวิชาการ”
คิดว่าหากเกี่ยวข้องกับเรื่องวิชาการ ชาวนาอย่างพี่ใหญ่จะตอบไม่ได้เหรอ? สวี่ชีอันประชดประชันในใจ และยิ้ม “ภายนอกคือความขัดแย้งในประเทศ แต่แท้จริงแล้วคือความขัดแย้งเรื่องอำนาจ ปัญญาชนอยากใช้ความทะเยอทะยาน จำเป็นต้องถือครองอำนาจไว้ในมือ และปริมาณอำนาจในประเทศก็ต้องคงที่ ยิ่งเจ้าถือครองอำนาจไว้ในมือมากเท่าใด คนอื่นก็จะสูญเสียอำนาจไป ระดับสูงสุดของการชิงดีชิงเด่นคือการทำให้จักรพรรดิเป็นเพียงหุ่นเชิด และกลายเป็นจักรพรรดิที่ไร้มงกุฎ”
เดิมทีสวี่ซินเหนียนทดสอบไปอย่างนั้น แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปยกใหญ่
สวี่ชีอันหรี่ตามองเขา “ทำไม ข้าพูดผิดหรือ”
‘ถูกต้องมาก แต่คำพูดนี้ไม่อาจพูดส่งเดชได้…’ สวี่ซินเหนียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เจ้าพูดต่อเถอะ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ไม่ว่า ‘กลยุทธ์ปราบมังกร’ ของลัทธิขงจื๊อจะทรงพลังเพียงใด สุดท้ายแล้วจักรพรรดิก็ยังมีอำนาจมากกว่า ไม่ว่าจะเรียนวรรณกรรมหรือศิลปะการต่อสู้ก็ต้องอุทิศตนให้กับจักรพรรดิ ประโยคนี้สื่อความหมายทุกอย่างแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณไม่ว่าจะเป็นคนโลภหรือมีคุณธรรม ตราบใดที่เป็นขุนนางทรงอำนาจ ก็ไม่มีจุดจบที่ดีหรอก”
การผูกขาดการเมืองและกิจการของราชสำนักก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายแล้วก็จะถูกชำระบัญชี เพราะขุนนางก็คือขุนนางตลอดไป ตอนสวี่ชีอันอ่านประวัติศาสตร์ในชาติก่อน จักรพรรดิที่ไร้มงกุฎมีเยอะมาก และคนไหนมีจุดจบที่ดีบ้าง
ไม่นับเฉาอาหมาน[1] ยุคสงครามที่อำนาจจักรพรรดิล่มสลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สวี่ซินเหนียนถามอย่างเร่งรีบ “มีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง”
สิ่งที่พี่ใหญ่พูดกับเขาไม่มีสอนในสำนักศึกษา
“ไร้ทางแก้!” สวี่ชีอันส่ายหน้า และถอนหายใจ “ท้องพระโรงก็เหมือนสนามรบ การชิงดีชิงเด่นสุขใจเพียงชั่วครู่ แต่ฌาปนกิจทั้งครอบครัว[2]”
สิ่งที่เขาพูดนั้นแปลก แต่ในดวงตาราวกับมีประวัติศาสตร์นับพันปีไหลวนอยู่ เมื่อเห็นดวงตาคู่นี้ สวี่ซินเหนียนก็ชะงักไป
“แต่พี่ใหญ่ยังมีอีกความคิดหนึ่ง” สวี่ชีอันเปลี่ยนเรื่อง
“เชิญพี่ใหญ่พูด”
“ความสำเร็จในอดีตของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉียนเป็นตัวอย่างที่มีชีวิต เมื่อเจ้าสามารถสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้ เจ้าก็จะเปลี่ยนจากปัญญาชนที่ต้องพึ่งพาอำนาจจักรพรรดิ เป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถอยู่บนฐานอำนาจทัดเทียมกับอำนาจของจักรพรรดิ”
ดวงตาของสวี่ซินเหนียนเปล่งประกาย ใบหน้าของเขาดูมีความสุข เมื่อฟังสวี่ชีอันพูดอย่างสบายๆ “เอ้อร์หลางเฉลียวฉลาดเกินผู้อื่น เป็นคนหนุ่มที่ควรค่าแก่การสั่งสอน”
“…” สวี่เอ้อร์หลางเพิ่งจะตอบสนอง ‘เห็นชัดๆ ว่าข้ากำลังทดสอบเขา…’
