พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 176 การไตร่ตรองของหลี่ซื่อ
ตอนที่ 176 การไตร่ตรองของหลี่ซื่อ
แม้หลี่ซื่อเข้าจวนหลังฮูหยินใหญ่อันเสียชีวิต แต่นางอยู่ในจวนมาหลายสิบปีจึงรู้ดีว่ากำไลหยกปี้อวี้อันนี้มีความหมายเยี่ยงไร
พอเข้าจวนนางก็อยากขึ้นเป็นภรรยาเอกมาโดยตลอด แต่ในเวลานั้นฮูหยินผู้เฒ่าย้ายไปอยู่ที่เรือนบรรพบุรุษแล้ว กำไลที่แสดงฐานะฮูหยินใหญ่อันชิ้นนี้จึงนำติดตัวไปด้วย
แม้ภายนอกมองมิเห็นอันใด แต่เรื่องนี้แสดงถึงทัศนคติของฮูหยินผู้เฒ่าว่ามิเห็นด้วยที่จักยกหลี่ซื่อขึ้นเป็นภรรยาเอก
อันอิงเฉิงเป็นคนกตัญญู ย่อมเป็นธรรมดาที่มิขัดต่อความต้องการของมารดา เรื่องขึ้นเป็นฮูหยินใหญ่ของหลี่ซื่อจึงโดนระงับไว้เพียงเท่านั้น
ในเวลานั้นหลี่ซื่อจึงกัดฟันด้วยความโมโหและทำหน้าเย็นชาใส่อันอิงเฉิงนานหลายวัน
ทว่าในจวนโหวแห่งนี้ นอกจากนางแล้วยังมีเว่ยซื่ออีกคน แต่ด้วยความรักที่อันอิงเฉิงมีต่อนางและยังมอบอำนาจดูแลจวนให้อีก หลี่ซื่อจึงถือว่าเป็นฮูหยินใหญ่ครึ่งหนึ่ง นางจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
เมื่อเห็นกำไลหยกปี้อวี้อยู่บนข้อมือเว่ยซื่อ นางก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที
เมื่อก่อนนางเอาใจฮูหยินผู้เฒ่ามากมาย สั่งคนไปสืบความชอบของฮูหยินผู้เฒ่าโดยเฉพาะและให้คนส่งของขวัญล้ำค่าต่างๆ ไปถึงเรือนบรรพบุรุษ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามิเคลื่อนไหวอันใดและมิเคยเอ่ยถึงเรื่องการยกนางเป็นภรรยาเอกแม้แต่น้อย
ทว่าตอนนี้เว่ยซื่อเพิ่งออกจากเรือนเพียนได้มินาน ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยกของล้ำค่าเพียงนี้ให้แล้ว บ่งบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจงใจต่อต้านนางโดยใช้เว่ยซื่อมาสร้างความทุกข์ให้นาง !
ความเกลียดชังที่หลี่ซื่อมีต่อฮูหยินผู้เฒ่าเป็นดั่งน้ำที่ไหลทะลักลงมาจากภูเขาจนชำระล้างความคิดอยากเอาใจที่นางมีไปจนหมดสิ้น และเปลี่ยนเป็นพายุแค้นที่โหมกระหน่ำในใจแทน
“กำไลนี้ดูมิเลวเลย”
หลี่ซื่อกลั้นความแค้นในใจเอาไว้ ดวงตามองสำรวจสองสามรอบ หลังจากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มหยิ่งยโส “แม้กำไลสวยงามเพียงใดก็เปลี่ยนชาติกำเนิดต่ำต้อยของคนมิได้อยู่ดี”
