พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 172 ที่พึ่ง
ตอนที่ 172 ที่พึ่ง
หลี่ซื่อเห็นอันอิงเฉิงยืนนิ่งอยู่กับที่จึงร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่พอคิดว่าตนเตรียมข้ออ้างมาดีแล้ว ใบหน้าที่งดงามก็เปื้อนไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอีกครั้ง
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานข้ามิดีเอง ข้ามิควรให้นักพรตไร้ที่มาที่ไปมิชัดเจนเข้ามาในจวน ท่านแม่ให้คนตบปาก ข้าก็ยอมรับแต่โดยดี หรือแม้แต่ต้องคุกเข่าอยู่หน้าเรือนชิงเฟิงหลายชั่วยามก็ยังทำให้อนุเว่ยมิพอใจอยู่หรือ ? ”
หลี่ซื่อมิยอมรับว่าเป็นคนจ้างนักพรตผู้นั้นและยังแสร้งทำท่าทางราวกับโดนเว่ยซื่อรังแก
เว่ยซื่อโมโหจนเค้นเสียงดัง ฮึ ! ออกมา “ถ้าเพียงแค่เจ้าเชิญคนหลอกลวงผู้หนึ่งเข้าจวน แล้วท่านแม่จักโมโหถึงเพียงนี้หรือ ? ”
“ท่านแม่ใจดีมีเมตตามาโดยตลอด ส่วนพวกความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านก็ทำเป็นมองมิเห็น หากปล่อยผ่านได้ก็ปล่อยผ่าน แต่เรื่องที่เจ้าทำมันเกินไป ! เจ้าเชิญนักพรตปลอมเข้าจวนแล้วบอกว่าคุณหนูใหญ่มีดวงอัปมงคล ทั้งยังสาปแช่งท่านแม่ว่าจักตายอย่างอนาถอีก จิตใจที่ชั่วร้ายถึงเพียงนี้ท่านแม่จักปล่อยไปได้เยี่ยงไร ? ”
เมื่อวานตอนที่อันอิงเฉิงได้ฟังเรื่องราวจากปากหลี่ซื่อ เขาได้ยินนางกล่าวแค่ว่าเชิญนักพรตมาดูฮวงจุ้ยให้จวน แต่ผู้ใดจักรู้ว่านักพรตผู้นั้นเป็นพวกหลอกลวง ท้ายที่สุดก็ถูกอันหลิงเกอเปิดโปง และนางก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจ
ตอนนั้นอันอิงเฉิงรู้สึกแค่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าทำเกินเหตุ หลี่ซื่อมีความผิดเพราะมิรู้ที่มาของคนอย่างชัดเจน แต่ก็มิจำเป็นต้องตบปากหลี่ซื่อต่อหน้าบ่าวจนทำให้นางเสียเกียรติอย่างร้ายแรง
แต่เหตุใดพอเว่ยซื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ นักพรตผู้นั้นถึงได้เป็นคนที่หลี่ซื่อจ้างมาได้เล่า ?
