พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 243 ยอมรับ
ตอนที่ 243 ยอมรับ
“จุดประสงค์ที่พวกเจ้าเข้ามาต้าโจวคืออันใด ทางที่ดีจงรีบอธิบายให้ชัดเจนดีกว่า มิเช่นนั้นข้าจักใช้วิธีทรมานแล้ว เกรงว่าพวกเจ้าคงทนรับมิไหว”
อันอิงเฉิงเอ่ยโดยมิรีบร้อน แต่สายตาแฝงไปด้วยแววข่มขู่
เหล่าสายลับเคยได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แน่นอนว่าพวกมันมิสารภาพเรื่องทั้งหมดออกมาเพียงเพราะคำขู่สองสามคำ
หนึ่งในนั้นหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นก็ถุยน้ำลายทีหนึ่งจนน้ำลายเกือบกระเด็นโดนหน้าของอันอิงเฉิง
คนของแคว้นชิงเยว่ช่างหยาบช้ายิ่งนัก !
อันอิงเฉิงถอยหลังออกมาสองก้าว ใบหน้าฉายแววรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขาเติบโตขึ้นมาในเมืองจิงอันสวยงาม สิ่งที่เรียนรู้คือสี่ตำราห้าคำภีร์ อีกทั้งยังได้รับการสั่งสอนอบรมจากเหล่าสุภาพชน ผู้คนที่ไปมาหาสู่ต่างก็เป็นคนที่มีฐานะและมีการศึกษา ไหนเลยจักเคยเห็นคนถุยน้ำลายรดหน้าผู้อื่น ?
สายลับเห็นสีหน้าอันอิงเฉิงย่ำแย่จึงหัวเราะอย่างชอบใจ “พวกขุนนางอ่อนแอ ในเมื่อข้ามิยอมบอกแล้วเจ้าจักทำอันใดข้าได้ ? ”
แม้อันอิงเฉิงดูแลหน่วยเซินจีหยิง ทว่าทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของขุนนางฝ่ายบุ๋น ดังนั้นสายลับแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอันอิงเฉิงไร้วรยุทธ
ขุนนางฝ่ายบุ๋นมักเก่งแต่ปากและขี้ขลาดมิต่างจากหนู
สายลับนึกดูแคลน ทว่าได้ยินมู่จวินฮานแค่นเสียงหัวเราะขึ้นทีหนึ่ง “ต้าโจวมีวิธีทรมาน 34 วิธี เจ้าอยากลองวิธีไหนเล่า ? ”
ในห้องขังที่มืดสลัว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเลือนลาง แสงและเงาจางๆ สั่นไหวไปมาเพิ่มความลึกลับและอันตรายให้แก่ดวงตาราวกับสีน้ำหมึกคู่นั้น
มันผู้นี้ทำให้เหล่าพี่น้องโดนจับตัวมาที่นี่ !
สายลับโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มันกัดฟันกล่าวออกมาคำหนึ่ง “จักฆ่าเยี่ยงไรก็แล้วแต่พวกเจ้า อย่าคิดว่าเพียงคำหลอกล่อมิกี่คำจักสามารถเค้นอันใดจากพวกเราได้ ! ”
“เปิ่นซื่อจื่อมิจำเป็นต้องกล่าววาจาหลอกล่อพวกเจ้า” มู่จวินฮานพลิกนิ้วมือเรียวยาวทีหนึ่ง มิรู้ว่าเขาจับมีดไว้ตั้งแต่เมื่อใด
มีดโดนเขาแกว่งเล่นในมือ ปลายมีดแหลมคมเปล่งประกายวาววับสะท้อนอยู่บนใบหน้าของสายลับ
“ตราบใดที่เจ้ายินดีบอกข่าวแก่เรา เปิ่นซื่อจื่อจักให้คนปล่อยตัวพวกเจ้าไปและแน่นอนว่าท่านโหวอันก็มิรั้งพวกเจ้าไว้” เขาเปิดปากพูดและมุมปากก็มีรอยยิ้มแต้มอยู่
