ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 48 อาสะใภ้กล่าว ‘ฮึ เจ้าคนสารเลวยังนับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง’
- Home
- ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง
- บทที่ 48 อาสะใภ้กล่าว ‘ฮึ เจ้าคนสารเลวยังนับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง’
บทที่ 48 อาสะใภ้กล่าว ‘ฮึ เจ้าคนสารเลวยังนับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง’
อาสะใภ้โมโหแล้ว ดวงหน้างามชดช้อยราวกับน้ำค้างแข็งเย็นเยียบแบบที่ไม่อาจเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมได้อีก
อารองสวี่หนังศีรษะชา เอ่ยตำหนิว่า “หนิงเยี่ยน เจ้ามีเงินจุนเจือที่บ้านก็ดีเท่าไรแล้ว คุ้มที่จะซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนี้แล้วหรือ”
เขาวางแผนจะว่ากล่าวหลานชายเพื่อเรียกความรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียวกันกับภรรยากลับคืนมา แล้วค่อยๆ ระงับความโกรธของนางลง
สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวเสียงเรียบ “ที่บ้านไม่ขาดแคลนอาหารเครื่องนุ่งห่ม แล้วอาหารที่ท่านพ่อกินก็มีข้าวจากพี่ใหญ่อยู่ในนั้นด้วยหนาเจ้าคะ”
อารองสวี่ถูกลูกสาวทำให้สำลักจนพูดไม่ออก ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง “หนิงเยี่ยน เจ้าเอาเงินมาจากไหน”
สวี่ชีอันกล่าว “ข้าเห็นว่าเครื่องประดับบนศีรษะของน้องหญิงราคาถูกเกินไป ดังนั้นจึงทดเอาไว้ในใจแล้วอดออมจนพอจะเก็บได้เงินจำนวนหนึ่ง อีกทั้งร้านเป่าชี่ซวนก็มีให้ทายปริศนาคำลดครึ่งราคาด้วย…”
จะให้บอกว่าเครื่องประดับนี้ได้มาฟรีๆ ก็ไม่ดี เขาไม่อยากตายทางสังคมเหมือนกับสวี่ฉือจิ้วหรอกนะ
มือที่ถือชามของสวี่หลิงเยวี่ยสั่นเบาๆ หัวใจอ่อนยวบในทันใด จดจ้องไปยังสวี่ชีอันด้วยดวงตาสุกใส
ในบ้านหลังนี้มีเพียงพี่ใหญ่เท่านั้นที่เห็นนางเป็นยอดดวงใจ แต่ไหนแต่ไรท่านพ่อกับพี่รองก็ไม่เคยคิดว่าเครื่องประดับราคาถูกของนางจะมีปัญหาอะไรเลย
ลูกสาวในบ้านก็ต้องมีภาพลักษณ์นะ
“พี่ใหญ่ งามไหมเจ้าคะ” นางปักปิ่นทองระย้าไว้บนมวยผม แสงเทียนสะท้อนใบหน้ารูปเมล็ดแตงคมคายแบบสาวน้อย องคาพยพทั้งห้างามประณีต ดวงตาดำขลับส่องสว่างใสกระจ่าง งดงามแจ่มใสหอมจรุง
อาสะใภ้ริษยายิ่งกว่าเดิม
สวี่ชีอันก็ริษยาขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเหลือบมองสวี่เอ้อร์หลางทางด้านซ้าย เจ้าน้องชายสวมชุดคลุมสีกรม ผมยาวดำขลับงดงามรวบขึ้นด้วยปิ่นหยกมรกต ริมฝีปากแดงฟันขาว หล่อเหลาเอาการ
แล้วก็มองไปยังน้องสาวผู้สวมปิ่นทองระย้าจนเปล่งประกายระยิบระยับ รวมถึงสตรีออกเรือนงดงามอวบอิ่มอย่างอาสะใภ้ผู้นี้อีก
ครอบครัวนี้หน้าตาล้วนได้รับจุมพิตจากสวรรค์ มีแต่ข้าที่ธรรมดาสามัญหรือไร
