ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 46 ซื้อเครื่องประดับ
เมื่อกลับถึงเมืองจิงจ้าวก็ส่งม้าคืนให้ที่พักม้า หลังจากรับเงินมัดจำมาแล้ว สวี่ชีอันก็เดินออกจากประตูร้านแล้วเอ่ย
“ฉือจิ้วเจ้ากลับไปก่อน ข้ายังมีเรื่องต้องทำ”
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรมาก แต่เดินจากไปตามถนนทอดยาวเพื่อกลับบ้านเพียงลำพัง
สวี่ชีอันซื้อขนมดอกหอมหมื่นลี้[1]ชุดหนึ่งจากข้างทาง เดินพลางกินพลาง ไม่นานก็มาถึงร้านขายเครื่องประดับ
ร้านเป่าชี่ซวน!
เถ้าแก่ร้านเป่าชี่ซวนเป็นซิ่วไฉ[2]ผู้หนึ่ง อันที่จริงเรื่องที่ที่ปัญญาชนทำการค้านั้นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพวกตระกูลร่ำรวยชั้นสูง แค่อาศัยการเก็บค่าเช่าที่อย่างเดียวไม่อาจค้ำจุนรายจ่ายในชีวิตอันฟุ่มเฟือยของตระกูลใหญ่ได้
กิจการทำเงินประเภทร้านค้าและหอนางโลมทั้งหลายในเมืองจิงจ้าว ล้วนแต่มีเงาของชนชั้นสูงอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
‘เห็นอยู่ชัดๆ ว่าการค้าของต้าฟ่งเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ดันเก็บภาษีหนักๆ กับชาวนา…ข้ามีเหตุผลให้สงสัยจริงๆ ว่านี่คือฝีมือของพวกชนชั้นสูงมีสกุลรุนชาติ ทำนาจะได้เงินสักเท่าไหร่กันเชียว อยากจะร่ำรวย ก็ต้องดึงขนแกะมาจากตัวพ่อค้าสิ อยากจะให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีกว่านี้และเติมท้องพระคลังของต้าฟ่งให้ร่ำรวยยิ่งกว่าเดิมก็ต้องปฏิรูป แต่ข้าราชการในท้องพระโรงกลับเอาแต่นอนกลิ้งไปมา ไหนเลยจะมีที่ให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่างข้าได้พูด อืม ตั้งเป้าเล็กๆ ไว้แล้วกัน เริ่มจากฝึกฝนเอ้อร์หลางให้กลายเป็นราชเลขาธิการแห่งต้าฟ่งเสียก่อน…’
เมื่อคิดถึงท่าทางขุนนางระดับสูงของน้องชายจอมหยิ่งผยองในอนาคต มุมปากของสวี่ชีอันก็ยกขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
สวี่ชีอันก้าวเข้าไปในร้าน สายตากวาดผ่านแท่นวางสินค้า เครื่องประดับที่วางบนผ้าไหมสีแดงชิ้นแล้วชิ้นเล่าสะท้อนเข้ามาในดวงตา
ปิ่นสองขา ที่ครอบผม ปิ่นเกล้าผม ปิ่นปักผม ปิ่นระย้า ปิ่นสับ…ละลานตาไปหมด
ในบรรดาเครื่องประดับเหล่านี้ สิ่งที่ทำด้วยทองนั้นแพงที่สุด ส่วนหยกต้องดูที่ชนิด อันที่แพงก็แพงกว่าทองคำ อันที่ถูกก็ราคาไม่ต่างจากเงินมากนัก
สวี่ชีอันคลำสามอีแปะในกระเป๋าของตน เอ่ยพึมพำในใจ เงินเล็กน้อยพวกนี้เดิมทีก็ไม่อาจซื้อเครื่องประดับล้ำค่าอะไรได้เลย
