พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 195 ระบาด
ตอนที่ 195 ระบาด
อันหลิงเกอมองแผนที่บนโต๊ะและกำลังคิดคำนวณระยะทางในใจ
มือเรียวยาวของนางลูบจากเมืองจิงผ่านไปที่ภูเขาฉวนและหยุดลงอยู่ตรงมุมหนึ่งของแผนที่
หากคำนวณตามความเร็วของกองทัพ มู่จวินฮานน่าจักถึงฉู่โจวแล้วอีกสิบกว่าวันหรือครึ่งเดือนก็ถึงม่อเป่ย
อากาศร้อนขึ้นทุกวัน มิรู้ว่าโรคระบาดในชาติก่อนจักเกิดขึ้นเมื่อไร
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้อันหลิงเกอก็ถอนหายใจออกมา ปี้จูคิดว่านางกำลังคิดถึงมู่จวินฮานจึงรีบยกน้ำชาไปให้ “คุณหนูเจ้าคะ ท่านดูแผนที่ได้ครู่หนึ่งแล้ว พักดื่มชาก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
ปี้จูยื่นถ้อยชาไปตรงหน้าอันหลิงเกอพร้อมเอ่ยต่อ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ หลันซินถูกคนของเราจับได้แล้ว คุณหนูจักจัดการกับนางเยี่ยงไรหรือเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอจิบชาทีหนึ่ง นึกได้ว่าหลันซินยังถูกคนของนางเฝ้าเอาไว้
ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไป ด้านหนึ่งนางวางแผนร่วมมือกับเว่ยอี๋เหนียงสร้างความลำบากให้หลี่ซื่อ อีกด้านหนึ่งยังต้องติดตามเรื่องโรคระบาด ทั้งยังคำนวณระยะทางของมู่จวินฮานจึงลืมเรื่องของหลันซินไป
หากมิมีปี้จูคอยเตือน นางคงจำมิได้ว่าต้องจัดการกับหลันซิน
“ตอนนี้หลันซินอยู่ที่ใด ? ” อันหลิงเกอวางถ้วยชาลง
หมิงซินเห็นเข้าจึงรีบเอ่ยขึ้น “นางถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืน คุณหนูจักไปพบนางตอนนี้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินออกจากเรือน หมิงซินจึงตามไปโดยมิกล่าวอันใดอีก “หลังจากวันที่ทำให้หลันซินหมดสติไป บ่าวก็ให้คนขังนางไว้ที่นี่เจ้าค่ะ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมามิมีผู้ใดมาที่นี่ยกเว้นคนส่งอาหารเจ้าค่ะ””
ระหว่างทางหมิงซินได้กล่าวรายงานเรื่องการทำงานของตนที่ทำอย่างระมัดระวังโดยตลอดและการขังหลันซินไว้ที่นี่จึงมิมีผู้ใดพบเห็น
เมื่ออันหลิงเกอมาถึงหน้าห้องเก็บฟืน บ่าวสูงวัยที่กำลังนั่งหลับพอได้ยินเสียงคนเดินจึงรีบลุกขึ้นทันที เห็นคนตรงหน้าคือคุณหนูใหญ่จึงรีบคำนับด้วยความกลัว “คารวะคุณหนูใหญ่ เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ได้เจ้าคะ ? ”
“สาวใช้ที่โดนขังเมื่อหลายวันก่อนเล่า ? ” หมิงซินมิพูดถึงสถานะของหลันซินโดยคร่าว ๆ เมื่อบ่าวสูงวัยผู้นี้ฟังก็มิได้รู้สึกถึงพิรุธอันใด นางเพียงแค่ก้มศีรษะลงและกล่าวด้วยความเคารพว่า “นางอยู่ด้านใน หากคุณหนูใหญ่จักเข้าไป บ่าวจักได้เปิดประตูให้เจ้าค่ะ”
ปี้จูยกยิ้มแล้วกล่าวออกมาว่า “มิรบกวนป้าจางแล้ว ท่านเอากุญแจมาให้ข้าก็พอ สักพักรอคุณหนูกลับไปแล้ว ข้าจักส่งกุญแจให้ท่านเอง”
ป้าจางได้ฟังก็มีท่าทีงุนงง ปี้จูจึงยัดบางอย่างใส่มือของนาง “เงินพวกนี้ให้ท่านไว้ซื้อสุราดื่ม”
เลี้ยงสุรานางหรือ ? มิได้อย่างเด็ดขาด !
ป้าจางตกตะลึงราวกับเงินร้อนลวกมือ นางรีบยัดเงินเหล่านั้นกลับคืน
“ป้าจางเฝ้าห้องเก็บฟืนของอย่างเหน็ดเหนื่อย ในเมื่อปี้จูต้องการเลี้ยงสุรา เจ้าก็รับไว้เถิด” อันหลิงเกอเผยแววตาอ่อนโยน มิได้ใส่ใจที่นางแอบหลับ เสียงก็นุ่มนวลยามบอกให้สาวใช้ข้างกายเลี้ยงสุราป้าจาง
เมื่ออันหลิงเกอกล่าวออกมาเยี่ยงนั้น ป้าจางก็ยิ้มกว้าง “ว่ากันว่าคุณหนูใหญ่ทั้งมีเมตตาทั้งใจกว้าง วันนี้บ่าวได้เห็นกับตาแล้วเจ้าค่ะ”
นางยิ้มอย่างดีใจแล้วยัดเงินเข้ากระเป๋าอกเสื้อ จากนั้นหยิบกุญแจพวงหนึ่งออกมา “สักพักถ้าคุณหนูใหญ่จักกลับ ต้องขอให้แม่นางปี้จูมาส่งกุญแจให้ข้าด้วย”
ปี้จูตอบรับด้วยรอยยิ้ม ป้าจางจึงจากไป
หมิงซินรับกุญแจมาจากมือปี้จูแล้วเปิดประตูห้องเก็บฝืน
แม้ว่าตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน ทว่าในห้องเก็บฟืนยังคงเย็นชื้นเช่นเดิม ทำให้คนที่เข้าไปได้กลิ่นอับอย่างหนึ่ง
หลันซินกำลังนอนอยู่บนพื้นและได้ยินเสียงคนจึงหันหน้ากลับมา พอเห็นว่าเป็นหมิงซิน นางจึงร้องเสียงแหลมทั้งยังรีบถอยร่นไปด้านหลัง “ผี ผี มีผี!”