พอมองเห็นเสี่ยวโต้วติงที่มีองคาพยพคล้ายคลึงกับอารองสวี่ที่ดูทึ่มทื่อไร้เดียงสาอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ไม่อิจฉาแล้ว
“มา หลิงอินกินเนื้อสิ” สวี่ชีอันคีบเนื้อติดมันให้นาง แล้วคีบเนื้อแดงให้สวี่หลิงเยวี่ย
“พี่ใหญ่ใจดีจริงๆ”
“พี่ใหญ่เห็นเจ้าแล้วรื่นตานัก”
“แล้วทำไมเมื่อกี้พี่ใหญ่ไม่ช่วยข้าล่ะ” เสี่ยวโต้วติงนึกถึงเมื่อครู่ที่พี่ใหญ่ไม่เพียงไม่ช่วยนาง แต่ยังหัวเราะขบขัน
“กินขมในขมจึงจะเป็นยอดคน มีเพียงต้องกินขมเท่านั้นจึงจะสามารถกลายเป็นยอดฝีมือที่ทั่วหล้าไร้ผู้ใดต่อกรได้”
“เช่นนั้นมีที่ไม่กินขมแล้วจะไร้พ่ายหรือไม่เจ้าคะ”
“มี อยู่ในฝัน”
…
กินอาหารไปได้พอประมาณ อาสะใภ้ก็เอ่ยเสียงเรียบ “พอผ่านปีใหม่ หนิงเยี่ยนก็อายุยี่สิบแล้ว”
“โอ้ อาสะใภ้ยังจำอายุของข้าได้ด้วย” สวี่ชีอันทำท่าทางตะลึงพรึงเพริด
อาสะใภ้เมินเฉยใส่เขาอย่างหยิ่งยโส แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับอารองสวี่ “ท่านพี่ ต้องหาคู่แต่งงานให้หนิงเยี่ยนได้แล้วหนาเจ้าคะ”
สวี่หลิงเยวี่ยและสวี่ซินเหนียนเงยหน้าจ้องมองมารดาพร้อมกัน
สวี่ชีอันกลับเป็นคนที่ช้าที่สุดเสียเอง เขานิ่งงันไปสองสามวินาทีจึงตอบสนอง จากนั้นก็กลายเป็นความไม่อยากจะเชื่อ
อาสะใภ้ตัวร้ายกลับใส่ใจเรื่องการแต่งงานของหลานชายผู้นี้อย่างข้าด้วย พรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ
เพราะการแต่งลูกสะใภ้นั้นเป็นเรื่องใหญ่มโหฬาร สามหนังสือ หกพิธีการ[1] เกี้ยวแปดคนหาม ล้วนเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น
อาสะใภ้เหลือบมองหลานชายตัวร้ายแล้วพูดต่อ “ข้าว่าลวี่เอ๋อก็ไม่เลวนะ เลี้ยงดูในจวนมาตั้งแต่ยังเด็ก เป็นคู่รักวัยเยาว์กับหนิงเยี่ยนเสียด้วย”
ทั้งยังไม่ต้องเสียเงินสักแดง…อาสะใภ้ช่างสมเป็นอาสะใภ้จริงๆ…
ลวี่เอ๋อผู้งดงามเปี่ยมเสน่ห์ร้อง ‘หา’ ออกมา ดวงแก้มขึ้นสีเรื่อ ทำอะไรไม่ถูกอยู่สักหน่อย
ความรักมาเร็วเกินไปเหมือนกับลมพายุหมุนที่พัดผ่านจนนางมึนงงไปหมดแล้ว
ภายในใจไม่เพียงแต่มีความเขินอายสับสน แต่ยังแฝงความยินดีเอาไว้ด้วย
สวี่หลิงเยวี่ยเหลือบมองสาวใช้รุ่นพี่ตรงหน้าที่เห็นได้ชัดว่าตะลึงทึ่มทื่อไร้แววไปแล้ว นางก็รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย “ท่านแม่อย่าได้ทำตัวเป็นเจ้าภาพเลย เรื่องแต่งงานของพี่ใหญ่ก็ให้ตัวเขากับท่านพ่อปรึกษากันไปเถิด”
ความนัยก็คือ ‘ท่านแม่มีสถานะอะไรในใจของพี่ใหญ่ ท่านไม่รู้ตัวหรือ’
อาสะใภ้มีความแค้นเรื่องแย่งปิ่นกับลูกสาวอยู่แล้วจึงก่นด่า “หนิงเยี่ยนกับลวี่เอ๋อเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก รู้ไส้รู้พุงกันแล้ว มีที่ให้น้องสาวอย่างเจ้าคัดค้านหรือ”
สวี่หลิงเยวี่ยอย่าน้อยใจจนเกินไปเลย
ไม่มีอะไรทั้งนั้น รู้ไส้พุงก็กล่าวเกินไปแล้ว ยังไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย…สวี่ชีอันกำลังคิดจะออกความเห็นก็ได้ยินเจ้าน้องชายข้างๆ เอ่ยขึ้น
