ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 71-2 ข้อมูลแปลกประหลาด
ฝูเซียงผู้คลุมตัวด้วยผ้าบางเบา ผิวขาวผ่องเรือนร่างโดดเด่น นั่งคุกเข่าปรนนิบัติอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ มือน้อยๆ อันอ่อนนุ่มถูไถอยู่บนร่างกายของเขา
“ไม่เจอกันหลายวัน คุณชายรูปงามยิ่งกว่าเดิมนัก” นางคณิกาเอ่ยชมเรือนร่างแข็งแรงกำยำของสวี่ชีอัน ดวงตาระยิบระยับเคลื่อนไปมารวดเร็ว
องคาพยพทั้งห้าของสวี่ชีอันก่อนหน้านี้หล่อเหลานับว่าไม่เลว แต่เมื่อพบกันใหม่ในวันนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าภายนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่กลับทำให้เกิดอารมณ์แบบที่ยากจะบรรยาย
“ขอเพียงเจ้าพึงใจ การเปลี่ยนแปลงของข้าก็คุ้มค่าแล้ว” สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้น
ใบหน้างดงามชดช้อยของฝูเซียงแดงเถือก มีความสุขแบบเขินอายเล็กน้อย
นางเอ่ยด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ “ชอบหลอกลวงข้าด้วยถ้อยคำน่าฟังอยู่เรื่อย เห็นได้ชัดว่าคุณชายดูแคลนข้า”
มีชายหนุ่มที่ไหนจะกอดนางทั้งคืนโดยไม่ทำอะไรสักอย่างบ้างเล่า
วันต่อมาเมื่อนางคณิกาตื่นขึ้น นางก็รู้สึกสงสัยในเสน่ห์ของตัวเองอย่างหนัก
“วันนั้นข้าเหนื่อยนิดหน่อย…” สวี่ชีอันกล่าวอย่างสบายอารมณ์ คำกล่าวนี้ฟังดูแล้วคล้ายข้ออ้างของชายแก่วัยสี่สิบห้าสิบยิ่งนัก
เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เอ่ยถามว่า “หนาวหรือไม่”
นางคณิกาพยักหน้าทันที กล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “หนาวเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันดึงนางเข้ามาในอ่างอาบน้ำ
‘ตู้ม…’
นางกรีดร้องอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฝูเซียงนอนคว่ำอยู่ในอ้อมอกของสวี่ชีอันแล้วกล่าวอย่างออดอ้อน “เกลียดนัก”
นางนั่งอยู่บนท้องของสวี่ชีอัน สองมือคล้องคอเขา แล้วเอ่ยขอคำแนะนำเรื่องบทกลอนของเขาเป็นการหาเรื่องมาพูดแก้เขิน
ถึงแม้สวี่ชีอันจะเป็นของหนีภาษี แต่ในหัวของเขาก็จดจำบทกลอนได้มากมาย โพล่งออกมาสักสองสามประโยคเป็นครั้งคราวก็ทำให้นางคณิกาใบหน้าแดงด้วยความตื่นเต้นแล้ว
“จริงสิ เรื่องปลดรองเจ้ากรมโจวจากราชการแล้วเนรเทศนั้น คุณชายหยางได้ยินแล้วหรือยังเจ้าคะ”
ประโยคที่ดูเหมือนสุ่มพูดออกมาทำให้จิตใจที่ผ่อนคลายของสวี่ชีอันตื่นตัว
“ได้ยินแล้ว เหมือนว่าจะถูกเวยอู่โหวกล่าวหา” สวี่ชีอันกล่าว
นางคณิกาเงยดวงหน้างามชดช้อยมีเสน่ห์หยาดเยิ้มขึ้นมาจ้องมองเขา ก่อนหัวเราะเสียงเบา “ดูเหมือนจะเป็นเพราะคุณชายโจวผู้นั้นไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้าย จับตัวบุตรสาวอนุภรรยาของเวยอู่โหวไป”
“ดังนั้นจึงได้กล่าวว่าความงามเป็นดั่งมีดเฉือนกระดูกอย่างไรเล่า” สวี่ชีอันเอ่ยตกใจครึ่งทอดถอนใจครึ่ง
ในฐานะที่เป็นมือฉมังในการสอบสวน ย่อมไม่มีใครขุดเอาข่าวคราวไปจากเขาได้ง่ายๆ ได้ ถึงอย่างนั้น ฝูเซียงก็อาจจะเกิดความสงสัยในใจ
จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร วันนั้นเพิ่งจะพูดเรื่องในอดีตไป โจวลี่ก็ลงมือกับบุตรสาวอนุภรรยาของเวยอู่โหวจริงๆ…อืม อาจจะไม่ได้สงสัย แต่ย่อมมีความอยากรู้แน่
