พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 246 ตำหนิบุตรี
ตอนที่ 246 ตำหนิบุตรี
ในเมื่อเป็นการหาภรรยาเอกย่อมมิอาจยกอนุภรรยาทั้งสองขึ้นมาเป็นภรรยาเอกได้อย่างแน่นอน
สีหน้าของอันอิงเฉิงจึงดูดีขึ้นเล็กน้อย “ท่านแม่มีผู้ที่เลือกไว้ในใจหรือไม่ ? ”
ขอแค่มิยกเว่ยซื่อขึ้นมา อันอิงเฉิงก็ยินยอมฟังความคิดเห็นของฮูหยินผู้เฒ่า
อีกอย่างเขาอายุเลยสามสิบมาแล้ว การจักหาภรรยาเอกที่สามารถพาออกหน้าออกตาและดูแลงานต่าง ๆ ภายในจวนได้ก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
“ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังส่งคนไปทาบทามอยู่เจ้าค่ะ แต่กลัวว่านายท่านมิเห็นด้วยจึงส่งบ่าวมาถามความคิดของท่านเจ้าค่ะ”
สาวใช้ยิ้มอย่างดูดี “ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเคยเอ่ยถึงคนผู้หนึ่ง บุตรีของจางเก๋อเหล่า มิทราบว่านายท่านเคยได้ยินชื่อมาก่อนหรือไม่เจ้าคะ ? ”
บุตรีของจางเก๋อเหล่าน่ะหรือ ?
หลี่ซื่อมิรู้ว่าทราบข่าวนี้มาจากที่ใด มือที่กำลังตัดก้านดอกไม้อยู่จึงสั่นเทาจนเผลอตัดกลีบดอกไม้ทั้งดอก
“นายหญิงช้าหน่อยเจ้าค่ะ ระวังทำให้ตนบาดเจ็บ”
เปลือกตาของเถ่าหงสาวใช้คนสนิทของหลี่ซื่อกระตุกทีหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้านายมิได้รับบาดเจ็บใด ๆ นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลี่ซื่อมิได้ตัดดอกไม้ต่อ นางโยนกรรไกรทิ้งไปด้านข้างจนโต๊ะที่ทำด้วยไม้จันทน์สีแดงถูกกระแทกจนเกิดเสียงดัง มิว่าผู้ใดมาเห็นก็ต้องรู้ว่าในตอนนี้นางอารมณ์มิดีอยู่
เถ่าหงยังมิทันได้ปลอบ หลี่ซื่อก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าหากนางแก่นั่นยังมิตาย นางจักมิยอมให้ข้าได้อยู่ดี”
ทุกสิ่งทุกอย่างในจวนโหวตอนนี้มิเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นจึงต้องหาสตรีที่เกิดในตระกูลใหญ่มีหน้ามีตามาเป็นภรรยาเอกของท่านโหว เช่นนั้นจึงจักได้ดูแลและจัดการเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในจวนได้
ทว่าเลือกไปเลือกมากลับไปเลือกบุตรีของบัณฑิตใหญ่จาง นี่เป็นการจงใจหาคู่แข่งให้นางชัด ๆ
ยายแก่น่าตายช่างเสแสร้งเก่งยิ่งนัก ที่แท้ก็แค่อยากหาคนมาขัดขวางนางเท่านั้น !