สวี่ชีอันไม่ได้พูดต่อ และไตร่ตรองคำถามหนึ่งในใจ แม้ว่าสำนักอวิ๋นลู่จะถูกตัดออกจากอนาคตการเป็นข้าราชการ แต่ก็ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถือครองระบบการฝึกของลัทธิขงจื๊อ
สิ่งที่ถูกตัดออกเป็นเพียงอาชีพเท่านั้น
แม้ว่าสวี่ซินเหนียนจะไม่ได้อธิบายว่าเป็นอาชีพราชการของสำนักเริ่มอ่อนแอลง หรือเป็นระบบลัทธิขงจื๊อทั้งระบบที่เริ่มอ่อนแอกันแน่ แต่สวี่ชีอันก็รู้สึกว่าเป็นอย่างหลัง
เพราะอยู่ด้วยกันข้างๆ น้ำตก สวี่เอ้อร์หลางจึงพูดว่า “สองร้อยปีที่ผ่านมา ลัทธิขงจื๊อขั้นสูงสุดมีเพียงสามระดับเท่านั้น”
เป็นเพราะหลังจากสามระดับ ระบบลัทธิขงจื๊อต้องยอมเข้าเป็นราชการเหรอ? หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ เช่นความมั่นคงของลัทธิขงจื๊อกันแน่?
“เช่นนั้นจารึกนี้หมายความว่าอย่างไร ทำไมถึงตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้” เขาถาม
สวี่ซินเหนียนจ้องไปที่ตัวอักษรจีนบนแผ่นจารึกด้วยนัยน์ตาซับซ้อนและถอนหายใจ “นี่คือภาคต่อของความขัดแย้งเรื่องลัทธิขงจื๊อดั้งเดิม หรือจะพูดว่าเป็นส่วนหนึ่งของข้อพิพาทนี้ด้วยก็ได้ รองปราชญ์เอกเฉินท่านนั้นช่างน่าทึ่ง หลังจากที่เขาก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง เขารู้ว่าหากเขาต้องการเหนือกว่าสำนักอวิ๋นลู่ เขาต้องมีระบบการศึกษาของตัวเอง ไม่เช่นนั้นนักเรียนของราชวิทยาลัยหลวง ก็ยังคงเป็นนักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่ ดังนั้นเขาจึงอุทิศตนเพื่อการศึกษาพระคัมภีร์ รวบรวมใหม่เข้ากับความคิดของตัวเอง ใช้เวลาถึงสิบสามปี ในที่สุดก็สร้างระบบการศึกษาที่ศิษย์เก่งยิ่งกว่าอาจารย์ขึ้นมาได้”
“รักษาหลักการของสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์[3]หรือ” สวี่ชีอันฉุกคิดขึ้นมาในใจ
สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า จากการสนทนาเมื่อสักครู่นี้ เขาเริ่มยินดีจะอธิบายปัญหาทางวิชาการให้กับญาติผู้พี่ที่หยาบกระด้างของเขาฟัง จึงกล่าวว่า
“รองปราชญ์เอกเฉิงคิดว่า ทุกสิ่งในโลกล้วนปฏิบัติตามกฎ กฎนี้เรียกว่า ‘หลักการ’ หลักการคือสิ่งจำเป็นที่สุดในโลก และถูกต้องที่สุด ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับ ‘หลักการ’ ถึงจะเติบโตได้อย่างเฟื่องฟู แต่ด้วยความปั่นป่วนสรรพสิ่งในโลก ผู้คนจะสูญเสียความเป็นตัวตน และสูญเสียหลักการไป”
“ดังนั้นจึงต้องรักษาหลักการของสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์เช่นนั้นหรือ” สวี่ชีอันกล่าว
รักษาหลักการของสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์เป็นโครงร่างแนวความคิดของราชวิทยาลัยหลวง ส่วนทำงานอย่างไร สวี่ชีอันกำลังรอคำอธิบายของสวี่ซินเหนียน
สวี่ซินเหนียนพูดต่อ “รองปราชญ์เอกเฉิงตั้งกฎเกณฑ์สำหนักปราชญ์ขึ้นมา หากปัญญาชนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ พวกเขาก็จะไม่ทำผิด ทำสิ่งที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับ ‘หลักการของสวรรค์’ กฎชุดนี้ยกระดับความจงรักภักดี ความกตัญญู วินัยและความชอบธรรมต่อหลักการของสวรรค์ให้สูงยิ่งขึ้น”