สวี่ซินเหนียนกล่าว “ท่านแม่คิดว่าให้ลวี่เอ๋อแต่งกับพี่ใหญ่ ไม่เพียงไม่เสียเงินค่าสินสอด แต่ยังมีเหตุผลให้พี่ใหญ่ย้ายออกไปใช้ชีวิตข้างนอกด้วยน่ะ”
โจมตีทีเดียวถึงจุดตาย
อาสะใภ้พูดอย่างโมโห “เจ้าลูกคนนี้ ไม่รู้จักพูดจามาตั้งแต่เด็ก”
อารองสวี่เอ่ยสรุป “พอเถิดๆ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก หากยังไม่ก้าวสู่ระดับหลอมปราณ หนิงเยี่ยนก็ไม่อาจเข้าใกล้ผู้หญิงได้”
ลวี่เอ๋อสีหน้าผิดหวัง ก้มหน้าคอตก
นอกจากฮูหยินที่นางรับใช้มาตั้งแต่เด็กแล้ว คนบ้านนี้ก็คล้ายจะต่อต้านไม่ให้นางแต่งกับต้าหลางนัก
…
เมื่ออารองสวี่กินข้าวเสร็จก็วิ่งไปยังกองดาบ จากนั้นก็กลับมาหารือเรื่องที่ต้องจัดการในวันพรุ่งนี้กับหลานชายและลูกชาย
พอกลับมาในห้องนอนก็เห็นภรรยานั่งอยู่ข้างเตียง ท่าทางฉุนเฉียว
“เจ้าโกรธมาจนถึงตอนนี้เชียวหรือ” อารองสวี่เอ่ยอย่างอับจนปัญญา
อาสะใภ้หันหน้ามา ถลึงดวงตางดงามใส่ “เจ้าคนสารเลวคนนั้นไม่มีมโนธรรมเลยสักนิด ตอนนั้นที่ข้ารับเขามาจากมือท่าน เขายังตัวเท่าลูกแมวอยู่เลย ใครเลี้ยงดูเขาให้เติบใหญ่ขนาดนี้กัน”
“รู้ว่าจะทำให้ข้าโกรธ รู้อยู่ว่าข้าจะโกรธ แล้วทำไมจะต้องเลี้ยงเขาจนโตขนาดนี้ด้วย สู้ไปให้อาหารหนูยังดีกว่า”
นางกำลังบ่นว่าอยู่ แต่จู่ๆ ก็เห็นสามีหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ บนกล่องไม้สลักคำว่า ‘เป่าชี่ซวน’ อยู่
ริมฝีปากแดงก่ำอ้าออก มองไปยังสามีด้วยความงุนงงตกใจ
“หนิงเยี่ยนบอกให้ข้ามอบให้เจ้าน่ะ” อารองสวี่เอ่ยอย่างจนใจ “พวกเจ้าสองคนกลับไม่มีใครก้มหัวยอมให้กันเลย เขาก็ไม่กล้ามอบให้เจ้า ดังนั้นบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่จึงไม่ได้หยิบออกมา”
อาสะใภ้เปิดกล่องอย่างใจร้อน ด้านในเป็นปิ่นทองระย้าที่มีน้ำหนักและฝีมือประณีตวิจิตรยิ่งกว่าของบุตรสาว
นางกุมเอาไว้ในมืออย่างของล้ำค่า แล้วเดินซอยเท้าไปนั่งบนแท่นโต๊ะเครื่องแป้งหน้ากระจกทองแดง ก่อนปักผมให้ตัวเอง
ใบหน้ารูปไข่ห่านทำให้หญิงสาวงดงามละอออย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อแต่งงานแล้ว
หญิงที่มีใบหน้ารูปเมล็ดแตงก็งามมีเสน่ห์ แต่พอออกเรือนแล้วก็สวยสง่ายิ่งกว่าเก่า
ซึ่งอาสะใภ้เป็นอย่างหลัง
นางจ้องมองตัวเองในกระจกทองแดงอย่างเบิกบานใจแล้วแค่นเสียงเบาๆ ออกมา “ฮึ เจ้าคนสารเลวนั่นยังนับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง”
อารองสวี่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างอีกด้านหนึ่งของห้อง จ้องมองไปยังลานบ้านอันเงียบสงบนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเครียดขรึม ข้างมือมีดาบยาวจากกองดาบ
…
คืนนี้เงียบสงบไร้เรื่องราว สวี่เอ้อร์หลางและสวี่ชีอันที่นอนไม่หลับตลอดคืนต่างก็โล่งอก
