ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 63 สวี่ชีอัน ‘ข้ายังมีโอกาสรอด’
“ด่านถามใจอยู่ชั้นบน เจ้าขึ้นไปชั้นบนจากที่นี่ และตรงไปชั้นบนสุด” ซ่งถิงเฟิงนำเขาไปที่หัวบันได และชี้ไปที่ชั้นบน
“ด่านนี้ไม่มีข้อกำหนด แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า เดินไปตามใจนึก หากเสแสร้งมากเกินไป คะแนนจะลดลง”
“การให้คะแนนมีประโยชน์อย่างไร” สวี่ชีอันถามกลับ
“เจ้าวัดคุณสมบัติเพื่ออะไรเล่า คะแนนแบ่งเป็นสี่ระดับ เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง[1] ระดับคุณสมบัติยิ่งดี ยิ่งถูกฝึกฝนได้ง่าย” ซ่งถิงเฟิงจับคาง “ข้าระดับอี่”
จูกว่างเสี้ยวพูดด้วยเสียงอึมครึม “ข้าระดับปิ่ง”
ข้าเป็นชายฉกรรจ์… สวี่ชีอันเล่นมุกตลกเงียบๆ และขึ้นไปเพียงลำพัง เมื่อมาถึงชั้นสอง เขาก็เห็นกระจกเงาเรียบๆ แขวนอยู่บนเสาสีแดงที่หันเข้าหาบันได
ร่างของเขาสะท้อนอยู่ในกระจก
สวี่ชีอันใจสั่นอย่างไม่มีเหตุผล กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างยืดตึงอย่างไม่อาจควบคุมได้ จากนั้นก็คลายลงอย่างช้าๆ
ความคิดฟุ้งซ่านในใจสงบลง อารมณ์สงบนิ่ง ละทิ้งชื่อเสียงลาภยศและความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวทั้งหมด
มีบางอย่างผิดปกติกับกระจกบานนี้… ทันทีที่ความคิดนี้แล่นผ่าน มันก็ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจแต่เขาไม่สนใจ
‘เขาถูกบังคับให้เข้าสู่สภาวะไร้ความปรารถนา…’ ความคิดนี้ก็ตกผลึกเช่นกัน
เขาเลี้ยวโค้งอย่างสบายๆ เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ชั้นสาม ที่นี่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ พระวรกายมั่งคั่งและสง่างาม
บนกระถางธูปมีเครื่องเซ่นและธูปจัดเรียงอยู่
หน้าพระพุทธรูปมีเจ้าพนักงานคนหนึ่งยืนมองเขาอยู่
สวี่ชีอันพินิจพิเคราะห์พระพุทธรูปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาเลิกสนใจ และเดินไปทางบันไดของชั้นที่สาม
เจ้าพนักงานมองตามหลังจนเขาจากไป และก้มหน้าเขียนบนกระดาษ ดูเหมือนจะกำลังประเมินอยู่
…
สิ่งที่ประดิษฐานอยู่ชั้นที่สามคือปรมาจารย์เต๋า สวมชุดคลุมลัทธิเต๋า มือถือดาบไม้ และเหยียบเมฆมงคล
หน้าธรรมลักษณะมีเจ้าพนักงานคนหนึ่งเหมือนกัน เขาเฝ้าดูการมาของสวี่ชีอันอย่างเงียบๆ
หลังจากสวี่ชีอันพินิจพิเคราะห์ตามต้องการแล้วก็หมุนกายจากไป เจ้าพนักงานก็หยิบพู่กันหมึกขึ้นมา และเขียนประเมินบนกระดาษที่กระจายอยู่บนโต๊ะ
…
สิ่งที่ประดิษฐานอยู่ชั้นที่สี่คือปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ สวมเสื้อคลุมลัทธิขงจื๊อ สวมมงกุฎขงจื๊อ ทอดมองออกไปไกลๆ
หน้าประติมากรรมปราชญ์ยังคงมีเจ้าพนักงานยืนอยู่ และเฝ้ามองสวี่ชีอันเงียบๆ
ประติมากรรมปราชญ์แห่งนี้ไม่ต่างกับสำนักอวิ๋นลู่เลย…สวี่ชีอันถอนหายใจในใจ และจากไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เขามาถึงชั้นสูงสุดแล้ว คือชั้นที่ห้า