เขากำลังทอดถอนใจที่เงินไม่พอ เท้าก็เหยียบโดนของแข็งๆ เขาหยิบมันขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง แล้วใส่มันไว้ในกระเป๋าโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
อาจเป็นเพราะลื่นไหลเป็นธรรมชาติเกินไป จึงไม่มีใครสนใจเขาเพราะเหตุนี้
หนึ่งอีแปะช่างไร้ประโยชน์ ถ้าเป็นหนึ่งตำลึงทองยังพอได้
เขามีความรู้สึกแบบชาติก่อนตอนเข้าไปร้านหรูแต่กลับซื้อของไม่ได้ สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือร้านค้าในสมัยนี้สงวนท่าทีมาก ไม่มีพนักงานน่ารำคาญเหมือนชาติก่อนที่จะต้องเข้ามาคอยตามติดแล้วทำให้เจ้าจ่ายเงินออกมาทันทีเหล่านั้น
“เถ้าแก่ ที่นี่มีส่วนลดไหม” สวี่ชีอันเคาะโต๊ะจ่ายเงิน
เถ้าแก่ร้านเป็นชายชราไว้เคราแพะ สวมชุดแบบปัญญาชน เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เถ้าแก่ร้านชี้ไปยังป้ายที่แขวนไว้บนผนัง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “ถ้าหากลูกค้าแก้ปริศนาคำได้ สามารถลดของในร้านให้เจ้าได้ครึ่งหนึ่ง”
กฎนี้เป็นจุดเด่นของร้านเป่าชี่ซวน
ทายปริศนาคำแล้วจะลดให้ครึ่งหนึ่ง… น่าสนใจ… สวี่ชีอันเดินไปอยู่หน้าป้ายไม้ กวาดตามองปริศนาคำบนนั้น ‘เมฆสลาย เดือนโผล่ บุปผาเล่นเงา!’
เขาอาศัยคลังความรู้อันมากมายและความสามารถในการให้เหตุผลเชิงตรรกะ ไม่นานก็แก้ปริศนาคำออก
เครื่องประดับบางอย่างแค่น้ำหนักก็มีราคาหลายตำลึงแล้ว ยิ่งบวกกับค่าแรงอีก…
สวี่ชีอันประมาณการพักหนึ่ง พบว่าต่อให้ลดราคาไปครึ่งหนึ่ง เขาก็ยังไม่อาจซื้อเครื่องประดับดีๆ ได้
แต่ไม่ช้าเขาก็มีวิธี
หญิงสาวที่สามารถมาซื้อเครื่องประดับของร้านเป่าชี่ซวนได้ ทางบ้านต้องมีฐานะดีมาก อีกทั้งต้องเคยเล่าเรียนศึกษาอยู่หลายปี อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้หญิงไม่รู้หนังสือ
ผู้หญิงเช่นนี้ล้วนมีโรคหนึ่งอย่าง นั่นคือเป็นพวกน้ำครึ่งถังกระทบเสียงดัง[3]
คิดว่าตนเป็นผู้มีความรู้ ชมชอบศิลปะมีรสนิยมสูง ดังนั้นถึงได้ติดกับเล่ห์กลเล็กๆ ของร้านเป่าชี่ซวนเป็นพิเศษ
เครื่องประดับที่มีราคาเดียวกัน แต่พวกนางจะชอบมาซื้อที่ร้านเป่าชี่ซวน ไม่ใช่อะไร เป็นเพราะจะมาแก้ปริศนาคำ
หากแก้ปริศนาคำได้ ทางร้านจะแกะสลักคำตอบที่ถูกต้องไว้ใต้ป้ายไม้ จากนั้นจึงมอบให้กับลูกค้าพร้อมเครื่องประดับ
หากแก้ไม่ได้ก็ช่างเถอะ แต่เมื่อแก้ปริศนาคำได้สักหนึ่งหรือสองข้อ พวกนางก็จะสามารถเอาไปคุยโวกับสหายคนสนิทในห้องหอได้
นี่เป็นกลอุบายของร้านที่สวี่ชีอันวิเคราะห์ได้จากการฟังบทสนทนาของสาวน้อยวัยแรกแย้มสองคนที่อยู่ข้างๆ