สวี่ซินเหนียนหัวเราะเยาะ “หากจักรพรรดิต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย หากพ่อต้องการให้ลูกตาย ลูกก็ต้องตาย ยึดมั่นในศีลธรรมและยอมตายเพื่อความยุติธรรม”
สวี่ชีอันฟังอย่างเงียบเชียบ และจู่ๆ ก็ถามว่า “เช่นนั้นฉือจิ้ว เจ้าคิดว่า นี่ถูกหรือผิด”
สวี่ซินเหนียนตกตะลึง เขาเหม่อมองญาติผู้พี่และอ้าปากจะพูด แต่มีพลังลึกลับติดอยู่ในลำคอของเขา ทำให้เขาพูดไม่ออก
สวี่ชีอันเข้าใจ พลังนี้เรียกว่า ‘การกักขังทางความคิด’
“ดังนั้น ถึงมีจารึกนี้หรือ” สวี่ชีอันหันไปมองจารึก
“อืม” สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า “ความขัดแย้งระหว่างสำนักอวิ๋นลู่กับราชวิทยาลัยหลวง เป็นความขัดแย้งด้านวิชาการและความคิด แต่จารึกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ที่ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอกมาสองร้อยปีแล้ว ที่ผ่านมามันไม่เคยล้ม หากมันไม่ล้มในสักวันหนึ่ง สำนักอวิ๋นลู่ก็ไม่อาจเอาชนะราชวิทยาลัยหลวงได้ เจ้าสำนักนั่งนิ่งที่สำนักมาสิบกว่าปี เพื่อศึกษาพระคัมภีร์ เขาพยายามลบล้างสิ่งที่บันทึกไว้บนจารึก และพยายามสร้างแนวคิดที่เป็นผู้ใหญ่และถูกต้องมากยิ่งขึ้น แต่เขาก็ล้มเหลว ผู้อำนวยการนั่งนิ่งที่สำนักมาสิบกว่าปี เพื่อศึกษาพระคัมภีร์ เขาพยายามลบล้างสิ่งที่บันทึกไว้บนจารึก และพยายามสร้างแนวคิดที่เป็นผู้ใหญ่และถูกต้องมากขึ้น แต่เขาล้มเหลว”
“เพราะมันแสดงถึงความจริงและความถูกต้อง” สวี่ชีอันกล่าว
“ใช่” สวี่ซินเหนียนถอนหายใจ “ไม่เพียงแค่เจ้าสำนักเท่านั้น อันที่จริงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับอาจารย์หลายรุ่นในสำนักต่างตั้งตัวต่อต้านจารึกนี้ แต่ไม่มีใครทำได้สำเร็จ ความคิดของรองปราชญ์เอก คนธรรมดาจะหักล้างได้อย่างไร เจ้าสำนักยืนอยู่ตรงนั้น แต่เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้วที่เขาไม่เคยจรดพู่กันหมึกลงบนนั้นเลย” สวี่ซินเหนียนชี้ไปที่โต๊ะข้างๆ แผ่นหินที่ว่างเปล่า และพูดว่า
“ต่อมาก็มีเหล่านักเรียนกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่พยายามจารึกบนแผ่นหินเพื่อแข่งกับจารึกของรองปราชญ์เอกเฉิง แต่วันต่อมาก็ถูกลบไป ถึงอย่างไรพู่กันกับแท่งหมึกบนโต๊ะยังคงอยู่ บางทีเจ้าสำนักก็อาจจะมีความหวังริบหรี่อยู่เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตามที่เหล่านักเรียน จู่ๆ ก็มีความคิดขึ้นมา และรู้สึกว่าตัวเองโดดเด่น ก็จะมาจารึกที่นี่ น่าเสียดายที่คนที่เจ้าสำนักรอคอยไม่เคยปรากฏตัว ข้าเคยคิดว่าข้าทำได้ แล้วก็จารึกบนแผ่นหินเช่นกัน…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สวี่ซินเหนียนก็ไม่ได้พูดต่อ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกญาติผู้พี่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มบ้าระห่ำในอดีต เพื่อหลีกเลี่ยงความตายทางสังคมอีกครั้ง
เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของจักรพรรดิในการยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ตายเพื่อความยุติธรรม ชื่อเสียงและคุณงามความดีจะเป็นอมตะชั่วนิรันดร์… สวี่ชีอันเผชิญหน้ากับจารึก เขาเงียบไปครู่หนึ่ง และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฉือจิ้ว พี่ใหญ่ขอถามเจ้าอะไรหน่อย กษัตริย์หนัก หรือคนทั้งโลกหนัก”
สวี่ซินเหนียนตอบอย่างไม่ลังเล “คนทั้งโลกแน่นอน”
สวี่ชีอันถามอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าเรียนหนังสือเพื่ออะไร”
สวี่ซินเหนียนตอบตามจิตใต้สำนึก “จักรพรรดิอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ…”
เมื่อพูดจบ เขาก็ตกตะลึง
สวี่ชีอันไม่สนใจ และถามต่อ “การได้บันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่ปัญญาชนแสวงหามาตลอดทั้งชีวิตจริงๆ หรือ”
สวี่ซินเหนียนไม่ได้ตอบ ความเงียบของเขาอธิบายทุกอย่างแล้ว
สิ่งที่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนของสำนักอวิ๋นลู่ทำเพื่อขัดเกลาบทกวีก็อธิบายทุกอย่างแล้วเช่นกัน
สวี่ชีอันถอนหายใจ
จักรพรรดิต้องการให้ขุนนางตายขุนนางก็ต้องตาย ทำไมกัน
พ่อต้องการให้ลูกตายลูกก็ต้องตาย ทำไมกัน
สังคมที่เฮงซวยเช่นนี้ไม่อาจมีสิทธิมนุษยชนมากกว่านี้ได้แล้วหรือ สวี่ชีอันหัวเราะ “ข้าไม่ใช่ปัญญาชน แต่ก็อยากเขียนอะไรบางอย่าง ฉือจิ้ว ฝนหมึกให้ข้าที”
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว
สวี่ชีอันพูดว่า “ถึงอย่างไรพู่กันหมึกกับแท่งหมึกก็วางอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าให้คนเขียนหรอกหรือ หากพี่ใหญ่เขียนไม่ดี พรุ่งนี้ก็มีคนลบออก”
หลังจากสวี่ซินเหนียนฟังจบ เขาก็เดินไปฝนหมึก ครู่หนึ่งก็ถือพู่กันหมึกยืนอยู่ด้านหน้าจารึก และถามว่า “พี่ใหญ่อยากเขียนว่าอะไรหรือ”
“ครั้งนี้ข้าอยากเขียนด้วยตัวเอง” สวี่ชีอันคว้าพู่กันหมึกไป และมองแผ่นหินว่างเปล่า
ใบหน้าของเจ้าของร้านที่เขากินอาหารเช้าเมื่อเช้าผุดขึ้นมาในหัวทันที เห็นชัดว่าเจ็บปวดเจียนตาย แต่ก็ไม่กล้าขอเงิน เหมือนกับสุนัขอย่างน่าสงสาร
ปัญหาเรื่องผู้ใต้บังคับบัญชาของราชวงศ์ต้าฟ่งหยั่งรากลึกสะสมมาช้านาน คนไร้ศีลธรรมจรรยาเต็มท้องพระโรงนั้นล้วนซื่อสัตย์และภักดีต่อชาติ แต่ไม่เคยแยแสหรือสงสารประชาชนชนชั้นล่าง
เขานึกถึงท่าทางเย่อหยิ่งและเผด็จการของโจวลี่ตอนขี่ม้าบนถนน นึกถึงบันทึกที่เจ้าหน้าที่วางท่าใหญ่โตไม่กลัวผู้ใดในเมืองหลวง
การมีอยู่ของพลังอำนาจที่มากล้นทำให้ความชั่วร้ายของราชวงศ์ศักดินาแสดงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ประชาชนระดับล่างไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะก่อกบฏ
อย่างน้อยในชาติก่อนเขาก็ยังรู้ว่าชาวนาก่อกบฏรุนแรงหลายครั้ง แต่ในโลกนี้ การก่อกบฏของชาวนาแม้แต่โอกาสที่จะก่อให้เป็นรูปเป็นร่างก็ไม่มี และยังถูกกำจัดอย่างรวดเร็วอีก
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกอย่างหนักหน่วง ก่อนจะเริ่มเขียน
‘ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เปิดทางสู่สันติภาพนิจนิรันดร!’
