พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 286 ไกลห่าง
ตอนที่ 286 ไกลห่าง
“เรียนซื่อจื่อ จดหมายลับจากม่อเป่ยขอรับ”
จดหมายลับ ปกติแล้วจักส่งเข้าวังหลวงโดยตรง แต่กับมู่จวินฮาน ด้วยความที่เขาเป็นบุตรชายของอ๋องมู่ ในอนาคตเขาต้องเข้ามากุมอำนาจทหารเพื่อปกป้องม่อเป่ย ต่อให้ท่านอ๋องมู่ส่งจดหมายอีกกี่ฉบับให้เขาก็มิมีผู้ใดกล้าวิพากษ์วิจารณ์
ผู้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้ามู่จวินฮานคือทหารรูปร่างผอมนายหนึ่ง ใบหน้าดำคล้ำจนจำโครงหน้าเดิมแทบมิได้ ริมฝีปากแห้งแตกแสดงให้เห็นว่าเขาต้องนอนกลางดินกินกลางทรายและควบม้ามาส่งข่าวโดยมิได้พักผ่อน
มู่จวินฮานรับจดหมายลับมาจากมือของทหารผู้นั้น เมื่อเปิดอ่านเนื้อหาที่เขียนอยู่ภายในก็ทำให้ดวงตาของเขาวาวโรจน์ มือทั้งคู่ขยำกระดาษแน่น
“ข่าวนี้เป็นความจริงหรือ ? ”
ท่าทางของชายหนุ่มเจ้าสำราญหายไปภายในชั่วพริบตา ถูกแทนที่ด้วยรังสีสังหารที่แผ่ออกมา
ทหารนายนั้นเป็นเพียงคนส่งจดหมาย ก่อนหน้านี้เขามิเข้าใจว่าเหตุใดต้องนำจดหมายลับที่สำคัญเยี่ยงนี้มาส่งให้บุรุษที่ชอบทำตัวเสเพลไปวัน ๆ
ทว่าตอนนี้เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นยะเยือกที่เกิดขึ้นรอบตัวมู่จวินฮานแล้ว พลังอำนาจที่น่าเกรงขามจักมีอยู่ในตัวของบรรดาบุตรขุนนางทั่วไปจริงหรือ ?
คนผู้นี้ปกปิดตัวตนแท้จริงมานานหลายปีจนคนทั้งเมืองโดนหลอกไปทั่ว แท้จริงแล้วมิได้เป็นเหมือนที่แสดงออกมาแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ นายทหารถึงกับตกตะลึงจนลืมแม้กระทั่งคำถามที่มู่จวินฮานเอ่ยถามไปก่อนหน้านี้จนสิ้น
แต่เมื่อโดนแววตาของมู่จวินฮานที่เคร่งขรึมจ้องมองราวกับจักทำให้เขามลายหายไป นายทหารจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง พลันเหงื่อซึมอยู่บนหน้าผาก “เรียนซื่อจื่อ ข่าวนี้เป็นความจริงแน่นอน สามารถเชื่อถือได้ขอรับ”
เดิมคิดว่าแคว้นชิงเยว่แค่ยกทัพแสนนายเข้าโจมตีม่อเป่ยอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ใดจักคาดคิดว่าพวกมันมีแผนลอบกัดไว้อีก !