อันอิงเฉิงเริ่มสงสัย แววตาที่มองหลี่ซื่อก็แฝงไปด้วยความรู้สึกมากมาย
ทว่าหลี่ซื่ออยู่ข้างกายเขามาหลายปี ส่วนเว่ยซื่อเพิ่งออกมาจากเรือนเพียน จุดเริ่มของสองคนแตกต่างกัน ตำแหน่งในใจเขาก็ต่างออกไปเช่นกัน
“เรื่องนี้เป็นเยี่ยงไรกันแน่ ? ”
อันอิงเฉิงถามพร้อมคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น อนุภรรยาสองคนทะเลาะกันต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า มิว่ามองเยี่ยงไรก็เห็นว่าเรือนหลังมิสงบ
หลี่ซื่อก้มหน้าอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เงยหน้าขึ้นพร้อมมองอันอิงเฉิงด้วยน้ำตาคลอเบ้า “เมื่อวานข้าก็เล่าให้ท่านพี่ฟังแล้วว่ามิได้ซื้อตัวนักพรตผู้นั้นเข้าจวน ข้าก็แค่เชิญเขามาดูฮวงจุ้ย แต่ผู้จักรู้ว่าเขาโดนเกอเอ๋อเปิดโปง แล้วนักพรตผู้นั้นก็หันมาพูดว่าข้ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อวานอันหลิงอีมิได้อยู่ที่นั่น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางกับหลี่ซื่อปรึกษากันแล้ว แม้แต่เรื่องที่อันหลิงเกอต้องถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกตัว นางก็ล่ออันหลิงเกอให้มาติดกับเอง ส่วนสาเหตุของการเกิดเรื่องนี้นางย่อมรู้ดีแก่ใจ
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการย้อนถามของอันอิงเฉิง นางก็ต้องกล่าวเข้าข้างมารดาอยู่แล้ว
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านแม่เป็นคนเยี่ยงไรท่านยังมิรู้อีกหรือเจ้าคะ ? เพื่อจวนโหวแห่งนี้ท่านแม่ทำงานหนักมาโดยตลอด แต่มิเคยบ่นว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว แล้วจักจ้างนักพรตปลอมมาทำลายชื่อเสียงพี่หญิงใหญ่ได้หรือเจ้าคะ ? ”
ขณะที่อันหลิงอีเอ่ยโกหกหลอกลวง ใบหน้าก็มิกระตุกแม้แต่น้อย ราวกับสิ่งที่นางกล่าวเป็นความจริงว่าหลี่ซื่อมิเคยคิดร้ายกับอันหลิงเกอ
อันหลิงเกอเห็นอันหลิงอีหน้าหนาถึงเพียงนี้จึงฉีกยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มเปื้อนไปด้วยความเย้ยหยันทำให้อันหลิงอีโมโหและหันไปจ้องกลับอย่างดุร้าย
“น้องหญิงสาม ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพราะหวังดีต่อหลี่อี๋เหนียง กลัวนางได้รับความมิเป็นธรรม แต่เรื่องนี้นักพรตเป็นคนสารภาพออกมาเอง แล้วจักเป็นคำลวงได้เยี่ยงไร ? คงมิใช่ข้าจ้างนักพรตผู้นั้นมาใส่ร้ายตนเอง หลังรอให้ข้าเปิดโปงแล้วค่อยไปใส่ร้ายหลี่อี๋เหนียงกระมัง ? ”
นอกจากอันหลิงเกอสมรู้ร่วมคิดกับนักพรตผู้นั้นแล้วจงใจคิดแผนการมาใส่ร้ายหลี่ซื่อ ก็คงมิมีผู้อื่นทำเยี่ยงนี้ได้แล้ว
ดวงตาของอันหลิงอีกลอกไปมา “ถ้าพี่หญิงใหญ่วางแผนร่วมกับนักพรตมาดีแล้วล่ะเจ้าคะ ? เยี่ยงนั้นพี่หญิงจักเรียนศาสตร์ฮวงจุ้ยมาจากที่ใด แล้วจักเปิดโปงนักพรตผู้นั้นได้เยี่ยงไร ! ”
มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นที่อันหลิงเกอมีความน่าสงสัยในเรื่องนี้ อันหลิงอีจึงเล่นเรื่องนี้มิปล่อยเพื่อต้องการผลักให้เป็นความผิดของอีกฝ่าย
ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าอันหลิงเกอก็ดูอ่อนโยนขึ้น เพียงแต่สายตาเย้ยหยันยังทำให้อันหลิงอีรู้สึกว่าตนเป็นตัวตลก