เมื่อเขียนเสร็จ สวี่ชีอันก็รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นมาก เขาระบายความกลัดกลุ้มในอก โยนพู่กันหมึกทิ้ง และพูดเสียงดัง “ฉือจิ้ว นี่คือสิ่งที่ปัญญาชนควรกระทำ”
‘ครืน!’
ในหัวของสวี่ฉือจิ้วราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาแยกจิตสำนึกทางจิตวิญญาณที่วุ่นวาย และแยกโซ่ตรวนของจิตวิญญาณออก
เขาเหม่อมองญาติผู้พี่ ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือไม่ สวี่เอ้อร์หลางเหมือนเห็นไอสีม่วงหนาทึบเหนือศีรษะของญาติผู้พี่แล้วหายไปในชั่วพริบตา
‘เปรี๊ยะ!’
แผ่นหินที่อยู่ข้างๆ ส่งเสียงปริแตกออกมาทันที และปรากฏรอยร้าวขนาดใหญ่ที่โยงจากบนลงล่าง
สองพี่น้องตกตะลึง โดยไม่รอให้พวกเขาตอบสนอง ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอกสั่นสะเทือน หลังคาโดมมีขี้เถ้าร่วงลงมา เชิงเทียนเอียงกระเท่เร่
รูปปั้นรองปราชญ์เอกพุ่งขึ้นไปในอากาศอันบริสุทธิ์ ทะลวงขึ้นไปเหนือเมฆสีขาวบนยอดเขา และเห็นความปั่นป่วนในระยะหลายสิบลี้
สวี่ชีอันมึนงง สีหน้าดูไม่ได้อย่างมาก “เกิดอะไรขึ้น เหมือน…เหมือนก่อเรื่องซะแล้ว”
“ก่อเรื่องอะไร ก่อเรื่องอะไร” สวี่ซินเหนียนลุกลี้ลุกลน และพูดเสียงดัง “เกี่ยวอะไรกับพวกเรา พวกเราไม่เคยมาตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก”
หลังจากพูดจบ เขาก็กุมหัววิ่งออกไปทางประตู และหลบหนีไป
“ปัญญาชน เจ้ารอข้าด้วย” สวี่ชีอันวิ่งตามเขาไป และคิดในใจว่า ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ปัญญาชนมีความสามารถในการปรับตัวที่ยอดเยี่ยมมาก
…………………………………………………
[1] เฉาอาหมาน ชื่อเล่นของโจโฉ ตัวละครจากวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่อง ‘สามก๊ก’
[2] การชิงดีชิงเด่นสุขใจเพียงชั่วครู่ แต่ฌาปนกิจทั้งครอบครัว เป็นการเสียดสี สาปแช่งพฤติกรรมที่ทำให้รู้สึกไม่พอใจ
[3] รักษาหลักการของสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์ เป็นแนวคิดของลัทธิขงจื๊อใหม่ โดยอธิบายหลักการไว้ว่า ‘หลักการของสวรรค์’ หมายถึง ส่วนรวม ความเมตตากรุณา และจิตใจอันมีความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์ ส่วน ‘ความปรารถนาของมนุษย์’ หมายถึง ส่วนตน ความชั่วเล็กๆ น้อยๆ ความเห็นแก่ตัว โดยสรุป ‘รักษาหลักการของสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์’ คือการทำความดีกำจัดความชั่วนั่นเอง