พวกมันอาศัยจังหวะที่ทั้งสองกองทัพกำลังปะทะกันอยู่ พวกแคว้นชิงเยว่จอมเจ้าเล่ห์กลับส่งทหารเข้าไปลอบโจมตีหมู่บ้านและเผาเสบียงทั้งหมดของชาวบ้านในม่อเป่ย
ท่านอ๋องมู่ที่เห็นราษฎรหิวโหยก็อดสงสารมิได้จึงแอบปรึกษากับเหล่าแม่ทัพเพื่อนำเสบียงของทหารส่วนหนึ่งแบ่งให้ราษฎร ขณะเดียวกันก็ส่งข่าวทูลฮ่องเต้เพื่อให้ส่งเสบียงใหม่มาให้ ขอเพียงอดทนแค่สิบวันหรือครึ่งเดือนรอจนเสบียงจัดส่งมาถึงก็จักมิมีอันใดต้องกังวลอีก
แต่มิรู้ว่าข่าวนี้ถูกผู้ใดขัดขวางเอาไว้ เพราะจนถึงตอนนี้ทางเมืองหลวงก็ยังมิได้ส่งเสบียงให้ทางม่อเป่ย ราษฎรก็มิสามารถอดทนได้นานถึง 2 เดือนได้ เสบียงทหารก็มิสามารถแบ่งปันให้พวกเขาตลอดเช่นกัน
มิเช่นนั้นหากทหารทานมิอิ่มแล้วเกิดการปะทะระหว่างกองทัพทั้งสองขึ้นอีกก็อาจตกเป็นเบี้ยล่างได้
เพราะนี่เป็นศึกของทหารนับแสน มีชีวิตมากมายเป็นเดิมพัน ต่อให้ท่านอ๋องมู่สงสารราษฎรเพียงใดก็มิกล้านำชีวิตทหารเข้าไปเสี่ยงโดยเด็ดขาด
หลังจากได้รับคำยืนยันจากนายทหารผู้นั้น สายตาคมปราดของมู่จวินฮานก็เย็นชายิ่งขึ้น แคว้นชิงเยว่เป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ เท่านั้น แต่เพราะฮ่องเต้องค์ก่อนแห่งต้าโจวพระทัยอ่อนจึงปล่อยแคว้นนี้เอาไว้ ผู้ใดจักคาดคิดว่าสุดท้ายแล้วกลายเป็นเลี้ยงลูกเสือที่คอยจ้องมองต้าโจวเพื่อหวังยึดครองดินแดนส่วนหนึ่งไป ช่างทะเยอทะยานเสียจริง !
ด้วยความมิพอใจเขาจึงโยนจดหมายในมือไปอีกทางแล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
“ซื่อจื่อ ท่านจักไปที่ใดขอรับ ? ”
นายทหารที่มีใบหน้าดำคล้ำรีบเดินตามมู่จวินฮานออกไป มู่จวินฮานตอบเขาโดยมิหันมามองแม้แต่น้อย “ขนเสบียงไปม่อเป่ย ! ”
ข่าวจากม่อเป่ยส่งมาถึงมือของเขาได้ย่อมส่งไปถึงพระหัตถ์ของฮ่องเต้ได้เช่นกัน
มิมีทางที่ข่าวจักโดนสกัดเอาไว้ ทำให้เขาเชื่อว่าเป็นฮ่องเต้มิยอมส่งเสบียงให้เองมากกว่า ดังนั้นจึงแสร้งทำมิได้รับรายงานเรื่องนี้
อย่างไรม่อเป่ยก็มีทหารเรือนแสน ทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุมของอ๋องมู่ ฮ่องเต้เองก็หวาดระแวงถึงขนาดเรียกมู่หวางเฟยเข้าวัง แม้ข้ออ้างฟังดูดีว่าเพื่อสะดวกในการดูแลนาง แต่ผู้ใดบ้างมิรู้ความคิดของฮ่องเต้ว่าต้องการให้มู่หวางเฟยเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ให้อ๋องมู่เกรงกลัว
มู่จวินฮานกระโดดขึ้นนั่งบนหลังอาชาอย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งท่าทางยังดูสง่างาม คนที่เห็นต่างชื่นชมว่าสมเป็นบุรุษผู้กล้าหาญ !
