ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 98 ความลับที่ไม่มีใครรู้
ภาคที่ 2 สถานการณ์หวั่นไหวในการตรวจสอบข้าราชสำนัก บทที่ 98 ความลับที่ไม่มีใครรู้
จักรพรรดิหยวนจิ่งรับผลกระทบเป็นคนแรก ล้มลงกับพื้นท่ามกลางพลังที่ผันผวน แท่นสูงสั่นไหวอย่างรุนแรง แผ่นป้ายบรรพบุรุษบนโต๊ะต่างก็ล้มลง
เครื่องบูชา ภาชนะกระจัดกระจายไปทั่ว กระเบื้องที่สาดกระเด็นมีบางส่วนหล่นทับตัวจักรพรรดิหยวนจิ่ง
สถานการณ์วุ่นวายในทันใด ทหารองครักษ์ที่ตรวจตราโดยรอบรีบตรงมายังค่าย พุ่งไปยังซังผอ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เฝ้าระวังอยู่ริมทะเลสาบตรงไปยังขบวนเซ่นไหว้ คุ้มกันเชื้อพระวงศ์และเหล่าข้าราชบริพาร
“มีนักฆ่า คุ้มกันฝ่าบาท”
“คุ้มกันฮองเฮา คุ้มกันองค์หญิง…”
“คุ้มกันสมุหราชเลขาธิการ…”
เงาร่างสั่นไหว ฆ้องทองคำสิบคน ยอดฝีมือของทหารองครักษ์ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หน่วยงานราชการ ยอดฝีมือของสำนัก เพียงแค่ชั่วขณะก็มีทหารระดับสูงนับสิบคนบินขึ้นสู่ฟ้า ลอยตัวลงบนแท่นสูงและทางเดินยาวที่คดเคี้ยว คุ้มกันจักรพรรดิหยวนจิ่งไว้อย่างหนาแน่น
ความโกลาหลดำเนินไปเพียงไม่นาน เพราะไอกระบี่ที่ผ่าทะลุฟ้านั่นหายไปอย่างรวดเร็ว ทะเลสาบกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
ไม่ได้มีนักฆ่า เมื่อลมพายุสงบ โดยรอบนิ่งลงแล้ว ไม่พบใครบาดเจ็บล้มตายและบุคคลน่าสงสัย
เว่ยเยวียนเป็นคนรับผิดชอบความปลอดภัยในพิธีเซ่นไหว้ เดินขึ้นแท่นสูงตามทางเดินยาวบนน้ำที่คดเคี้ยว โค้งคำนับพร้อมกล่าว
“ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ ข้าน้อยสมควรตาย”
เวลานี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งตั้งสติได้แล้ว แต่ผ่านเรื่องราวนี้ ไอเทพที่เลือนรางของเขาก็ได้หายไปจนหมดสิ้น
เขาไม่ใช่นักพรตที่ฝึกฝนมากว่ายี่สิบปี แต่เป็นราชาผู้เกรียงไกรยากจะคาดเดา ผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือ
จักรพรรดิหยวนจิ่งพูดเสียงต่ำว่า “ทุกคนถอยออกจากแท่นบูชา ห้ามเข้าใกล้”
เหล่าทหารระดับสูงลุกขึ้นรับคำ รวมถึงเว่ยเยวียนด้วย
จักรพรรดิหยวนจิ่งจัดเสื้อให้ตรง ปัดฝุ่นบนเสื้อออก เปิดประตูวัดออกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เดินเข้าไปข้างใน
…
ข้างต้นหลิว สวี่ชีอันที่ตะโกนออกไปไม่ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือที่แปลกประหลาดอีก เมื่อเวลาผ่านไปสติของเขาก็นิ่งสงบลง ในหัวยังมีอาการปวดจากการบาดเจ็บ แต่ไม่ได้ยากที่จะทนเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
ในเวลานี้ เขาถึงมีกำลังไปสำรวจดูสถานการณ์โดยรอบ