สิ่งที่ประดิษฐานอยู่ชั้นที่ห้าคือผู้ชายที่สวมชุดคลุมสีเหลือง เขายืนอย่างสง่างาม มือทั้งสองข้างกุมดาบ คิ้วโค้งเรียว ท่าทางน่าเกรงขาม
สวี่ชีอันไม่รู้จักคนคนนี้ แต่ชุดมังกรสีเหลืองสดใสอธิบายทุกสิ่ง
จักรพรรดิของราชวงศ์ต้าฟ่ง หรือก็คือจักรพรรดิองค์แรก
เมื่อเดินมาถึงที่นี่ เขาก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘ด่านถามใจ’ ทันที การทดสอบคุณสมบัติเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ความหมายที่แท้จริงคือคุณลักษณะทางศีลธรรมของคน
หน้าที่ของกระจกเงาบานนั้นคือการป้องกันไม่ให้คนทำสิ่งที่ขัดต่อเจตจำนงของตน และเจตนาให้จุดธูปบูชา
…แย่ล่ะ ข้าไม่ได้สักการะพระพุทธรูป ไม่ได้กราบไหว้ปรมาจารย์เต๋า ไม่ได้กราบไหว้ปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ นี่แสดงให้เห็นว่าข้าเป็นคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า พระพุทธเจ้าและสี่ตำราห้าคัมภีร์[2]…
…เรื่องพวกนี้ล้วนไม่เป็นไร แต่ข้าต้องกราบไหว้คนที่ชั้นห้า… ไม่กราบไหว้ข้าจบเห่แน่… คนที่ไม่มีจักรพรรดิ ไม่มีพ่อ เพิกเฉยต่อเทพเจ้าและพระพุทธเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับในยุคนี้…
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นหน่วยอะไร
เป็นหน่วยสืบราชการลับและคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิ
เขาอาจดูหมิ่นหลักสามศาสนา[3]ได้ แต่ไม่จงรักภักดีต่อจักรพรรดิไม่ได้
ดังนั้น ‘ด่านถามใจ’ เป็นการคัดกรองคุณสมบัติทางศีลธรรม
สวี่ชีอันไร้คุณสมบัติอย่างไม่ต้องสงสัย เขาขึ้นห้าชั้นในหนึ่งลมหายใจ และไม่ได้เคารพสักการะอะไรเลย
เศษเดนของโลกอย่างข้าคงจะถูกเตะออกจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล… ช่างเถอะ กุญแจสำคัญคือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรู้ว่าข้าโยนความผิดให้โจวลี่ และใครจะรู้ว่าคดีจะพลิกหรือไม่…
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาทีละอย่าง จากนั้นก็สงบลงและถูกละเลยไปโดยปริยาย
สวี่ชีอันเผชิญกับ ‘วิถีสภาวะไร้ความปรารถนา’[4] อย่างวิตกกังวล เขาบังคับตัวเองให้ไปก้มกราบจักรพรรดิ สติทั้งสองต่อต้านกันอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายแข็งทื่อ กล้ามเนื้อกระตุกและสั่น
เจ้าพนักงานที่ยืนรออยู่หน้าประติมากรรมขององค์จักรพรรดิ สังเกตสวี่ชีอันอยู่ครู่หนึ่ง และเดินผ่านเขาลงไปข้างล่าง
หลังจากนั้นสองสามนาที เจ้าพนักงานก็กลับมา สวี่ชีอันยังคงยืนอยู่ที่เดิม ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน เหมือนกับมือเท้าเป็นตะคริว
เจ้าพนักงานคนนั้นมองสวี่ชีอันเหมือนมองสัตว์หายาก และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าแลกเปลี่ยนผลการประเมินกับสหายร่วมงานที่อยู่ชั้นล่างแล้ว”
เจ้าพนักงานพูดต่อ “ตอนเว่ยกงตั้งด่านถามใจ เขาอธิบายว่าหากมีคนไม่กราบไหว้ห้าชั้นติดต่อกัน นั่นคือคนชั่วร้าย”
…พี่ชาย โปรดให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง!