ข้าต้องทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่ผู้หญิงคนนี้มีต่อข้าเพิ่มขึ้น ทำให้นางเอนใจมาที่ข้า เลี่ยงไม่ให้พูดเรื่องของข้ากับขุนนางสักคนในวันใดวันหนึ่ง…
“เมื่อครู่ข้าเห็นแม่นางร่ายรำก็รู้สึกประทับใจทันที จึงบังเอิญคิดได้ขึ้นมาสองสามประโยค…” สวี่ชีอันโอบไหล่หอมกรุ่นของคนงามแล้วท่องกลอน “สุขใจปีนี้ซ้อนปีหน้า จันทราสราทลมวสันต์รอพักผ่อน”
สุขใจปีนี้ซ้อนปีหน้า จันทราสราทลมวสันต์รอพักผ่อน[1]…นางคณิกาน้ำตาคลอเบ้า ร่ำไห้พลางเอ่ยเสียงเบา “คุณชายกำลังแทงใจข้าน้อยหรือเจ้าคะ คุณชายช่างใจร้ายนัก”
ค่ำคืนนั้น เตียงนอนของนางคณิกาสั่นไหวอยู่ครึ่งคืน
…
ยามเหม่าวันต่อมา สวี่ชีอันแต่งตัวสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยภายใต้การปรนนิบัติของคนงามผู้มีสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย รับอาหารเช้าแล้วบอกลาฝูเซียงที่มองด้วยสายตารักใคร่เสน่หา
ตอนที่สาวใช้ใหญ่ซึ่งรออยู่ของฝูเซียงเห็นเขาในเช้าวันนี้ ท่าทางนอบน้อมนั่นก็ทำให้สวี่ชีอันสุขใจ
เมื่อออกมาจากลานในหออิ่งเหมย เขาก็เจอกับสหายร่วมงานท่าทางกระปรี้กระเปร่าสองคนที่ประตู
นางไม่ได้เก็บเงินข้าจริงๆ ด้วย…อา จนใจกับบุญคุณคนงามนัก…สวี่ชีอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉง “อรุณสวัสดิ์ท่านทั้งสอง”
ทั้งสามออกจากตรอกของสำนักสังคีตเคียงกัน เมื่อจากมาซ่งถิงเฟิงก็หรี่ตาลง อดเอ่ยถามไม่ได้ “แม่นางฝูเซียง…เป็นอย่างไรรึ”
จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมก็หันมามอง
สวี่ชีอันเดินไปด้านหน้าพร้อมกับท่าทางเย่อหยิ่งอันธพาล มุมปากยกขึ้นกล่าว “ต่อไปให้เรียกข้าว่าประสกผู้สุกงอม”
…
เขาซื้อผ้าไหมสองสามพับที่เมืองชั้นในแล้วเช่ารถม้าหนึ่งคันกลับไปยังบ้านสกุลสวี่
วันนี้อารองสวี่หยุดงาน รอข่าวคราวจากเขาอยู่ที่บ้าน สวี่ซินเหนียนก็ไม่มีกะจิตกะใจเรียนหนังสือ
จนกระทั่งสวี่ชีอันให้คนใช้ขนผ้าไหมกลับมา คนทั้งบ้านจึงโล่งอก
สวี่ชีอันไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขาชี้ไปที่ผ้าไหมแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เอามาให้อาสะใภ้กับน้องหญิงตัดเสื้อผ้า”
อาสะใภ้กลั้นหายใจ เชิดคางแหลมงามขาวราวหิมะขึ้นแล้วแค่นเสียง
เสี่ยวโต้วติงดึงชายกางเกงของเขาต้องการจะปีนขึ้นมา ปากก็เอ่ยเสียงดัง “พี่ใหญ่ๆ เมื่อวานข้าเห็นพี่หญิงแอบร้องไห้ด้วยเจ้าค่ะ”
ใบหน้ารูปเมล็ดแตงของสวี่หลิงเยวี่ยแดงเถือก
ต่อหน้าคนในครอบครัวไม่อาจแสดงท่าทีสนิทสนมเกินไปได้ สวี่ชีอันจึงแย้มยิ้มให้กับสาวน้อยผู้งดงาม จากนั้นก็เตะเสี่ยวโต้วติงขึ้นไปกลางอากาศราวกับเตะลูกขนไก่ก่อนยื่นมือไปกอดเอาไว้แน่น
อาสะใภ้ตกใจจนสะดุ้ง เสี่ยวโต้วติงกลับหัวเราะคิกคักอย่างไม่คิดอะไรมาก
อารองตะลึง “เจ้าเข้าสู่ระดับหลอมปราณแล้วหรือ”
เมื่อสวี่ชีอันยืนยัน อารองก็เผยรอยยิ้มดีใจเหมือนพ่อแก่ๆ
ในห้องหนังสือ สวี่ชีอันอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้อารองและเอ้อร์หลางฟังคร่าวๆ
สองพ่อลูกนึกกลัวภายหลังอยู่พักหนึ่ง