สหายข้างๆ จากไปนานแล้ว คุ้มกันเหล่าข้าราชบริพารเชื้อพระวงศ์และราชนิกุลเอาไว้
บนแทนสูงว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่ทางเดินยาวที่คดเคี้ยวเต็มไปด้วยทหารระดับสูงซึ่งนำโดยเว่ยเยวียน
จักรพรรดิหยวนจิ่งหายตัวไป
ที่ทำให้สวี่ชีอันแปลกใจที่สุดคือ เทวสถานที่บูชากระบี่เทพในตำนานนั่น ตรงหลังคาถูกผ่าออก ปรากฏเป็นรูขนาดใหญ่รูหนึ่ง
พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษเกิดปัญหาขึ้น ความลับของซังผอปรากฏต่อโลกอีกครั้งแล้วเหรอ
ความคิดในใจของสวี่ชีอันแวบเข้ามา กุมหัวที่ปวดเอาไว้ด้วย รวมตัวกับกองกำลังไปด้วย
เนื่องจากฐานะหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาจึงไม่ได้ถูกสกัดกั้น
“เจ้าเป็นอย่างไร” ซ่งถิงเฟิงพิจารณาดูสหายใหม่ “ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง”
ซ่งถิงเฟิงไม่ได้เชื่อมโยงอาการแปลกประหลาดของทะเลสาบซังผอเข้ากับความผิดปกติก่อนหน้านี้ของสวี่ชีอันเข้าด้วยกัน
นี่ก็เหมือนกับการที่เจ้าไม่มีทางเชื่อมโยงการคำรามของไก่อ่อนตัวหนึ่งกับแผ่นดินไหวระดับสิบเข้าด้วยกัน
“หลายวันนี้ขยันฝึกฝนมากเกินไป เลยได้รับบาดเจ็บ” สวี่ชีอันหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้วพูดว่า “ค่อยยังชั่วที่ดีขึ้นแล้ว จริงสิ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกัน”
“ไม่รู้” ซ่งถิงเฟิงส่ายหัว กวาดตามองรอบๆ แสดงท่าทางระแวดระวังไปพลางพูดเสียงต่ำพลาง
“จู่ๆ วัดหย่งเจิ้นซานเหอก็ระเบิดออก มีไอกระบี่พุ่งออกจากเทวสถาน ทำให้ทั้งทะเลสาบซังผอปะทุราวกับแผ่นดินไหว แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว เหมือนจะไม่ใช่ฝีมือพวกนักฆ่า”
สวี่ชีอันมองไปทางแท่นสูงอีกครั้ง รูบนหลังคานั่นถูกไอกระบี่ทำให้ทะลุเหรอ กระบี่เทพมีพลังเช่นนี้ เช่นนั้นที่ข้าช่วยเหลือเมื่อครู่นี้ จะต้องไม่ใช่พวกวิญญาณกระบี่เป็นแน่
เขาหรี่ตาชั่วขณะ เก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้ ตกตะกอนความคิดทั้งหมด จากนั้นก็รีบเร่งไปหาองค์หญิงใหญ่ คำนับกล่าวว่า
“องค์หญิงใหญ่ไม่เป็นไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”
สถานการณ์กลับสู่ปกติแล้ว แม้ว่าจะมีเสียงกระซิบกระซาบ แต่โดยรวมก็สงบมาก ต่างก็รอจักรพรรดิหยวนจิ่งออกมา
พอสวี่ชีอันพูดออกมา ทำให้ดึงความสนใจของคนรอบข้างด้วย มีสหายหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีทหารองครักษ์ แล้วก็มีองค์หญิงใหญ่ รวมถึงเหล่าขุนนางเชื้อพระวงศ์ข้างกายนาง
หน้าตาองค์หญิงใหญ่งดงาม สีหน้ากลับเย็นชาราวน้ำแข็ง นางเอียงหัว นัยน์ตาราวผืนน้ำในฤดูใบไม้ร่วงสะท้อนเงาร่างสวี่ชีอันออกมา น้ำเสียงมีความเย็นชาราวหยกกระทบกัน
“ข้าไม่เป็นไร!”
สวี่ชีอันโล่งอก “กระหม่อมก็วางใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเห็นเท่านี้ก็พอ หลังปรากฏตัวแล้วจึงรีบถอยออกไป ระวังโดยรอบอย่างระแวดระวัง
“ฮว๋ายชิ่ง ฆ้องทองแดงน้อยนี้ชื่นชมเจ้าเป็นอย่างมากนะ” เสียงอ่อนหวานดังขึ้น เป็นองค์หญิงรองด้านหลังขององค์หญิงใหญ่
ฮว๋ายชิ่งเป็นชื่อขององค์หญิงใหญ่ แต่นางชอบให้คนอื่นเรียกนางว่าองค์หญิงใหญ่มากกว่า
จักรพรรดิหยวนจิ่งเคยประเมินผู้หญิงคนนี้ว่า ‘ความอยากเอาชนะไม่แพ้ผู้ชายเลย ความเด็ดเดี่ยวไม่แพ้ข้า’
หน้าตาองค์หญิงรองสวยสดงดงาม ใบหน้าที่กลมมนมีดวงตาหวานที่สดใสคู่หนึ่ง ริมฝีปากแดง เวลายิ้ม มักจะโปรยเสน่ห์ออกมา
เป็นสองสาวงามที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับองค์หญิงใหญ่ ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องไม่ดีมาตลอด
องค์หญิงใหญ่ พูดขึ้นเรียบๆ “ข้าไม่ถึงกับปลาบปลื้ม เพียงแค่สำนึกในบุญคุณเท่านั้น”
สวี่ชีอันวางรากฐานในสำนักโหราจารย์ บวกกับท่าทางเมื่อครู่ สร้างภาพลักษณ์ที่ ‘รู้จักตอบแทนบุญคุณ’ ในใจขององค์หญิงใหญ่ ได้สำเร็จ
องค์หญิงรองหัวเราะเสียงเบา “เสน่ห์ของท่านพี่ฮว๋ายชิ่งรู้กันทั่วทั้งเมืองหลวง ปัญญาชนของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ปักใจต่อเจ้ามากเพียงนี้ ปัญญาชนยังเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลล่ะ”
องค์ชายองค์หญิงคนอื่นต่างก็มองดูอย่างสนใจ ไม่ได้ประเมินคำพูดน้ำผึ้งอาบยาพิษขององค์หญิงรอง
“หลินอัน!”
องค์ชายรัชทายาทตงกงขมวดคิ้ว ตำหนิว่า “เงียบ”
หลินอันเป็นชื่อขององค์หญิงรอง เมื่อถูกพี่ชายตำหนิ นางเบ้ปาก ยืนตัวตรง แสดงท่าทางที่สง่างามออกมา
เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างก็รู้ว่า องค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรองไม่ถูกกัน
องค์หญิงใหญ่กำเนิดจากฮองเฮา องค์หญิงรองกำเนิดจากพระสนมเฉิน ตำแหน่งแตกต่างกัน เพียงแต่พระสนมเฉินเป็นที่โปรดปรานมากกว่าฮองเฮา
สมัยที่นังทรงพระเยาว์ องค์หญิงรองยั่วยุเรื่ององค์หญิงใหญ่ คอยหาเรื่องไปทั่ว
เดิมก็เป็นการต่อสู้กันระหว่างเชื้อพระวงศ์ที่ธรรมดามาก แต่ว่าองค์หญิงใหญ่กลับเป็นคนที่เด็ดขาดและแยกตัวคนเดียว นางให้ทหารจับตัวองค์หญิงรอง ทหารไม่กล้า นางจึงลงมือด้วยตัวเอง หยิบม้วนไม้ไผ่แล้วไล่ตีองค์หญิงรอง
รบจากใต้ขึ้นเหนือ จากเหนือลงใต้
นางกำนัลในวังและทหารไม่กล้าห้ามปราม สุดท้ายก็ถึงหูจักรพรรดิหยวนจิ่งที่บำเพ็ญเซียน
พระสนมเฉินพาบุตรสาวที่หน้าตาระบมมาฟ้ององค์หญิงใหญ่ จักรพรรดิหยวนจิ่งตั้งใจจะลงโทษองค์หญิงใหญ่ให้นางไปที่ห้องหนังสือ
องค์หญิงใหญ่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ได้เอา ‘หลี่จี้’ ‘ทงเตี่ยน’ ‘กฎตำหนักวัง’ และหนังสืออื่นๆ สิบกว่าเล่มมา กางออกทีละเล่ม ชี้ประโยคเด็ด อธิบายความเห็นตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