สวี่ชีอันกังวลมาก
“ดังนั้นเว่ยกงจึงให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ตั้งด่านที่หกไว้ลำพัง แต่ไม่มีใครเคยไปถึงด่านนั้น” เจ้าพนักงานมองสวี่ชีอันอย่างน่าอัศจรรย์ “เจ้ามันขี้แมงป่องมีพิษ[5]”
“เจ้าผ่อนคลายร่างกายลงสักหน่อยเถิด ประเดี๋ยวจะเป็นตะคริว” เขาพูด
สวี่ชีอันไม่ได้เผชิญกับวิถีสภาวะไร้ความปรารถนาในใจอีกต่อไป เขาปรับการหายใจ และทำให้กล้ามเนื้อไม่ชักกระตุกอีกได้สำเร็จ
เวลานี้เขาถึงพบว่าหลังของเขาเปียกโชก
เขาอ้อมรูปปั้นองค์จักรพรรดิตามเจ้าพนักงานไป และเดินไปเขตที่ลึกยิ่งขึ้น
แสงแดดส่องประกายผ่านหน้าต่างฉลุ ทำให้แท่นไม้ในห้องสว่างไสว
บนแท่นไม้สลักบทกวีไว้
‘สังหารทหารของผู้นำศัตรูนับล้าน ดาบที่เอวเต็มไปด้วยเลือด’
‘กลับมาพร้อมกับคทาสีทอง บรรดาขุนนางและนายพลของราชสำนักต่างไม่กล้าพูด’
บทกวีค่อนข้างก้าวร้าว… ให้ข้าอ่านบทกวีหมายความว่าอย่างไร
สวี่ชีอันเอียงศีรษะมองเจ้าพนักงานที่เงียบสนิทไม่พูดไม่จา เดิมทีเขาอยากยัดตั๋วเงิน เก็บข้อมูลจากเขาที่นั่น
เขาครุ่นคิดอีกครั้ง เพียงแค่เจ้าพนักงานคนหนึ่ง จะเข้าใจเจตนาของขันทีที่มีอำนาจคับฟ้าคนนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้
อย่าทำตัวคดโกง จะกลายเป็นเส้นทางแห่งความตาย
ผูกมิตรด้วยบทกวีหรือ เป็นไปไม่ได้ เห็นชัดว่าหัวเรื่องไม่ใช่การแข่งขันพรสวรรค์ด้านบทกวี ด่านถามใจเกี่ยวข้องกับความคิดและหลักคุณธรรม ต้องเริ่มต้นจากด้านนี้
ในเมื่อเป็นการทดสอบความคิดและหลักคุณธรรม เช่นนั้นเว่ยกงวางบทกวีบทนี้ไว้ที่นี่ทำไม
สวี่ชีอันขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป และเริ่มใช้สมองอย่างแข็งขัน
ด่านที่หกคือด่านที่จัดเตรียมไว้ให้นักวัตถุนิยมที่ไม่มีราชา ไม่มีอาจารย์ ไม่เคารพพระเจ้าและพระพุทธเจ้าอย่างข้า ซึ่งเปรียบเสมือนโอกาสสุดท้าย ย่อมต้องขุดหลักความคิดและหลักคุณธรรมอันล้ำค่าบางอย่างออกมาจากในตัวข้า หากข้าไม่มี เช่นนั้นก็ตายแน่
ความคิดและหลักคุณธรรมอันล้ำค่า… ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็นึกถึงบทกวีในห้องโถงชั้นหนึ่ง
‘ขอเชิดชูพระพุทธศาสนาอย่างสุดหัวใจ ไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว’
และหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็คือกำกับดูแลเหล่าขุนนางข้าราชบริพาร… บทกวีของเว่ยกงบทนี้ มีความหมายที่แสดงความจงรักภักดีต่อชาติและกดดันข้าราชบริพารเหมือนกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็กระจ่างทันที และเข้าใจความคิดของขันทีผู้นั้น
บทกวีบทนี้วางอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพื่อเป็นการผูกมิตร แต่เป็นความเข้าอกเข้าใจ
หากคนชั่วร้ายที่ไม่มีราชาไม่มีอาจารย์คนนั้น อุปนิสัยเลวทรามจริงๆ ในด่านถามใจ เขาจะไม่อาจต้านทานจิตใจของตัวเองได้ และฝืนเขียนบทกวีเข้าอกเข้าใจออกมา
ในทางกลับกัน นี่แสดงให้เห็นว่าเขายังมีหลักคุณธรรมอันล้ำค่า เว่ยเยวียนจึงยินดีให้โอกาสอีกครั้ง
สวี่ชีอันถอนหายใจ และยื่นมือออกไป “ขอพู่กันหมึกกับหมึก”
เจ้าพนักงานยื่นพู่กันหมึกให้ และวางกระดาษเซวียนจื่อบนแท่นไม้
สวี่ชีอันเขียนบนกระดาษ และหลับตาลง
แม้ว่าข้าจะไม่มีราชาในใจ ไม่เคารพพระเจ้าและพระพุทธเจ้า เป็นนักวัตถุนิยมอย่างแท้จริง
แต่ข้าไม่ใช่คนชั่วร้าย ใจของข้ามีความเที่ยงธรรม ใต้เท้ามีหลักการ ข้าไม่เคยกลั่นแกล้งประชาชน ไม่เคยพึ่งสถานะเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชารีดทรัพย์ แม้ว่านี่จะเป็นบรรทัดฐานของสังคม…
แม้ว่าข้าจะเคยอยากหาเงินอย่างสุดกำลัง