เมื่อได้ฟัง เว่ยซื่อก็หัวเราะออกมา จ้องหน้าหลี่ซื่ออย่างมิหวั่นเกรงและยังแฝงไปด้วยสายตาดูถูก “ฮูหยินรองหลี่กล่าวถูกต้องแล้ว เพราะแม้แต่ใครบางคนมีฐานะสูงส่งเพียงใดก็มิสามารถได้กำไลงดงามถึงเพียงนี้ไปครอบครอง นี่จึงเรียกว่ามิมีอันใดได้มาพร้อมกัน จักหวังแต่ให้ของดีทุกอย่างตกอยู่ในมือใครคนเดียวมิได้หรอก”
หลี่ซื่อแม้เป็นถึงบุตรีขุนนาง แต่ถ้าฮูหยินผู้เฒ่ามิชอบ นางก็มิอาจครองจวนโหวแห่งนี้ได้
ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าหลี่ซื่อก็เย็นชาขึ้นมาทันที มุมปากยกยิ้มอย่างดูถูก “คำกล่าวของเจ้าก็มีเหตุผลใช้ได้ ท่านแม่ดีต่อเจ้าเพียงนี้ก็ถือเป็นวาสนา ทว่าวันเกิดของท่านแม่ใกล้มาถึงแล้ว มิทราบว่าอนุเว่ยได้เตรียมของขวัญอันใดไว้หรือ ? ”
ขณะมองเว่ยซื่อ หลี่ซื่อก็นึกดูถูกไปมากแล้ว
เว่ยซื่อเพิ่งออกมาจากเรือนเพียนได้มิเท่าไร คงมีเงินเก็บมิถึง 100 ตำลึงด้วยซ้ำ หากถึงวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว นางมอบของขวัญมิได้เรื่องให้ นางต้องโดนหัวเราะเยาะแน่นอน
“เรื่องนี้คงมิรบกวนให้ฮูหยินรองหลี่หลี่เป็นกังวลหรอก” ช่วงหลายวันนี้เว่ยซื่อกำลังปวดหัวเพราะเรื่องนี้อยู่ แต่นางจักเผยพิรุธให้อีกฝ่ายเห็นมิได้
หลี่ซื่อเพียงคลี่ยิ้ม พอได้ถากถางอีกฝ่ายแล้วก็พาสาวใช้กลับเรือนด้วยความพอใจ
“ท่านแม่เจ้าคะ ใกล้ถึงวันเกิดท่านย่าแล้ว ในวันงาน แม่ทัพน้อยลู่จักมาร่วมงานหรือไม่เจ้าคะ ? ”
อันหลิงอีเห็นหลี่ซื่อกลับมาก็รีบเข้าไปต้อนรับทันที
นางเผยใบหน้าเขินอายพอสมควร แต่มากไปกว่านั้นคือการตั้งตารอคอย
ท่าทางสาวน้อยมีความรักตกสู่สายตาหลี่ซื่อทำให้นางเผยใบหน้าจนปัญญาทันที
“เจ้าก็อายุมิน้อยแล้ว เหตุใดยังกล้ากล่าวเยี่ยงนี้อีก ? ถ้าผู้อื่นมาได้ยินจักทำให้เจ้าเสียชื่อเสียงได้”
แม้วิถีชีวิตของชาวต้าโจวเปิดกว้าง แต่ท้ายที่สุดก็ยังเข้มงวดกับสตรีอยู่ดี
หากกล่าวให้น่าฟังหน่อย ท่าทางมิปิดบังในการชื่นชอบบุรุษของอันหลิงอีก็คือสาวน้อยที่ควบคุมอารมณ์ตนเองมิได้ แต่ถ้ากล่าวให้แย่หน่อยก็คือไร้มารยาทมิรู้จักยางอาย
พอโดนหลี่ซื่อต่อว่าอย่างมิเบาหรือมิแรง อันหลิงอีก็มิได้เก็บมาใส่ใจ นางหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขแล้วเข้าไปควงแขนหลี่ซื่ออย่างสนิทสนมพร้อมเขย่าแขนไปมาเบา ๆ “ในเมื่อลูกอยู่ต่อหน้าท่านแม่ ลูกยังต้องปิดบังอยู่อีกหรือเจ้าคะ ? ”
นางเงยหน้าขึ้น ใบหน้าทรงเสน่ห์เปื้อนด้วยรอยยิ้ม มองแล้วเหมือนสาวน้อยไร้เดียงสามิมีผิด
ท้ายที่สุดก็เป็นบุตรสาวที่นางรักดุจแก้วตาดวงใจ แล้วหลี่ซื่อจักกล้าต่อว่าอีกได้เยี่ยงไร ?