เมื่อตื่นเช้ามา สวี่หลิงเยวี่ยยังคงสวมเสื้อชั้นเดียว เปิดหน้าต่างออกแล้วยืดร่างกายงดงามตามแบบหญิงสาวท่ามกลางอากาศเย็นสบาย
“คุณหนู ท่านดูอะไรอยู่ข้างหน้าต่างหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้ดูอะไร”
ผ่านไปครู่หนึ่ง…
“คุณหนู ท่านกำลังรออะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้รออะไร”
“คุณหนูรีบมาแต่งตัวเถิดเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว…เจ้านี่น่ารำคาญเสียจริง”
อารองสวี่ออกจากบ้านตอนรุ่งสางเพื่อไปรวบรวมพลกองดาบใต้บัญชาของเขา สวี่ชีอันออกจากบ้านไปเช่ารถม้า ส่วนสวี่เอ้อร์หลางอยู่ที่บ้านคอยสั่งการคนรับใช้ให้จัดสัมภาระ
เมื่อถึงเวลายามอู่ (ประมาณ 11.00 – 12.59 น.) รถม้าสองคันกับม้าอีกหลายสิบตัวก็ออกจากประตูเมือง ตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ตั้งของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่
รถม้าไม่เร็วนัก ผ่านมาสองชั่วยาม (1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง) เพิ่งจะถึงเชิงเขาชิงหยุน
ผู้ชายสกุลสวี่ทั้งสามคนถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน
“พวกเราหวาดระแวงมากเกินไปรึเปล่า” อารองสวี่ขมวดคิ้ว
สวี่เอ้อร์หลางผู้ชำนาญด้านกลยุทธ์เอ่ยช้าๆ “ถ้าหากคนที่สะกดรอยตามพี่ใหญ่เมื่อวานเป็นคนของจวนสกุลโจวจริงๆ เช่นนั้นพวกเขาก็พลาดโอกาสลงมือที่ดีที่สุดถึงสองครั้งไปแล้ว แต่ก็เป็นไปได้ว่าในสายตาของรองเจ้ากรมโจว พวกเราเป็นแค่มดปลวกที่สามารถบีบให้ตายได้ทุกเมื่อ จึงไม่รีบร้อนลงมือ เขามีปัญหาที่ใหญ่กว่านี้รุมเร้าอยู่แล้ว”
การประมาทศัตรูเป็นข้อห้ามใหญ่หลวงทางการทหาร ให้สันนิษฐานล่วงหน้าว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็พอฟัดพอเหวี่ยงหรือฝีมือไม่ได้ต่างกันมาก
แต่เมื่อเทียบสกุลสวี่กับสกุลโจวแล้ว ก็ไม่พอให้เปรียบเทียบจริงๆ
“ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่พวกเราจะต้องเจอ นั่นก็คือหากไม่จัดการรองเจ้ากรมโจว พวกเราจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
เสียงหัวเราะอย่างเป็นสุขของเสี่ยวโต้วติงขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา นางยื่นหัวออกมาจากม่านแล้วมองดูทิวทัศน์ของชานเมืองด้วยความตื่นเต้น
สวี่หลิงอินคิดว่าตัวเองออกมาเที่ยวเล่นโดยตลอด
สวี่ชีอันรำคาญนาง จึงชี้ไปยังอาคารของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ที่อยู่ไกลๆ พลางเอ่ย “เจ้ารู้ไหมว่าที่นั่นคือที่ไหน”
“ไม่รู้เจ้าค่ะพี่ใหญ่” สวี่หลิงอินหัวเราะคิกคัก ดวงหน้ากลมแดงเรื่อราวกับผลแอปเปิล
“นั่นคือสำนักศึกษาของพี่รอง” สวี่ชีอันกล่าว
คำว่าสำนักศึกษาทำให้สวี่หลิงอินระแวดระวังขึ้นมา นางจ้องมองพี่ใหญ่