“น้องหญิงสาม เจ้ามีท่านพ่อและมีหลี่อี๋เหนียงคอยดูแลตั้งแต่เด็ก ย่อมต้องเรียนในสิ่งที่พวกเขาให้เรียน แต่ข้ามิเหมือนกัน เพราะข้ามิมีพ่อแม่สั่งสอนจึงเรียนเอาเองจากตำรา คิดว่าเรื่องไหนสนุกก็เรียนเพิ่มอีกหน่อย หรือข้าทำแบบนี้ก็ผิดด้วย ? ”
นัยน์ตาสีดำของอันหลิงเกอลึกล้ำยากหยั่งถึง แม้รอยยิ้มมุมปากดูอ่อนโยนแต่ก็เย็นชาด้วยเช่นกัน
“ถ้าเป็นเยี่ยงนี้ การที่ข้ารู้วิชาแพทย์เยี่ยงตอนที่อาสะใภ้รองเกือบแท้งบุตรก็เป็นฝีมือข้าวางแผนหรือไร ? เรื่องโจรภูเขาเมื่อสองวันก่อนก็เพราะข้าจ้างพวกเขามาโดยเฉพาะและเกือบทำให้จุนเกอร์เอ๋อเสียชีวิต ปล่อยให้น้องหญิงสามเข้าไปปกป้องท่านพ่อแทนอย่างนั้นหรือ ? ”
หวังซื่อได้ยินอันหลิงเกอกล่าวถึงเรื่องของตน นางก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “เกอเอ๋อเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้แล้วจักตั้งใจทำร้ายข้าได้เยี่ยงไร ? ”
การออกมาพูดช่วยอันหลิงเกอในเวลานี้ก็เพราะต้องการส่งสัญญาณให้อันอิงเฉิงรับรู้
ว่าเรื่องตัวอัปมงคลนั้นเป็นฝีมือของหลี่ซื่อ
พอเห็นใครหลายคนออกมาต่อว่าหลี่ซื่อ อันอิงเฉิงก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
ถ้ากล่าวจากก้นบึ้งหัวใจคือเขาเชื่อในตัวหลี่ซื่อที่นอนข้างหมอนกันมาหลายปี แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนที่ออกมาตำหนินาง เขากลับมิรู้จักกล่าวแก้ต่างให้นางเยี่ยงไร
ทันใดนั้นหลี่ซื่อก็กัดปาก มองอันอิงเฉิงด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ท่านพี่ ท่านแม่บอกว่าข้าเป็นคนผิด ข้าก็จักยอมเป็นคนผิดเอง แต่ท่านเชื่อในตัวข้าก็พอใจมากแล้วเจ้าค่ะ ท่านมิต้องทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้หรอก”
เหตุการณ์คล้ายคลึงกับเมื่อวาน ทำให้อันอิงเฉิงคิดได้ว่าเขารับปากหลี่ซื่อไว้ว่าเยี่ยงไร
ใจที่เคยสั่นไหวจึงมั่นคงขึ้นมาทันที เขาหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ขอรับ แม้หลี่ซื่อทำเรื่องนี้มิถูก แต่ท่านแม่ก็ทำโทษนางแล้ว ส่วนเรื่องดูแลจวนก็ให้นางดูแลต่อไปเถิด หากคราวหน้านางยังทำผิดอีก ท่านแม่จัดการเยี่ยงไร ลูกจักมิขัดสักคำเลย”
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนกล่าวมิออก ทว่าจวนโหวแห่งนี้เป็นจวนของอันอิงเฉิง เขาต่างหากคือเจ้าบ้านที่แท้จริง หากอันอิงเฉิงอยากยกอำนาจดูแลจวนให้ใคร นางก็เข้าไปยุ่งมิได้
“ช่างเถิด นี่เป็นจวนของเจ้า ข้าเป็นแค่หญิงชราและเดิมทีก็มิควรเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว ! ”
นางเพิ่งกล่าวจบก็ลุกขึ้นทันที อันอิงเฉิงรู้ดีว่าทำให้นางโมโหจึงรีบตามไปกล่าวคำดี ๆ
ส่วนคนอื่นก็รีบตามไปเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินผู้เฒ่าหายโกรธ มีเพียงหลี่ซื่อและอันหลิงอีที่เดินตามอยู่ท้ายสุดพร้อมเผยสายตาเยี่ยงผู้มีชัยออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจนางแล้วเยี่ยงไร ? จวนโหวแห่งนี้ขอแค่นางคว้าใจท่านโหวไว้ได้ เขาก็จักเป็นที่พึ่งของนางตลอดไป ฮูหยินผู้เฒ่าสูงศักดิ์แค่ไหนก็มิมีทางยึดอำนาจในมือนางไปได้
นางเสียเปรียบแล้วครั้งหนึ่ง แต่มิมีทางยอมเสียเปรียบเป็นครั้งที่สองแน่