เถ่าหงเห็นสีหน้าอีกฝ่ายมืดครึ้มจึงมีความคาดเดาประการหนึ่ง “นายหญิง เป็นเพราะบุตรีบัณฑิตใหญ่จางเคยทำเรื่องผิดต่อท่านหรือเจ้าคะ ? ”
หากมิใช่ระหว่างสองคนนี้มีความเกลียดชังฝังแน่น หลี่ซื่อก็คงมิถึงขั้นโกรธเพียงนี้หรอก
มิเพียงแค่เกลียดชังเท่านั้น ระหว่างนางสองคนต้องมีความแค้นใหญ่หลวงมากกว่านั้น
หลี่ซื่อมิได้ตอบคำถามนี้ เพียงหลุบตาลงแล้วกล่าวว่า “ยังมิต้องสนใจเรื่องของบุตรีบัณฑิตใหญ่จาง ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงบอกว่าชอบนาง ยังมิรู้ว่าฝั่งตระกูลจางจักตกลงหรือไม่ สนใจเรื่องของอันหลิงเกอดีกว่า ข้าให้เจ้าสองคนไปจับตาดูนางไว้ พบเจออันใดผิดปกติบ้างหรือไม่ ? ”
เถ่าหงส่ายศีรษะ “คนของเราที่แฝงอยู่ในเรือนคุณหนูใหญ่โดนกำจัดออกไปพอสมควรแล้ว มีแต่สาวใช้คนใหม่ที่เพิ่งเข้าไปอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ”
“พวกนางเฝ้าดูคนเข้าออกเรือนคุณหนูใหญ่ทุกวันและบอกเพียงว่าคุณหนูใหญ่อ่านตำราและเขียนตำราในแต่ละวันเท่านั้น มีบางครั้งที่เข้าวังแต่มิเห็นความผิดปกติอันใดเจ้าค่ะ”
เพราะนางเอาแต่อ่านและเขียนตำราทั้งวันจึงกลายเป็นหมอหญิง อีกทั้งยังได้รับสิทธิ์พิเศษในการเข้าออกวังได้ตามใจ นี่คือความภาคภูมิใจที่หลายคนต้องการ
หลี่ซื่อจึงมีสีหน้าที่เข้มขึ้น อันหลิงเกอได้หน้าได้ตาถึงเพียงนี้ก็ยิ่งบดบังรัศมีของอีเอ๋อไปหมด
ตอนนี้เมื่อเอ่ยถึงจวนโหว ใครต่อใครก็ชื่นชมคุณหนูใหญ่ทั้งนั้น เพียงแค่สูตรยาตัวเดียวก็สามารถช่วยชีวิตราษฎรนับหมื่นได้แล้ว ใครเล่ายังจำได้ว่าบุตรีของตนเยี่ยงอีเอ๋อก็เคยเป็นผู้ที่ถูกชมว่ามีความสามารถ ?
มิง่ายนักกว่านางจักสั่งสอนอบรมอันหลิงเกอให้โง่เขลา แล้วให้อีเอ๋อเหยียบอันหลิงเกอไว้มิให้แสดงความสามารถ
แต่คาดมิถึงจริง ๆ ว่าท่าทางโง่เขลาของอันหลิงเกอกลับเป็นเพียงการเสแสร้ง แม้ว่าอายุยังน้อยแต่รู้จักซ่อนเร้นความสามารถเพื่อเอาชนะ จึงทำให้นางและอีเอ๋อประมาทจนเสียเปรียบอยู่หลายครั้ง!
“อันหลิงเกอฝีมือดีจริง ๆ ” หลี่ซื่อมีดวงตาวาววับอย่างดุร้าย นางจ้องกระถางดอกไม้ตรงหน้าแล้วตัดดอกไม้ทิ้งจนเหลือแต่กิ่งก้าน ก่อนกระชากมันออกมาทั้งรากราวกับทำเช่นนี้แล้วสามารถบีบคออันหลิงเกอได้
“อีเอ๋ออยู่ที่ใด ? ช่วงนี้นางกำลังทำอันใด ? ”
เถ่าหงลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “หลายวันนี้คุณหนูสามอยู่แต่ในเรือน ได้ยินว่าอารมณ์มิค่อยดีเจ้าค่ะ”
ผู้คนต่างชื่นชมอันหลิงเกอจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อันหลิงอีจักมิชอบใจ
ทว่าหลี่ซื่อเห็นท่าทีกระอักกระอ่วนของเถ่าหงแล้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีคำอื่นที่ยังมิได้เอ่ยออกมา
“นางระบายอารมณ์ใส่ผู้อื่นอีกแล้วใช่หรือไม่ ? ” หลี่ซื่อขมวดคิ้ว เดิมทีใบหน้าก็ดูแข็งกระด้างอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูโกรธมากขึ้น “ข้าบอกนางกี่ครั้งแล้วว่าห้ามระบายอารมณ์กับคนรอบข้าง หากข่าวแพร่ออกไป ชื่อเสียงของนางมิเสียหมดเลยหรือ นี่มิเป็นผลดีกับการหาตระกูลที่ดีให้นางแม้แต่น้อย”