สายลับคนนั้นส่ายหน้าอย่างมิเห็นด้วย แววตาดูดุร้าย “ชาวต้าโจวเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก พวกข้ามิเชื่อคำกล่าวของพวกเจ้าเด็ดขาด ! ”
สายลับโดนชักจูง โดยมิรู้ตัวเลยว่าเพียงแค่มิกี่คำนี้ก็ได้เปิดเผยความจริงที่ว่าพวกตนมิใช่ชาวต้าโจวออกมาแล้ว
ดวงตาของอันอิงเฉิงฉายแววแปลกใจวาบผ่าน ด้านหนึ่งคือแปลกใจกับข้อมูลที่ได้รับ อีกด้านหนึ่งคือตกตะลึงต่อฝีมือของมู่จวินฮาน
เพียงถ้อยคำสั้น ๆ มิกี่คำ มิจำเป็นต้องใช้วิธีทรมาน มู่จวินฮานกลับได้ข้อมูลมาโดยมิต้องออกแรงอันใดเลย อีกทั้งยังทำให้เหล่าสายลับมิรู้ตัวเสียด้วย
แม้ว่ามู่จวินฮานยังอายุน้อยแต่กลอุบายเช่นนี้เกรงว่าทั่วทั้งต้าโจวอาจค้นหาออกมาได้มิกี่คน
สายลับแคว้นชิงเยว่ถูกหลอกยังมิรู้ตัว ยังคิดว่าตนมิได้หลุดให้ข้อมูลใด ๆ ออกไป ทั้งยังมิรู้ว่าถูกมู่จวินฮานกล่าวยั่วยุให้เอ่ยมันออกมาแล้ว
“พวกเจ้าปากแข็งยิ่งนัก”
มู่จวินฮานเพียงถอนหายใจทีหนึ่งแล้วแสร้งทำเหมือนปวดศีรษะเล็กน้อย
เขาหันไปมองอันอิงเฉิงแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าลึกลับ “ท่านโหวอัน มิสู้นำคนเหล่านี้แยกขังดีกว่า แล้วให้ทหารเซินจีหยิงสอบสวนต่อ หากมีคนยอมกล่าวความจริง พวกเราก็ปล่อยตัว ส่วนคนอื่นก็ฆ่าทิ้ง”
แม้อันอิงเฉิงมิรู้ว่าซื่อจื่อน้อยผู้นี้คิดอันใดอยู่ แต่เขาเคยเห็นฝีมือของมู่จวินฮานมาก่อน ดังนั้นจึงพยักหน้าโดยมิติดใจอันใด “ดี ทำตามที่มู่ซื่อจื่อกล่าวแล้วกัน”
ทหารเซินจีหยิงได้รับคำสั่งจึงนำตัวเหล่าสายลับแยกขัง ซึ่งห้องขังแต่ละห้องอยู่ห่างกันจึงทำให้พวกมันส่งข่าวให้กันมิได้
หนึ่งวันผ่านไป ในคุกใหญ่ของหน่วยเซินจีหยิงยังไร้ข่าวคราวอันใด
สองวันผ่านไปยังคงไร้ความคืบหน้าเช่นเดิม
พอถึงวันที่สาม อันอิงเฉิงทนต่อไปมิไหวแล้วจึงเดินทางไปหามู่จวินฮานที่จวนอ๋องมู่ทันที
“มู่ซื่อจื่อ เจ้าบอกให้แยกขังพวกมันแล้วให้เซินจีหยิงสอบสวน เช่นนี้จักสามารถเค้นความลับออกมาได้จริงหรือ ? จนป่านนี้แล้วคนของข้ายังมิได้ข้อมูลอันใดเลย”
อย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันถึงแคว้นชิงเยว่และต้าโจว อันอิงเฉิงจึงมิกล้ารอช้า
มู่จวินฮานยกยิ้มตรงมุมปาก ใบหน้าดูนิ่งสงบคล้ายกับมีแผนในใจ
“ท่านโหวอันมิต้องรีบร้อน ฝั่งนั้นคงมีผลออกมาแล้วขอรับ”
เขายืนอยู่ข้างอันอิงเฉิง ชุดยาวสีน้ำตาลเข้มขับเน้นรูปร่างสูงโปร่งได้ดีนัก
“หากท่านโหวอันยังกังวลก็ไปที่หน่วยเซินจีหยิงได้ ตอนนี้กำลังมีการแสดงละครงิ้วดี ๆ ให้ท่านดูพอดีเลย”