จากนั้นเขาสะบัดแส้เพียงครั้งเดียว อาชาตัวใหญ่สีแดงเพลิงก็ส่งเสียงร้องดังขึ้นมา เท้าหน้ายกขึ้นสูงจากนั้นก็วิ่งไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็ว
ในเมื่อฮ่องเต้มิยอมส่งเสบียงไป เช่นนั้นเขาคงต้องนำเสบียงไปส่งด้วยตนเอง
ถึงอย่างไรจวนของเขาก็เป็นเจ้าของร้านขายข้าวและธัญพืชหลายร้าน ต่อให้ส่งไปม่อเป่ยสักสิบยี่สิบถังก็มิใช่ปัญหาแม้แต่น้อย
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อโปรดรอก่อนขอรับ ! ” นายทหารคนเดิมรีบตามมา ในเวลานี้สายตาที่มองมู่จวินฮานมิได้แฝงประกายความดูถูกเช่นเก่าก่อน
เขารีบขึ้นม้าตามไป แม้การขึ้นม้ามิสง่างามเท่ามู่จวินฮานแต่ก็มีความคล่องแคล่วและไหลลื่นเป็นธรรมชาติ หลังจากหันหัวม้าได้ก็รีบตามมู่จวินฮานไปทันที
อาชาสองตัวพุ่งทะยานไปตามถนน ตามเส้นทางที่วิ่งผ่านมีฝุ่นคลุ้งไปหมด ผู้คนที่อยู่ตลอดสองข้างทางพากันขมวดคิ้วด้วยความมิพอใจ
แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ควบม้าคือมู่จวินฮาน คิ้วที่ขมวดด้วยความมิพอใจก็หายไปในพริบตาโดยเฉพาะสตรี มิมีเสียงบ่นเรื่องเสื้อผ้าที่สวยงามของตนเปื้อนฝุ่นเล็ดลอดให้ได้ยินอีก กลับมีแต่สีหน้ายินดีที่ได้พบมู่ซื่อจื่อที่ทั้งหล่อเหลาและสง่างามสมคำเล่าลือ
ในขณะเดียวกันมู่จวินฮานก็ควบม้าผ่านรถม้าคันหนึ่งไปด้วยความรวดเร็ว ลมพัดให้ม่านของรถม้าคันนั้นปลิวไสวจนเผยให้เห็นใบหน้าของอันหลิงเกอ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังอยู่ใกล้ ๆ อันหลิงเกอจึงทอดสายตาไปยังด้านนอกรถม้าและได้เห็นเงาด้านหลังที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ ของมู่จวินฮาน
เป็นเหตุให้นางขมวดคิ้วเล็กน้อย มิรู้ว่าเหตุใดมู่จวินฮานจึงมีท่าทางรีบร้อนเช่นนี้ หรือว่าทางม่อเป่ยเกิดเรื่องใดขึ้น ?
แม้คิดได้เช่นนั้นนางก็ทำได้เพียงนั่งมองเงาร่างของมู่จวินฮานลับตาไปต่อหน้าต่อตา มิมีโอกาสถามไถ่แม้แต่น้อย
ช่างเถิด ค่อยถามตอนพบเขาครั้งหน้าก็แล้วกัน
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็เบนสายตากลับมา ทว่านางในตอนนี้มิรู้เลยว่าในภายภาคหน้านางเกือบมิได้พบมู่จวินฮานอีก
ปี้จูที่นั่งอยู่ด้านข้างอันหลิงเกอก็เห็นร่างที่ค่อย ๆ ลับสายตานั้นเช่นกัน “คุณหนู นั่นคือท่านมู่ซื่อจื่อนี่เจ้าคะ”
หลังจากที่นางรู้ว่าความสัมพันธ์ของมู่จวินฮานและอันหลิงเกอมิได้มีความขัดแย้งอย่างที่พวกเขาแสร้งทำออกมา ความเกลียดชังที่ปี้จูมีต่อมู่จวินฮานก็มลายหายไปจนสิ้น
ตอนแรกนางคิดว่ามู่จวินฮานทรยศต่ออันหลิงเกอจึงมิพอใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้รู้ความจริงว่าทั้งหมดเป็นแผนการที่มู่จวินฮานกับอันหลิงเกอวางเอาไว้ก็ทำให้ตอนมองมู่จวินฮานดวงตากลมโตของปี้จูเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายดวงดาวออกมา
“ข้ารู้แล้ว” อันหลิงเกอตอบรับเสียงเรียบ แม้ใบหน้าเรียบเฉยมิบ่งบอกอารมณ์ใด แต่ภายในใจเกิดความกังวลขึ้นมา
ควรบอกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้เขาทราบดีหรือไม่ ?
ถึงแม้บอกว่าตอนนี้พวกนางมิได้เกี่ยวข้องกันอีก แต่นางกับมู่จวินฮานต่างชอบพอกันซึ่งภายในใจของทั้งคู่ก็รู้ดี
หากมู่จวินฮานรู้ว่าวันนี้ลู่จ้านมาสารภาพความในใจกับนาง มิรู้ว่าเขาจักมีปฏิกิริยาเช่นไร
อันหลิงเกอมองไปยังปี้จูที่นั่งอยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายกำลังนั่งเอามือกุมใบหน้าของตน แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม “หมิงซินบอกว่าท่านมู่ซื่อจื่อส่งสาวใช้สตรีที่รู้วรยุทธมาให้คุณหนูแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้อยู่ที่จวนแล้วอีกสักครู่คุณหนูต้องไปดูนางเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเพียงส่งเสียงตอบรับแต่ภายในใจเต้นรัว
เขามักคอยปกป้องนางอยู่เงียบ ๆ เสมอ