หลี่ซื่อเอื้อมมือไปจิ้มหน้าผากอันหลิงอีเบา ๆ และกล่าวพร้อมแววตาเอ็นดู “เจ้านี่นะ”
อันหลิงอีมิหันหลบ เมื่อรอให้หลี่ซื่อหยุดมือแล้วนางก็เอ่ยถามขึ้นมา “ท่านแม่กล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ ท่านจักส่งเทียบเชิญให้จวนแม่ทัพใหญ่ลู่เทียนหยาหรือไม่ ? ”
“ก็ต้องส่งเทียบเชิญอยู่แล้ว” หลี่ซื่อตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
มิต้องกล่าวถึงว่าแม่ทัพใหญ่มีตำแหน่งสูงศักดิ์เป็นขุนนางใหญ่คนสำคัญของฮ่องเต้ ดังนั้นจวนโหวของพวกนางต้องดึงมาเป็นพวก กล่าวแค่เรื่องที่ลู่จ้านเพิ่งช่วยพวกนางไว้เมื่อมิกี่วันก่อน จวนโหวก็มีเหตุผลที่จักส่งเทียบเชิญไปแล้ว
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ ดวงตาของอันหลิงอีก็เป็นประกายพร้อมยกยิ้มจนหางตาโค้ง “ดีไปเลยเจ้าค่ะ ท่านช่วยลูกคิดเร็วว่าวันงานจักใส่ชุดอันใดดี ? ”
“ตอนนั้นจักใส่อันใดก็มิใช่เรื่องสำคัญ” หลี่ซื่อกล่าวจากใจจริง ดวงตาเต็มไปด้วยความคิด “นี่เป็นงานวันเกิดครั้งแรกหลังจากท่านย่ากลับมาอยู่เมืองหลวง ท่านพ่อต้องให้ความสำคัญแน่นอน เจ้าต้องใช้โอกาสนี้แสดงความกตัญญูต่อท่านย่า กระจายชื่อเสียงกตัญญูออกไป นี่มีประโยชน์ยิ่งกว่าเสื้อผ้าสวยงามตั้งเยอะ”
ตอนนี้อันหลิงอีอายุสิบสามย่างสิบสี่ปีพอดี หากเปลี่ยนเป็นครอบครัวปกติทั่วไปก็ถึงเวลาปรึกษาเรื่องแต่งงานแล้ว
หากสามารถใช้งานวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าทำให้อันหลิงอีมีชื่อเสียงด้านกตัญญูแพร่ออกไปได้ มันก็มีประโยชน์มากต่อการเลือกคู่ครองในวันข้างหน้า
อันหลิงอีเข้าใจความหวังดีของหลี่ซื่ออยู่แล้ว แต่นางกำลังอยู่ในวัยรักสวยรักงาม แล้วจักมิสนใจเรื่องการแต่งตัวได้เยี่ยงไร ?
นางเขย่ามือหลี่ซื่ออย่างออดอ้อน ใบหน้าเปื้อนด้วยความเอาแต่ใจพร้อมลากเสียงยาว ๆ ว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ชื่อเสียงกตัญญูมิใช่กล่าวก็จักมีได้ ถ้าอย่างไรท่านแม่ช่วยลูกคิดดีกว่า พอถึงตอนนั้นแล้วจักแต่งตัวให้ผู้อื่นตกตะลึงในความงามเยี่ยงไร มันมิง่ายกว่ากันเยอะหรือเจ้าคะ”
เมื่อได้ฟัง หลี่ซื่อจงใจจ้องนางด้วยความโมโห แต่ผ่านไปครู่หนึ่งก็รักษาท่าทีเช่นนี้ไว้มิได้ นางเอาชนะอันหลิงอีมิได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับแต่โดยดี “พอแล้ว ประเดี๋ยวอีกสองวันแม่จักพาเจ้าไปตัดชุดใหม่ ส่วนเรื่องอื่นเจ้าต้องฟังแม่”
อันหลิงอีรีบพยักหน้ารับและเชื่อฟังคำสั่งจากหลี่ซื่อแต่โดยดี
“ท่านแม่เจ้าคะ อันหลิงเกอระวังตัวถึงเพียงนั้น แล้วเราจักเอาชนะสำเร็จหรือไม่ ? ”
มิใช่ว่านางมิเชื่อมั่นในตนเอง แต่อันหลิงเกอเจ้าเล่ห์เกินไปจริง ๆ หรือแม้แต่นางสงสัยว่ามีปิศาจเข้าสิงร่างอันหลิงเกอด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นจักเปลี่ยนเป็นร้ายกาจเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ?
อันหลิงอีเพิ่งกล่าวสิ่งที่คิดออกมา หลี่ซื่อก็หันมามองด้วยความโกรธทันที
“เจ้าพูดเหลวไหลอันใด ! ” หลี่ซื่อพูดขัดความคิดไร้สาระของอันหลิงอี