นางตกใจจนหน้าซีด หลับตาแน่น มิกล้าลืมตาดูสถานการณ์ตรงหน้าเลยทีเดียว
อันหลิงเกอเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว จงใจกดเสียงต่ำ ภายในห้องที่เย็นชื้นฟังเหมือนมีวิญญาณลอยไปมา
“เจ้าทำร้ายข้า…ข้าจักให้เจ้าคืนชีวิตมา…”
“มิใช่ มิใช่ข้า มิใช่ข้า เป็นหลี่ซื่อ เป็นหลี่ซื่อสั่งการข้า เจ้าต้องไปหาหลี่ซื่อ ! ” หลันซินยิ่งร้องตกใจ น้ำเสียงสั่นเทาจนปิดมิอยู่
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปี้จูอดหัวเราะขึ้นมามิได้ ใบหน้ากลมเล็กของนางประดับยิ้มเจิดจ้าราวกับแสงแดด “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอย่าหลอกนางอีกเลย ถ้าหลอกจนตายไปก็ต้องหาวิธีจัดการอีก”
คำของปี้จูจึงทำให้หลันซินลืมตาขึ้นก็ปรากฏร่างโปร่งบางของอันหลิงเกอในสายตา
ที่แท้เมื่อครู่เป็นแค่ภาพหลอน
หลันซินนึกโล่งใจ ตอนนี้จึงรู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเต็มไปด้วยเหงื่อ
“คุณหนูใหญ่หรือเจ้าคะ ? ”
นางเรียกออกมาแล้วยื่นมือไปเพื่อกอดขาอันหลิงเกอ แต่อันหลิงเกอถอยหลังไปเล็กน้อย ทำให้หลันซินคว้าได้แต่ความว่างเปล่า
“คุณหนูใหญ่ได้โปรดช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” หลันซินคลานเข้ามาตรงหน้าอันหลิงเกอ “มิรู้ว่าผู้ใดตีบ่าวจนหมดสติแล้วส่งมาที่นี่ บ่าวอยากออกไปจากที่นี่เต็มทนแล้วเจ้าค่ะ”
หมิงซินเดินอ้อมปี้จูแล้วไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลันซิน “แน่นอนว่าต้องเป็นข้าที่ส่งเจ้ามานี่”
“เจ้ายังมิตายหรือ ? ” หลันซินตกตะลึงจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว แววตาจ้องไปยังเงาบนพื้น ถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วหมิงซินยังมิตาย
เป็นไปได้เยี่ยงไร ตอนนั้นนางและกู่โมโม่เห็นกับตาว่าหมิงซินจมน้ำไปแล้ว !
หมิงซินยิ้มให้อย่างแฝงความนัย “หากข้าตายไปแล้ว แผนการของฮูหยินรองและคุณหนูสามก็สำเร็จน่ะสิ”
โชคดีที่ตอนนั้นอันหลิงอีให้หลันซินปลอมเป็นหมิงซินเพื่อสืบข่าว อันหลิงเกอจึงคิดแผนซ้อนแผน และยังสามารถติดต่อกับชิงเอ๋ออย่างราบรื่นจนสามารถเล่นละครฉากนั้นขึ้นมาได้
“พวกเจ้ารู้เรื่องกันหมดแล้วหรือ ? ” หลันซินถามปากสั่น ใบหน้าดูตกตะลึงยิ่งนัก หลังจากนั้นนางก็เหมือนนึกอันใดขึ้นมาได้จึงรีบพุ่งไปที่ตัวอันหลิงเกอ “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวถูกฮูหยินรองบังคับจึงต้องทำงานให้ ได้โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ ! ”
“ในเมื่อรู้ว่าทำผิด เหตุใดยังกล้าขอร้องให้ข้าปล่อยเจ้า ? ” อันหลิงเกอมิหวั่นไหว รอยยิ้มงดงามแฝงความดุร้ายและเย็นชา “อีกอย่าง หมิงซินยังเกือบตายเพราะเจ้า เพื่อหมิงซินแล้ว ข้าย่อมมิปล่อยเจ้าไว้แน่”
หลันซินยังอยากพูดขอร้องอีก แต่อันหลิงเกอโบกมือเรียกปี้จูที่ตอบรับแล้วหยิบขวดขนาดเล็กขวดหนึ่งออกมา
ยาพิษ!
หลันซินเบิกตาโต ในสมองเต็มไปด้วยความคิดนี้ ร่างกายจึงสั่นขึ้นมาอย่างห้ามมิได้และจำต้องถอยหลังไป
ปี้จูมิให้โอกาสนางได้หนี เมื่อเห็นนางจะหนีก็รีบดึงมือหลันซินไว้ทันที พอกำลังจักกรอกยาใส่ปากหลันซินก็เห็นร่างนางกระตุกขึ้นทีหนึ่ง สักพักใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดและไร้ลมหายใจไปแล้ว