อันหลิงอีมีนิสัยประมาทและใจร้อน หากมีคนรู้ว่านางทุบตีสาวใช้จักต้องถูกครหาว่าเป็นคนใจดำ นี่ย่อมเป็นสิ่งที่มิดีนัก
เดิมทีนางเป็นบุตรสาวของอนุ ถือโอกาสว่าหลายปีนี้ฉลาดเฉลียวและเชื่อฟังจึงมักได้รับคำชมจากเหล่าฮูหยินมาบ้าง แต่อันหลิงเกอทำลายภาพลักษณ์ที่นางเพียรสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากไปหมด ช่างเสียแรงเปล่าจริง ๆ
หลี่ซื่อนึกอยู่สักครู่แล้วสั่งเถ่าหงว่า “ไปเรียกอีเอ๋อมา ข้ามีเรื่องต้องคุยกับนาง”
เถ่าหงตอบรับ เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชานางก็พาอันหลิงอีมาถึง
วันนี้อันหลิงอีสวมชุดยาวที่ทำจากผ้าซาตินสีเหลืองปักลายผีเสื้อสีขาว ดอกไม้และเมฆ บนศีรษะติดหยกใสลายดอกไม้และผีเสื้อ นางสวมรองเท้าปักเส้นทองสองเส้นลายกลีบดอกไม้ ใบหน้าที่อ่อนช้อยเอาใจคน เมื่อมองจากที่ไกลก็พลันให้ความรู้สึกสวยงามน่าหลงใหล
หลี่ซื่อเห็นอันหลิงอีที่มีรูปร่างเช่นนี้ ดวงตาก็มีความชอบใจแล่นผ่าน ทว่าอารมณ์นี้ก็ถูกกดลงอย่างรวดเร็ว “ ช่วงเวลานี้เจ้าทำอันใดไปบ้าง? ”
นางมองอันหลิงอีนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นจึงเอ่ยถาม สีหน้าอันหลิงอีดูเบื่อหน่ายทว่ายังตอบกลับตามความจริง “มิได้ทำอันใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ ทุกวันก็ไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาจิงตูครึ่งวัน จากนั้นก็กลับมาเรือนตามปกติ”
“เจ้าอารมณ์เสียแล้วเอาสาวใช้ข้างกายเป็นที่ระบายอารมณ์อีกแล้วหรือไม่ ? ” หลี่ซื่อถามตามตรง แววตาแฝงไปด้วยความเข้มงวดอยู่บ้าง จากนั้นจึงกล่าวอย่างหวังดีว่า “อันหลิงเกอได้ออกหน้าออกตากลายเป็นหมอหญิงคนแรกแห่งราชวงศ์นี้ ผู้คนต่างชื่นชมนางจนมิเห็นตัวตนของเจ้า เจ้าถูกนางกดไว้จึงมิพอใจ แม่รู้ทั้งหมด”
“แม้เจ้ามิพอใจมากเพียงใดก็มิสามารถมาระบายอารมณ์กับสาวใช้ได้”
ดวงตาของนางแฝงไปด้วยการคิดคำนวณ “แม่เชิญคนที่เย็บปักถักร้อยเก่งเยี่ยงป้าอู๋มาสอนเจ้า มิง่ายเลยกว่าจักสอนให้เจ้าเก่งศิลปะทั้งสี่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เจ้าสามารถดึงชื่อเสียงของหญิงสาวผู้มีคุณธรรมกลับคืนมา แต่หากเรื่องที่เจ้าตีสาวใช้ถูกเผยแพร่ออกไป ทุกอย่างที่เราทำก็จะเสียเปล่ามิใช่หรือ ? ”
อันหลิงอีมุ่ยปาก ท่าทางมิใส่ใจกับเรื่องนี้ “ท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ พวกนางมิกล้าพูดหรอก มิเช่นนั้นถ้าลูกรู้ว่าใครกล้าเอ่ยลับหลัง ลูกจักให้คนตัดลิ้นนางเสีย ! ”
ความเกลียดชังของนางรุนแรงยิ่งนัก จึงเป็นสิ่งที่ทำให้หลี่ซื่อกังวลใจ “อีเอ๋อ เจ้าพยายามแสดงตนให้เชื่อฟังและน่าเอ็นดูหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจเราแม่ลูกไปแล้ว เจ้าอย่าทำให้ท่านพ่อต้องห่างเหินกับพวกเราอีกเลย”