ไม่แปลกที่เป็นซิ่วไฉมาเปิดร้านค้า ช่างรู้วิธีดึงดูดกลุ่มลูกค้าระดับสูงได้จริงๆ
“พี่หญิงอวี้ ข้าไม่เคยแก้ปริศนาคำของที่นี่ได้เลยสักข้อ ยากยิ่งนัก”
“น้องหญิงพูดได้ไม่ผิด เถ้าแก่ร้านเป็นท่านปู่ซิ่วไฉผู้มีชื่อเสียง คำถามย่อมยากเป็นธรรมดา ปัญญาชนทั่วไปก็ไม่แน่ว่าจะแก้ได้”
“พี่หญิงอวี้ ท่านพี่ที่บ้านข้าก็พูดเช่นนี้ ถ้าหากข้าสามารถแก้ปริศนาคำแล้วได้ป้ายไม้มา จะต้องทำให้ท่านพี่แปลกตาแปลกใจเป็นแน่”
“เป็นคนเซ่อเพ้อฝันน่ะสิ”
“เฮ้อ เกลียดท่านนัก…”
แม่นางตระกูลผู้ดีสองคนมายืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าป้ายไม้ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยคร่ำครวญพึมพำเสียงดัง
พวกนางแต่งกายได้ประณีตยิ่ง คิดดูแล้วฐานะทางบ้านคงจะดีมากจริงๆ ทั้งได้รับการศึกษาในระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่มาลองแก้ปริศนาคำหรอก
“แม่นางทั้งสอง”
ทันใดนั้น เสียงชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ดังมาจากด้านข้าง
แม่นางน้อยผู้มีใบหน้างดงามสองคนหันหน้ามามองอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นสวี่ชีอันผู้มีใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงกำยำ ความระแวดระวังก็ลดลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ธรรมเนียมของราชวงศ์ต้าฟ่งค่อนข้างจะอิสระ แต่การสนทนากับบุรุษแปลกหน้าบนถนนก็ยังเป็นพฤติกรรมที่เสียกิริยามากอยู่ดี
สวี่ชีอันไม่สนใจ เขาเอ่ยความตั้งใจอย่างตรงไปตรงมา “ข้าสามารถแก้ปริศนาคำให้แม่นางทั้งสองได้หรือไม่ แต่แม่นางทั้งสองจะต้องแบ่งเงินที่ประหยัดไปได้มาให้ข้าคนละครึ่ง หากประหยัดเงินได้ห้าตำลึงเงิน เจ้าต้องแบ่งให้ข้าสองตำลึงครึ่ง หากประหยัดไปได้สี่ตำลึงเงิน เจ้าก็ต้องแบ่งให้ข้าสองตำลึง”
เมื่อได้ยินข้อเสนอของสวี่ชีอัน เถ้าแก่ร้านก็เงยหน้ามองอย่างแปลกใจ มองพิจารณาเขาอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา ไม่ให้ความสนใจอีก
แม้ว่าคนผู้นี้จะสวมชุดคลุมแบบปัญญาชน แต่ถ้าหากพิจารณาดูดีๆ จากรูปร่างและสีผิว ก็จะรู้ว่าเป็นสินค้าที่พยายามแสร้งทำเป็นของมีคุณภาพ
เจ้าเคยเห็นปัญญาชนที่ไหนมีร่างกำยำเหมือนวัว สีผิวเหมือนเมล็ดข้าวบ้างล่ะ
ชุดปราชญ์นั่นก็ไม่พอดีตัวเอาเสียเลย
ดวงตาของหญิงสาวผู้มีอายุน้อยกว่าส่องสว่างสดใส หวั่นไหวกับข้อเสนอของสวี่ชีอันเป็นพิเศษ
ส่วนคนที่อายุมากหน่อยดูสง่างามสงวนตัว ระมัดระวังและห่างเหินมากกว่า นางเอ่ยเสียงราบเรียบ “คุณชายตามสบายเถิด ถ้าหากแก้ปริศนาคำได้จริงๆ ข้าน้อยก็จะไม่เบี้ยวเจ้าค่ะ”