หากท่านต้องการความเข้าอกเข้าใจ ข้าจะแต่งบทกวีตามที่ท่านปรารถนา
สวี่ชีอันจรดพู่กันหมึก ปราศจากอุปสรรคทางใจใดๆ และเขียนด้วยตัวอักษรน่าเกลียด
‘ทั้งอาหารทั้งเงินเดือน ความมั่งคั่งที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของประชาชน’
‘กดขี่ข่มเหงประชาชนนั้นง่าย แต่หลอกลวงสวรรค์นั้นยาก’
เจ้าพนักงานมองสี่ประโยคบนกระดาษด้วยสีหน้างุนงง
เขารับกระดาษไป จ้องมองสวี่ชีอันอย่างจริงจังครู่หนึ่ง และพูดว่า “ด่านถามใจสิ้นสุดลงแล้ว เชิญใต้เท้าตามสบายเถิด เพียงแต่ก่อนผลจะออก อย่าออกจากที่ทำการปกครอง”
“คุณสมบัติของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแต่ละคนต้องให้เว่ยกงพิจารณาด้วยตัวเอง ข้าน้อยจะไปส่งให้เว่ยกงเดี๋ยวนี้”
เขาแทบจะออกจากชั้นนั้นด้วยการวิ่ง เสียงฝีเท้าตึกๆ ดังมาจากบันได และห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชีอันรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแรง จึงประคองแท่นไม้หายใจอยู่ครู่หนึ่ง และตามลงไปข้างล่าง
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวรอสหายร่วมงานคนนี้อยู่ที่ชั้นหนึ่ง เมื่อเห็นสวี่ชีอันลงมาข้างล่าง ก็โบกมือให้ด้วยรอยยิ้ม “คุกเข่าไปกี่ครั้ง”
เขายิ้มแย้มอย่างเจ้าเล่ห์
เจ้าพนักงานที่ลงไปข้างล่างไม่ได้บอกขั้นตอนกับผลลัพธ์แก่เขา
สวี่ชีอันอ้าปาก และเลือกเงียบในที่สุด
คิ้วสองข้างบนใบหน้าสำรวมกิริยาของจูกว่างเสี้ยวค่อยๆ ขมวดกัน “สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีนะ”
ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยดี แต่เขารู้สึกว่าตัวเองก้าวไปมาบนเส้นคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตาย ตื่นเต้นยิ่งกว่ารถไฟเหาะ…
สวี่ชีอันส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ และพูดว่า
“ข้าอยากหาสถานที่นั่งดื่มชา และพักสักหน่อย”
ซ่งถิงเฟิงเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเชิญหญิงงามจากหอคณิกามานวดไหล่นวดขาให้เจ้าดีหรือไม่”
เจ้าก็เหมือนคนที่พูดจำอวดใต้สะพานลอย…สวี่ชีอันยิ้มและพยักหน้า “ไปเชิญแม่นางฝูเซียงที่สำนักสังคีตมาที”
ซ่งถิงเฟิงชะงัก และหัวเราะออกมา “ความฝันนี้ ตอนที่ข้ายังหนุ่มก็เคยมีเหมือนกัน”
……………………………………………
[1] เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง หมายถึง ระดับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ตามลำดับ เป็นผลการทดสอบระดับคุณสมบัติ
[2] สี่ตำราห้าคัมภีร์ หมายถึง หนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าที่เป็นแนวคิดของปรัชญาขงจื๊อ โดย ‘สี่ตำรา’ ภายหลังเป็นการรวบรวมบันทึกคำสอนของขงจื๊อ แนวคิดและหลักการปกครองของปรัชญาขงจื๊อ และพิธีกรรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงวิธีประพฤติตนให้มีความรู้และคุณธรรม เป็นตำราพื้นฐานในการศึกษาลัทธิขงจื๊อ ส่วน ‘ห้าคัมภีร์’ ประกอบไปด้วย คัมภีร์ว่าด้วยเรื่องโหราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ บทกวี พิธีกรรม และบันทึกพงศาวดารและปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ
[3] สามศาสนา หมายถึง ลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า และพุทธศาสนา
[4] วิถีสภาวะไร้ความปรารถนา เป็นสภาวะที่ร่างกายทั้งหมดเข้าสู่ระดับไม่มีความอยาก เมื่ออยู่ในสภาวะนี้จะรู้สึกนิ่งสงบ ทำให้การตัดสินสิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยความเป็นกลาง
[5] ขี้แมงป่องมีพิษ เปรียบเปรยถึงสิ่งที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร