พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 104 ตามเถาจักได้แตง
ตอนที่ 104 ตามเถาจักได้แตง
อันหลิงอีได้ยินคำพูดของอันหลิงจุน พลันมุมปากก็ยิ้มเยาะออกมา
“เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ ? ” นางเอ่ยเสียงต่ำ คำพูดเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย “ผู้ที่โดนองค์ชายเก้ากดขี่เยี่ยงเจ้ายังกล้าขู่ข้า ระวังเถิด ท่านน้าของข้าจักทูลให้ฮ่องเต้นำตัวเจ้ากลับไปรับใช้องค์ชายเก้า ถึงตอนนั้นก็ดูสิว่าเจ้ายังกล้าขู่ข้าอีกหรือไม่”
หลี่กุ้ยเฟยเป็นสนมคนโปรดของฮ่องเต้ หากอันหลงอีขอให้นางช่วยจริง อันหลิงจุนอาจถูกฮ่องเต้เรียกกลับไปในวังอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นก็แค่หาข้ออ้างว่าองค์ชายเก้าตัดพระทัยปล่อยอันหลิงจุนออกจากวังมิได้ อันหลิงจุนก็มิรอด
“ฮ่องเต้มิให้เขากลับเข้าวังอีกแล้ว” ทางด้านมู่จวินฮานและอันหลิงเกอก็สนทนาเรื่องนี้เช่นกัน แววตาของเขาแฝงความจริงจังมิน้อย “ตอนนี้บุตรของขุนนางในราชสำนักขั้นสามขึ้นไปล้วนมาเรียนที่สำนักศึกษาจิงตู แม้แต่คนในกั๋วจื่อเจี้ยนก็มิยกเว้น พวกเขาต้องมาเรียนที่สำนักศึกษาจิงตูเช่นกัน ฮ่องเต้ประสงค์ให้บุตรของตระกูลชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงมารวมกันที่นี่ น้องชายของเจ้าก็มิได้ยกเว้น”
เขากล่าวพร้อมเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง เพียงยืนนิ่ง ๆ ก็ทำให้เกิดเป็นภาพทิวทัศน์เจริญตายิ่งนัก
อันหลิงเกอมองตามสายตาของมู่จวินฮานไปก็เห็นอี้หมิงผู้เป็นซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องอี้
กำลังวิ่งเล่นอยู่มิไกล เขาหัวเราะอยู่กับเด็กน้อยอายุประมาณเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง
แม้กระทั่งอี้หมิงผู้เบาปัญญาก็ต้องมาที่นี่ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้มิเพียงแต่ให้พวกเขามาเรียน ทว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างแน่นอน
ทว่าความกังวลของอันหลิงได้จางหายไปเล็กน้อย มิว่าฮ่องเต้มีจุดประสงค์ใด ขอเพียงมิให้อันหลิงจุนกลับเข้าวัง สำหรับนางก็คือข่าวดีที่สุดแล้ว
มู่จวินฮานเห็นคนรอบข้างบางตาบ้างแล้ว อยู่ ๆ เขาก็ก้าวเท้าไปทางหลังภูเขา
อันหลิงเกอรู้สึกว่ามู่จวินฮานมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับนาง จึงเดินตามไปอย่างมิเร็วมิช้า
หลังภูเขาเป็นป่าที่สวยงามและเงียบสงบ เป็นสถานที่เหมาะสมในการสนทนา
“มิทราบว่าพิษในตัวมู่หวางเฟยถูกกำจัดหมดแล้วหรือไม่เจ้าคะ ? ” เมื่อมิมีผู้อื่นอยู่แล้ว อันหลิงเกอจึงกล้าถามเรื่องมู่หวางเฟยออกมา
หากวันนั้นมิใช่เพราะนางแหวกหญ้าให้งูตื่น ฟางชิงคงมิเพิ่มพิษให้มู่หวางเฟยจนทำให้นางหมดสติไป
ใบหน้าของมู่จวินฮานดูผ่อนคลายยิ่งขึ้น “โชคดีที่วันนั้นพวกเราพบหมู่เฟยทันเวลา แม้นางจักโดนถูกพิษแต่ก็มิมีอันใดร้ายแรงและข้ายังค้นเจอของบางอย่างจากตัวของฟางชิง”
“เรื่องของฟางชิง ท่านสืบเบาะแสอันใดพบบ้างเจ้าคะ ? ” ทุกครั้งที่อันหลิงเกอพูดถึงเรื่องนี้ นางมักรู้สึกว่าดวงตาถูกเมฆสีดำบดบังอยู่ มันปิดบังความจริงของเรื่องนี้เอาไว้จึงทำให้นางมิสามารถสืบหาได้ชัดแจ้งเสียที
มู่จวินฮานหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อ อันหลิงเกอมองแล้วมิรู้จักว่ามันคือสิ่งใด
มู่จวินฮานรู้ว่าอันหลิงเกอมิรู้จักของสิ่งนี้จึงเริ่มอธิบาย “อดีตฮ่องเต้มีองครักษ์ลับอยู่สองกลุ่ม ก่อนที่พระองค์จักสิ้นพระชนม์ กลุ่มหนึ่งรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยในวัง อีกกลุ่มใช้ชีวิตอยู่นอกวังเพื่อสืบข่าวลับ หรือเรียกได้ว่าเป็นสายลับแฝงตัวไปในแต่ละพื้นที่ ฟางชิงหรือฟางเยี่ยนก็คือหนึ่งในองครักษ์ของอดีตฮ่องเต้”
อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน องครักษ์ลับเหล่านี้จึงตกอยู่ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
หมายความว่าฟางชิงรับบัญชาจากฮ่องเต้ให้แฝงตัวอยู่ในจวนโหวเพื่อวางยาพิษทำร้ายมารดาของนาง จากนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งไปที่จวนอ๋องมู่ ต้องการใช้แผนเดิมในการวางยามู่หวางเฟยโดยมิมีใครสังเกต ทว่าโดนอันหลิงเกอค้นพบตัวตนเสียก่อน ดังนั้นเพื่อปิดบังความจริงจึงต้องปลิดชีพตนเอง
ทว่ากล่าวเยี่ยงนี้ก็มิถูกต้องนัก
อันหลิงเกอครุ่นคิดเรื่องนี้จนคิ้วขมวด เหตุผลที่นางสงสัยในการตายของมารดาเพราะได้ยินคำพูดของอันหลิงอีในชาติก่อน ตอนที่ตนกำลังจักสิ้นลม อันหลิงอีพูดออกมาเองว่าท่านแม่โดนหลี่อี๋เหนียงสังหาร แล้วจักมีความเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ได้เยี่ยงไร?
“ฟางชิงมิน่าเป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมา” อันหลิงเกอตริตรองเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้วกล่าวออกมา หากฟางชิงเป็นสายลับที่ฮ่องเต้ส่งมา แล้วเหตุใดต้องลงมือกับมารดา เหตุใดต้องลงมือกับมู่หวางเฟย?
แม้วันนี้อำนาจของตระกูลมู่จักใหญ่โต ถ้าฮ่องเต้สงสัยในตระกูลมู่แต่ก็มิน่าลงมือกับฮูหยินใหญ่ทั้งสองคน เลือกลงมือกับท่านโหวและท่านอ๋องมู่โดยตรงมิดีกว่าหรือ?
มู่จวินฮานพยักหน้าเห็นด้วย “เดิมทีข้ามิแน่ใจว่าเรื่องนี้เป็นคำสั่งของฮ่องเต้หรือไม่ แต่พอเห็นสำนักศึกษาจิงตูในวันนี้ก็แน่ใจว่ามิเกี่ยวข้องกับพระองค์”
“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ ? ” แม้ว่าอันหลิงเกอก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ แต่นางก็อยากฟังคำอธิบายของมู่จวินฮาน
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องการเลี้ยงพิษหรือไม่ ? ” มู่จวินฮานมิตอบ ทว่าย้อนถาม ดวงตาของเขาล้ำลึกจนทำให้มองมิออกว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่
เลี้ยงพิษคือวิชาลับอย่างหนึ่งของเผ่าเหมียว เพราะความลึกลับและอันตรายของมันจึงมีให้เห็นในนิทานปรัมปราอยู่บ่อยครั้ง
อันหลิงเกอพยักหน้ารับ แล้วกล่าวสิ่งที่ตนได้รับรู้ออกมา “กล่าวกันว่าสัตว์มีพิษทั้งหมดจักถูกเก็บไว้ในไหใบเดียวกัน เลี้ยงไว้ช่วงเวลาหนึ่งแล้วรอให้สัตว์มีพิษต่อสู้กันเองจนเหลือตัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุด มันจักกลายเป็นราชาแห่งพิษ นำมาทำพิษที่ชื่อว่าพิษกู่”
“ถูกต้อง หากนำสัตว์มีพิษทั้งหมดมาใส่ในไหเดียวกันแล้วรอให้พวกมันปะทะกันเอง…” มู่จวินฮานกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง “สำนักศึกษาจิงตูก็เปรียบเสมือนไหใบหนึ่งมิใช่หรือ ? “
ฮ่องเต้มิสนใจเสียงทัดทาน ยืนกรานจักให้ทุกคนมาเรียนที่สำนักศึกษาจิงตู โดยรวบรวมลูกหลานขุนนางขั้นสามขึ้นไปมาไว้ที่นี่
ทุกคนที่นี่ล้วนสูงศักดิ์และร่ำรวย เมื่อมาเรียนกับผู้อื่นแล้วหากเกิดเรื่องขัดแย้งขึ้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ
พอถึงตอนนั้นสำนักศึกษาจิงตูจัดการมิได้ ความขัดแย้งของเหล่านักเรียนก็จักถูกรายงานให้ฮ่องเต้รับทราบ
ฮ่องเต้อาจลงโทษทั้งสองฝั่ง หรือเลือกฝ่ายที่ผิดมาลงโทษอย่างหนัก
มิว่าลงโทษโดยการหักเบี้ยหวัด ลดตำแหน่ง ริบตำแหน่งหรือเรียกคืนกองกำลังทหาร ท้ายที่สุดผลประโยชน์ก็ตกอยู่ที่ฝ่าบาทเพียงผู้เดียว
นี่ต่างหากคือจุดประสงค์แท้จริงของพระองค์ มิเช่นนั้นการให้คนเบาปัญญาเยี่ยงอี้หมิงแห่งจวนอ๋องอี้มาเล่าเรียนด้วยมิใช่เรื่องน่าขันหรืออย่างไร ?
อันหลิงเกอเข้าใจถึงจุดประสงค์ของฮ่องเต้แล้วก็ตกตะลึง เดิมทีนางคิดว่าตนรอบคอบระมัดระวังมาโดยตลอด เรื่องอันใดก็ตามต้องคิดซ้ำไปซ้ำมา มองเรื่องจนทะลุปรุโปร่งเป็นนิสัย แต่นางกลับมองจุดประสงค์ของฮ่องเต้มิออก
“ในเมื่อฮ่องเต้ได้เตรียมสำนักศึกษาจิงตูไว้ใช้ควบคุมเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางก็มิจำเป็นต้องส่งคนไปลอบวางยาพิษผู้อื่นหรอก”
อันหลิงเกอเข้าใจในทันที ความสงสัยภายในใจของนางก็มีคำอธิบายแล้ว
มู่จวินฮานชี้แนะเพียงเล็กน้อย อันหลิงเกอก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ในแววตาของเขาแฝงด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวต่อ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์รัชทายาท องค์ชายสี่ องค์ชายเจ็ดและพระองค์อื่นก็มาที่สำนักศึกษาจิงตู แม้ว่ารัชทายาทจักมีท่านราชครูที่เก่งกาจสอนอยู่แล้ว ทว่าพระองค์ต้องการฉวยโอกาสนี้สร้างฐานอำนาจในตอนที่ฮ่องเต้ยังครองราชบัลลังก์อยู่นั่นเอง”
อันหลิงเกอครุ่นคิดตามที่มู่จวินฮานกล่าวก็เข้าใจทันที แม้ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว ทว่าองค์รัชทายาทชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่นมากเกินไป ทำให้คนมากมายมิพอใจมานาน กอปรกับองค์ชายสี่ องค์ชายเจ็ดและพระองค์อื่นเจริญชันษาแล้วจึงยากที่จักห้ามมิให้เกิดความโลภในราชบัลลังก์
เยี่ยงนั้นการที่ฟางชิงวางยาพิษมารดาของนางและมู่หวางเฟยต้องเกี่ยวข้องกับเชื้อพระวงศ์เหล่านี้อย่างแน่นอน เหตุใดนางมิตามเถาแตงไปเพื่อตามหาผู้บงการเสียเลย ?