เว้นระยะห่างหนักมาก
“แม่นางทั้งสองเลือกมาหนึ่งข้อ” สวี่ชีอันเอ่ยพร้อมยิ้ม
หญิงสาวที่อายุมากหน่อยลังเลเล็กน้อย ส่วนผู้ที่อายุน้อยหน่อยก็กระตือรือร้นอยากจะลอง เมื่อเห็นพี่สาวที่อยู่ข้างกายไม่มีปฏิกิริยา นางก็ชี้ไปที่ป้ายไม้อันหนึ่งตามใจชอบ “เมฆสลาย เดือนโผล่ บุปผาเล่นเงา”
น้ำเสียงแผ่วเบานัก
สวี่ชีอันพูดทันที “ผู้มีความสามารถ ‘สามารถ’ ทำงานได้มาก”
แม่นางน้อยทั้งสองหันหน้าไปมองเถ้าแก่ร้านโดยไม่รู้ตัว สีหน้าอ้าปากค้างของเขาอธิบายทุกอย่างแล้ว
จากนั้น แม่นางที่อายุน้อยกว่าผู้นั้นก็เลือกซื้อปิ่นทองสองขาหนึ่งด้ามแล้วโยนเล่นในมืออย่างเบิกบานใจ แววตาที่มองไปยังสวี่ชีอันก็ยิ่งสว่างสดใส
หลังจากนางรับป้ายไม้มาแล้ว นางก็กลอกตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสนิทสนมยิ่งขึ้น “คุณชายยังสามารถแก้ปริศนาคำให้ผู้น้อยต่อได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เหลียนเอ๋อร์…” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าพี่หญิงอวี้ดึงแขนเสื้อของนาง
“พี่หญิงอวี้ พวกเราสองคนมาด้วยกัน ข้ามีแต่ท่านไม่มี นั่นไม่ดีอย่างยิ่ง” เอ่ยจบ หญิงตระกูลดีนามว่าเหลียนเอ๋อร์ก็หันไปมองสวี่ชีอันอย่างคาดหวัง
หาที่ไหนไม่ได้แล้ว…สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มผู้ชายอบอุ่นออกมา “ไม่มีปัญหา แม่นางเลือกมาอีกข้อหนึ่งเถิด”
“นกยูงบินไปทางตะวันออกเฉียงใต้” นางชี้ไปที่ป้ายไม้ป้ายหนึ่ง
“ลูกหลาน!” สวี่ชีอันกล่าว
“…” เถ้าแก่ร้านตะลึงไปแล้ว
“ขอบพระคุณคุณชายเจ้าค่ะ…”
แม่นางน้อยทั้งสองเลือกเครื่องประดับที่ชอบ แล้วออกจากร้านค้าอย่างพึงพอใจ
สวี่ชีอันมีทักษะการได้ยินอันน่าทึ่ง เขาได้ยินหญิงสาวที่ชื่อว่าเหลียนเอ๋อร์พูดว่า “คุณชายท่านนี้มีพรสวรรค์จริงๆ ทั้งยังสูงส่งหล่อเหลา แข็งแรงกำยำยิ่งกว่าท่านพี่ของข้าตั้งมาก”
“อย่าพูดเพ้อเจ้อ” หญิงสาวที่อายุมากกว่าตำหนิ
นางคล้ายกับกลัวว่าสวี่ชีอันจะได้ยินแล้วจะก้าวเข้ามาพัวพันด้วย จึงดึงเหลียนเอ๋อร์ให้จากไปโดยเร็ว
…………………………….
[1] ขนมดอกหอมหมื่นลี้ เป็นขนมจีนโบราณ มีทั้งที่ทำจากแป้งหรือถั่วเขียวกวนใส่น้ำผึ้งดอกหอมหมื่นลี้ หรือน้ำตาลดอกหอมหมื่นลี้ มีลักษณะกลมๆ คล้ายขนมไหว้พระจันทร์
[2] ซิ่วไฉ หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการระดับท้องถิ่น
[3] น้ำครึ่งถังกระทบเสียงดัง เปรียบเปรยหมายถึงผู้มีความรู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ แต่กลับอวดเบ่ง