อันอิงเฉิงพยักหน้า พอรู้สึกว่าตนรีบร้อนเกินไปจึงยิ้มอย่างละอายใจออกมา ก่อนจักกล่าวแก้ตัวเล็กน้อย “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าอยากสืบให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด”
มู่จวินฮานมิได้เอ่ยอันใดอีก เพียงผายมือหนึ่งทีอันอิงเฉิงก็เข้าใจแล้ว ทั้งสองจึงพากันมุ่งหน้าไปยังหน่วยเซินจีหยิง
ทหารเซินจีหยิงเห็นหัวหน้าของตนมาจึงรีบทำความเคารพและนำทางพวกเขาไปที่คุกใหญ่
“เรียนท่านโหวอัน คนเหล่านั้นมิได้สารภาพอันใดเลยขอรับ”
ทหารกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ ระหว่างคิ้วก็ดูตึงเครียด
สามวันก่อนหน้านี้ พวกเขานำเหล่าสายลับแคว้นชิงเยว่มาขังไว้ที่นี่ซึ่งได้ทำตามคำสั่งของมู่จวินฮานคือแยกขัง วันหนึ่งให้อาหารมื้อเดียวและทรมานแบบมิหนักมิเบาเป็นบางครั้ง จากนั้นก็เข้าไปสอบถามในห้องขัง
ทว่าคนเหล่านั้นปากแข็งยิ่งนัก มิว่าโดนตีหนักมากเพียงใด สายลับเมืองชิงเยว่ก็ยังกัดฟันไว้แน่นมิยอมเอ่ยออกมา
ที่สำคัญก็คือพวกตนมิสามารถสืบอันใดได้จึงมิทราบว่าท่านโหวอันจักลงโทษหรือไม่
อันอิงเฉิงมองไปทางมู่จวินฮานอย่างสงสัย กลับเห็นเพียงแววตาของอีกฝ่ายเข้มขึ้นและดวงตาที่กะพริบไปมาก็แฝงไปด้วยแววแห่งความฉลาดเฉลียวเอาไว้
“ท่านโหวมิต้องรีบร้อน ท่านแค่ปล่อยให้คนของเราทำเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ ก็พอขอรับ”
เขาลดเสียงลงและเสียงทุ้มก็ดังขึ้นข้างหูอันอิงเฉิง
นายทหารยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัย วิธีนี้จักใช้ได้ผลจริงหรือ ?
เขายกมือขึ้นเกาศีรษะ แต่ก็ได้ยินอันอิงเฉิงสั่งการ “ทำตามที่มู่ซื่อจื่อแนะนำ”
อันอิงเฉิงเป็นหัวหน้าหน่วยเซินจีหยิงจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทหารต้องทำตามคำสั่งของเขา
“ขอรับ ข้าน้อยจักไปจัดการเดี๋ยวนี้”
นายทหารรับคำสั่งแล้วพาสายลับคนหนึ่งออกจากคุก
ใบหน้าของทหารมีรอยยิ้มชั่วร้าย เดิมทีก็มีหน้าตาน่ากลัวอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้หัวเราะก็ทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
ภายในใจของสายลับรู้สึกเกรงกลัวเหลือเกิน แม้โดนมัดตัวอยู่แต่ก็ยังดิ้นมิหยุด “พวกเจ้าจักทำอันใด? ปล่อยข้า!”
“สหายของเจ้ามีคนยอมรับแล้ว” นายทหารยิ้มอย่างได้ใจ เขาใช้มือดันสายลับให้เดินหน้า ฟันขาวแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “พวกข้าทำตามคำสั่งของมู่ซื่อจื่อคือปล่อยสหายของเจ้าไปแล้ว ส่วนพวกเจ้าที่แม้ยอมตายก็มิยอมสารภาพ ท่านโหวจึงสั่งให้ทำตามสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนา นั่นก็คือส่งพวกเจ้าไปตาย ! ”