สวี่ชีอันพยักหน้า “พวกเราเตรียมจะส่งเจ้าไปเรียนหนังสือ ต่อไปไม่อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่หลิงอินค่อยๆ เลือนหาย มองหน้าพี่ใหญ่อย่างเลื่อนลอย
นางกลับเข้าไปในรถม้าเงียบๆ ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีเสียงร้องไห้จ้าดังลั่น
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากไปสำนักศึกษา ข้าไม่อยากเรียน ฮือๆๆ…”
“หนวกหู พี่ใหญ่เจ้าหลอกเจ้าต่างหาก”
“พี่ใหญ่หลอกข้าทำไม”
“เพราะเขามันเป็นไอ้คนสารเลว”
เพราะอย่างนั้นสวี่ชีอันจึงมีความสุข
เมื่อมาถึงตีนเขาและเดินขึ้นบันได สวี่ชีอันและสวี่ฉือจิ้วก็ไปเยี่ยมจางเซิ่น แต่ผู้ที่มาต้อนรับพวกเขากลับเป็นหลี่มู่ไป๋
“ท่านอาจารย์ล่ะขอรับ” สวี่ฉือจิ้วเอ่ยถาม
“กักตนแล้ว” หลี่มู่ไป๋กวาดตามองสวี่ชีอัน สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ข้าได้ให้คนจัดที่พักไว้ให้แล้ว”
สวี่ฉือจิ้วคำนับขอบคุณแล้วเอ่ยขึ้นอีก “น้องหญิงของผู้น้อยอยู่ในขั้นก้าวสู่ระดับก่อปัญญา อาจารย์สามารถอนุญาตให้นางเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาสักพักหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”
คำขอนี้ไม่ได้มากเกินไป แต่ถ้าหากสวี่หลิงเยวี่ยอยากเรียนหนังสือ สำนักศึกษาย่อมปฏิเสธแน่นอน ทว่าสวี่หลิงอินเป็นเด็กน้อยอายุห้าขวบ ในยุคนี้ ปัญญาชนไม่กีดกันการเขาสู่ระดับก่อปัญญาของเด็กน้อย ถึงขั้นสนับสนุนเรื่องเช่นนี้ด้วยซ้ำ
เพียงแต่เด็กทั่วไปเรียนหนังสือไม่ขึ้นก็เท่านั้น
หลี่มู่ไป๋พยักหน้าตอบรับ
…
สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าตรู่วันนี้ สวี่ฉือจิ้วที่มาเยี่ยมเยียนสหายร่วมชั้นที่พอมีปฏิสัมพันธ์ด้วยและอารองสวี่ที่มาเสาะหาข่าวคราว รวมไปถึงสวี่ชีอันที่ไม่ได้ไปฟังดนตรีที่หอนางโลมสามวันติดต่อกันก็มารวมตัวกันที่ห้องหนังสือ
ลวี่เอ๋อก็ตามมายังสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ด้วยเพราะนายท่านทั้งสามคนล้วนไม่มีใครเต็มใจทำงานชงชารินชาทั้งนั้น
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเอาข้อมูลที่ตนเก็บได้มารวมกันแล้ววางแผนเพื่อจัดการกับโจวลี่
…………………………………………………
[1] สามหนังสือ หกพิธีการ เป็นขั้นตอนการสู่ขอเจ้าสาวแบบจีนโบราณ ‘สามหนังสือ’ ประกอบด้วย หนังสือหมั้นหมาย หนังสือสินสอด และหนังสือรับตัว โดยจะใช้หนังสือดังกล่าวในระหว่างพิธีการต่างๆ ส่วน ‘หกพิธีการ’ ประกอบด้วย การสู่ขอ ขอวันเดือนปีเกิด การเสี่ยงทาย มอบสินสอด ดูฤกษ์ยาม สุดท้ายคือรับตัวเจ้าสาว โดยเจ้าบ่าวจะสวมชุดพิธีการเต็มยศเดินทางไปรับเจ้าสาวที่บ้าน ตามธรรมเนียมกำหนดให้เจ้าบ่าวไปเคารพศาลบรรพชนของฝ่ายหญิง และรับเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวมาทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่บ้านฝ่ายชาย