สุดท้ายก็ชนะคดีความ จักรพรรดิหยวนจิ่งตัดสินให้องค์หญิงใหญ่พ้นโทษอย่างหดหู่ ตัวเองก็กลับไปบำเพ็ญเซียนต่อ
หลังโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว องค์หญิงใหญ่จึงก็สงบเสงี่ยมขึ้นมาก
…
วัดหย่งเจิ้นซานเหอ
ชายสวมชุดสีเหลืองสวมมงกุฎราชาที่องอาจยืนถือกระบี่ ประตูวัดปิดสนิท จักรพรรดิหยวนจิ่งยืนอยู่หน้าธรรมลักษณะของฮ่องเต้องค์แรก จ้องมองกระบี่ทองเหลืองที่เต็มไปด้วยฝุ่นนั่นเงียบๆ
“ขั้นหนึ่งแล้วจะทำไม เดิมเจ้าที่ควรจะมีอายุยืนยาว ก็ยังถูกดวงชะตาของโลกมนุษย์ทำให้ลำบาก แล้วมีชีวิตยืนยาวกว่าคนธรรมดากี่ปีกัน” เหมือนจักรพรรดิหยวนจิ่งพูดอยู่คนเดียว และเหมือนพูดคุยอยู่กับบรรพบุรุษเมื่อหกร้อยปีก่อนท่านนี้
“ข้าขึ้นครองราชบัลลังก์ตอนอายุยี่สิบ ล้มศัตรูทั้งหมดได้ นั่งอยู่ตรงตำแหน่งนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถเคียงข้างข้าได้อีก แต่สุดท้ายข้าพบว่า ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดคือเวลา”
จักรพรรดิหยวนจิ่งละสายตาไปอย่างช้าๆ ก้มมองพื้นดินใต้เท้า มองอยู่นาน แล้วเขาก็เริ่มตรวจสอบการตกแต่งภายในวัด กระทั่งขึ้นไปยังแท่นบูชา จับต้องธรรมลักษณะของบรรพบุรุษอย่างไม่เคารพ จับต้องกระบี่ทองเหลืองเล่มนั้น
กระบวนการนี้ละเอียดอ่อนและยาวนาน สุดท้ายจักรพรรดิหยวนจิ่งถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง คุกเข่าอยู่บนเบาะนั่ง กราบคำนับราชาคนแรกสามครั้ง แล้วออกไปจากวัดหย่งเจิ้นซานเหอ
จักรพรรดิหยวนจิ่งยืนอยู่บนแท่นสูง ทอดมองเหล่าขุนนางข้าราชบริพารและเชื้อพระวงศ์ เสียงราวกับระฆังยามเช้ากล่าว “เริ่มพิธีบวงสรวงต่อ”
เขาไม่ได้อธิบายสาเหตุของความผิดปกติเมื่อครู่
ห้าองครักษ์และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกระจายออกไปใหม่ ฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตรวจตราโดยรอบ
ขันทีก้มหน้าก้มตาเดินเรียงมา ทำความสะอาดเศษชิ้นส่วนกระเบื้องบนแท่นสูง จัดเรียงภาชนะเครื่องเซ่น และแผ่นป้ายบรรพบุรุษราชสำนัก
สวี่ชีอันกลับไปยังตำแหน่งหน้าที่ บ่นอยู่ในใจ แปลกมากเลย ตามหลักแล้ว เวลาเจอเรื่องแบบนี้ตอนเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เป็นอกใหญ่…ถุย ถือเป็นลางร้าย จักรพรรดิหยวนจิ่งต้องโกรธมากถึงจะถูก
แต่เขาเหมือนเตรียมใจกับสิ่งนี้มาบ้างแล้วอย่างนั้น ไม่ได้ตำหนิเว่ยกงและเหล่าหัวหน้าทหารองครักษ์…อืม อาจจะไม่ใช่การเตรียมใจ แต่เพราะรู้ต้นตอของความผิดปกติก็เป็นได้
จากนั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่พูดคุยกันในที่สาธารณะไม่ได้
ทะเลสาบซังผอมีความลับที่ไม่มีใครรู้ซ่อนเอาไว้จริงๆ ด้วย
…………………………………………………..