สวี่ซินเหนียนมองพินิจญาติผู้พี่ “เหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงส่งคนมาสะกดรอยตามเจ้า”
ข้าก็อยากรู้…สวี่ชีอันลองคาดเดา “บางทีคนนอกที่อยู่ในสำนักศึกษาวันนั้น มีเพียงข้าหรือเปล่า”
วันที่เกิดนิมิตขึ้นที่ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอกนั้น องค์หญิงใหญ่ก็อยู่ที่สำนักศึกษาด้วย นางจึงไม่อาจไม่สนใจเรื่องนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้การเฝ้าสังเกตคนนอกเพียงคนเดียวในวันนั้นก็สมเหตุสมผล
สวี่ซินเหนียนเอ่งเสียงขรึม “องค์หญิงใหญ่มีความคิดล้ำลึกยิ่งนัก นางไม่เพียงร่ำเรียนอยู่ในสำนักศึกษาอวิ๋นลู่หลายปี แต่ยังมีความสัมพันธ์เป็นกึ่งศิษย์อาจารย์กับเว่ยเยวียนด้วย ทักษะหมากรุกของนางยอดเยี่ยมมาก การแนะนำให้เจ้าเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่มีทางเป็นแค่การถือโอกาสวางหมากชั่วคราวแน่ ถ้าหากในอนาคตพี่ใหญ่ถูกนางเรียกพบก็อย่าได้ตกใจ จดจำไว้ว่าจะต้องระมัดระวังและปฏิบัติต่อนางอย่างมีสติ”
สวี่ชีอันรับคำ “อืม”
สามารถถูกสวี่ฉือจิ้วผู้หยิ่งยโสให้ความสำคัญและระมัดระวังเช่นนี้ได้ บอกชัดว่าองค์หญิงใหญ่ผู้นี้ไม่ใช่ง่ายๆ เลย
สวี่ซินเหนียนพูดจบก็เชิดคางขึ้นทันทีพร้อมเอ่ย “ข้าเข้าสู่ระดับบำเพ็ญตนแล้ว”
และก็กลายเป็นยอดฝีมือขั้นแปดของลัทธิขงจื๊อเช่นกัน!
สวี่ชีอันตื่นเต้นยินดี “ปราชญ์ระดับบำเพ็ญตนมีพลังพิสดารอะไรบ้าง”
สวี่ซินเหนียนมุมปากกระตุก “เมื่อมีความชอบธรรมสถิต แม้จะมีกองทัพนับพันหมื่นคน ข้าก็จะไปที่นั่น”
ชั่วพริบตานี้ ในใจของสวี่ชีอันก็มีความองอาจสูงส่งหมื่นจั้งพุ่งขึ้นมา และเกิดความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับกองทหารหลายพันหมื่นนายด้วยตัวคนเดียวได้
ความกล้าไร้ชื่อเช่นนี้คงอยู่นานหนึ่งเค่อถึงค่อยๆ สลายหายไป
“บำเพ็ญตนเป็นกระบวนการขัดเกลาความกล้า ปราชญ์ในระดับนี้ เพียงแค่คำพูดและการกระทำก็ทำให้ผู้คนเลื่อมใสได้แล้ว ตัวอย่างเช่น เมื่อครู่พี่ใหญ่คิดว่าคำพูดของข้านั้นมีเหตุผล ดังนั้นจึงปฏิบัติไปโดยไม่รู้ตัว ภายภาคหน้าเมื่อข้ารับราชการ ย่อมไขคดีได้ไม่แพ้เจ้า”
ไม่หรอก ข้าพึ่งพาความสามารถที่แท้จริง เจ้าน่ะพึ่งกลโกง! สวี่ชีอันเอ่ยในใจ
นี่เท่ากับว่าเป็นการเสริมความกล้าอย่างหนึ่ง ต้นแบบของวาจาบัญญัติกฎสินะ…ดวงตาของสวี่ชีอันสว่างไสว เขามองสบตากับอารอง แล้วเอ่ยพูด “ฉือจิ้ว พี่ใหญ่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี…”
“ไสหัวไป!” สวี่ซินเหนียนไม่รอให้เขาพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
พวกทหารต่ำช้า
…
สวี่ชีอันกลับไปยังเรือนเล็กของตนแล้วงีบหลับ
ทันใดนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาอย่างประหลาดใจ สิ่งที่ปลุกเขาก็คือกระจกหยกใบเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้หมอน
บนผิวกระจกที่ทำจากหยกมีตัวอักษรแถวหนึ่งปรากฏขึ้น
‘เก้า: เจ้าอยู่ที่ไหน’
……………………………
[1] สุขใจปีนี้ซ้อนปีหน้า จันทราสราทลมวสันต์รอพักผ่อน เปรียบเปรยถึงฝูเซียงที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเผื่อปีหน้าที่ต้องทุกข์ระทม ใช้ชีวิตวัยสาวอย่างหนักหน่วง จึงมุ่งหวังเพียงการพักผ่อน