พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 5 ขโมยไก่ไม่สำเร็จ แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมือ
ตอนที่ 5 ขโมยไก่ไม่สำเร็จ แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมือ
ใบหน้าของอันหลิงเกอยกยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ จากนั้นโบกมือให้หลู่จิงอวี่ออกไป ภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง อันหลิงเกอเอนกายลงบนตั่ง ใช้ค้อนเขาวัวอันเล็กเคาะที่ต้นขาเพื่อนวดผ่อนคลาย
หลังจากนั้นมินานประตูห้องก็ถูกปี้จูผลักเข้ามา นางยกของว่างเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเจ้าคะ จิงอวี่ผู้นั่นมิเลวเลยเจ้าค่ะ บาดแผลยังมิหายดีก็แย่งข้าทำงานเสียแล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเพียงแค่ตอบรับอย่างเกียจคร้านว่า “อืม” เพียงเท่านั้น จากนั้นนางก็รับฟังปี้จูเล่าถึงเรื่องราวที่อันหลิงอีและหลี่ซ่อทะเลาะกันในห้องอย่างออกรสออกชาติ
เมื่อเล่าจบ ปี้จูก็กล่าวออกมาว่า “คุณหนูเจ้าคะ วันนี้คุณหนูวางแผนการได้อย่างแยบยลมากเลยเจ้าค่ะ แต่โอกาสดีเช่นนี้ เหตุใดท่านถึงมิอาศัย…”
เมื่ออันหลิงเกอได้ฟังก็หันไปมองหน้าปี้จู แล้วเอ่ยออกไปว่า “เจ้าคิดว่าแค่เรื่องในวันนี้พวกนางจะเอาตัวรอดมิได้เยี่ยงนั้นหรือ”
ในเมื่ออันหลิงเกอได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครา จะมิมีทางมองข้ามความไว้วางใจที่อันอิงเฉิงมอบให้สองแม่ลูกคู่นี้อีกเป็นอันขาด อันหลิงเกอรับรู้เป็นอย่างดีว่าอันอิงเฉิงนั้นรักในชื่อเสียงและอำนาจยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้ามิใช่เพราะน้องสาวของหลี่ซื่อนั้นตอนนี้เป็นถึงสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุดอย่างหลี่กุ้ยเฟย และตราบใดที่หลี่กุ้ยเฟยยังให้การสนับสนุนหลี่ซื่ออยู่เยี่ยงนี้ อันอิงเฉิงก็ยังคงต้องเกรงใจหลี่กุ้ยเฟยอยู่เป็นแน่ ขอเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นมิกระทบต่อตำแหน่งและชื่อเสียงของตน เขาก็เพียงแสร้งมองไม่เห็นไปเพียงเท่านั้น
“แล้วมิใช่หรอกหรือเจ้าคะ ? ” ปี้จูยังคงคิดเช่นนั้น ในความคิดของนาง เรื่องที่บุตรีของฮูหยินรองซื้อตัวบ่าวรับใช้เพื่อใส่ร้ายบุตรีของฮูหยินใหญ่นั้นเป็นความผิดที่มิอาจให้อภัยได้
พอได้รับฟัง อันหลิงเกอเพียงยกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากให้กับความไร้เดียงสาของปี้จู พร้อมกลับเอ่ยออกไปว่า “เรื่องบางเรื่องวันข้างหน้าเจ้าก็จักเข้าใจด้วยตนเอง และในตอนนี้พวกเราจะประมาทมิได้เป็นอันขาด”
เมื่อได้พูดคุยร่วมกับปี้จู ก็ทำให้อันหลิงเกอตระหนักคิดขึ้นมาได้ เนื่องด้วยนิสัยหยิ่งผยองของอันหลิงอี วันนี้ตนนั้นเป็นเหตุให้นางต้องอับอายถึงเพียงนั้น นางจักต้องมิยอมรามือง่าย ๆ เป็นแน่ “ปี้จู เจ้าไปตามจิงอวี่มาให้ข้าที”
หลังจากนั้นมินานลู่จิงอวี่ก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าของอันหลิงเกอ รูปร่างผอมเพรียว แขนเสื้อที่พับขึ้นเผยให้เห็นแขนที่มีพลัง และรอยแส้ที่ยังปรากฏเด่นชัด
อันหลิงเกอจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไปว่า “เจ้าคุ้นเคยกับงานในเรือนบ้างแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ลู่จิงอวี่นั้นเกิดมายากจน ตั้งแต่เล็กเขานั้นรู้ความมากกว่าเด็กรุ่นเดียวกันเสมอ ยิ่งผ่านเรื่องราวในวันนี้ ทำให้เขานั้นเติบโตและมีความสงบนิ่งมากขึ้น
เมื่ออันหลิงเกอเอ่ยถาม เขาจึงพยักหน้ารับ แล้วกล่าวตอบกลับไปว่า “แม่นางปี้จูสอนงานให้ข้าน้อยหมดแล้วขอรับ ข้าน้อยจะมิทำให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังเป็นอันขาด”
หลังจากได้รับฟังคำตอบ อันหลิงเกอจึงหันไปหยิบขวดยาออกมาจากกล่องแต่งหน้าของนางแล้วส่งให้ลู่จิงอวี่ “นี่เป็นยาสมานแผลชั้นดี เจ้านำกลับไปทาแผลของเจ้าเอง แต่ตอนนี้เจ้าไปทำงานบางอย่างให้ข้าหน่อยสิ…”
…
กลางดึก ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ท่ามกลางแสงจันทร์โอบล้อมไปด้วยบรรยากาศที่เย็นยะเยือก จวนโหวที่เงียบสงบภายใต้แสงจันทร์นั้นกลับมีเงาของร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ ตรงด้านหน้าของเรือนฉีอู๋ นางแอบมองภายในเรือนแล้วหันกลับมาออกคำสั่ง
“รีบจัดการให้เรียบร้อย” คนผู้นั้นแม้จะเอ่ยออกมาเสียงมิดังมาก แต่ท่าทางหยิ่งผยองนั้นมิเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย “ขอเพียงแค่พวกเจ้าสามารถกรีดใบหน้าของนังตัวแสบนั่นให้ข้าได้ ข้าจักให้เงินแก่พวกเจ้า 10 ตำลึง ! ”
เมื่อมีรางวัลล่อใจย่อมต้องมีผู้กล้าทำงานนี้ให้ บ่าวรับใช้สามถึงสี่คนชักมีดสั้นที่เหน็บไว้บริเวณเอวออกมา จากนั้นกระโจนเข้าไปยังเรือนฉีอู๋ในทันที
อันหลิงอีจ้องมองเข้าไปในเรือนอย่างย่ามใจ เมื่อยามเว่ย มารดาของนางต้องการให้นางอยู่แต่ในห้องอย่างสงบเสงี่ยมสักครึ่งเดือน รอจนบิดาหายโกรธค่อยวางแผนใหม่ แต่นางกลับมิยอม ! นังตัวดีขี้โรคนั่น เหตุใดข้าต้องมาถูกกักบริเวณเพราะนางด้วย ?
แค่คิดถึงท่าทางของอิงหลิงเกอตอนอยู่ต่อหน้าอันอิงเฉิงวันนี้แล้ว เป็นเหตุให้อันหลิงอีต้องขบกรามแน่นด้วยความเคียดแค้นอยู่ภายในใจ “นังตัวดี ช่างมิรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง ! ”
ผู้ใดจะคาดคิดว่านางยังพูดมิทันจบ ภายในเรือนกลับมีเสียงกรีดร้องดังก้องออกมา ทันใดนั้นไฟในเรือนก็สว่างขึ้น ก่อนที่อันหลิงอีจะได้สติ ปี้จูก็เคาะอ่างทองแดงแล้วเดินผ่านนางไป พร้อมกับตะโกนว่า “ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าคะ มีขโมย ! ”
เมื่ออันหลิงอีได้สติและกำลังจะหนีนั้น ทว่าตรงข้อมือของนางกลับถูกจับเอาไว้เสียแล้ว เมื่อนางหันกลับไปก็ได้พบกับดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะของลู่จิงอวี่แทน
“น้องหญิงจะไปที่ใดหรือ ? ”
อันหลิงเกอก้าวออกมาจากด้านหลังของลู่จิงอวี่ บนใบหน้าของอันหลิงเกอพลันปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา
อันหลิงเกอรู้ดีว่าอันหลิงอีนั้นต้องมิยอมรามือง่าย ๆ เป็นแน่ จึงได้ให้ลู่จิงอวี่วางกับดักไว้ที่เรือน จากนั้นก็วางแผนรอจับนางเอาไว้ และแล้วก็จับตัวนางไว้ได้จริง ๆ เมื่อถูกจับได้ ใบหน้าของอันหลิงอีซีดลง ภายในใจนางรู้ดีว่าตนเองนั้นถูกอันหลิงเกอเล่นงานเข้าให้แล้ว เมื่อถูกจับได้ก็ทำอันใดมิได้ ทำได้เพียงเถียงแบบหัวชนฝาเท่านั้น “ข้า ข้า…เจ้าคนชั้นต่ำ กล้าดีเยี่ยงไรถึงได้ไร้มารยาทกับข้าเยี่ยงนี้ ? ! ”
ในเมื่อที่ตรงนี้มิมีอันอิงเฉิงและหลี่ซื่ออยู่ อันหลิงเกอก็มิอาจเสแสร้งปั้นหน้าอีกต่อไปได้ ดวงตาที่ลุ่มลึกของอันหลิงเกอทอประกายความเกลียดชังออกมาอย่างชัดเจน “ไร้มารยาทเยี่ยงนั้นหรือ ? อันหลิงอี เจ้าเป็นเพียงคุณหนูที่เกิดจากอนุ หาทางกลั่นแกล้งข้ามาหลายครั้งหลายครา กล้าทำผิดอย่างมิเกรงกลัว นี่ต่างหากที่เรียกว่าไร้มารยาท ! ”
อันหลิงเกอยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงของเป็นปกติ แต่อันหลิงอีกลับรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา ในขณะที่นางมิรู้ว่าควรจะทำเยี่ยงไรดี คนจำนวนมิน้อยต่างก็มายืนอยู่ตรงหน้าเรือนฉีอู๋แล้ว แสงไฟส่องสว่างเกินกว่าครึ่งเรือน
อันอิงเฉิงที่มีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิด
“เกิดเหตุอันใดขึ้นอีกล่ะ ? ! ”
“เรียนท่านพ่อ มีคนบุกรุกเข้ามาในเรือนของลูกเจ้าค่ะ มาทำลับ ๆ ล่อ ๆ มิรู้ว่ามีจุดมุ่งหมายอันใด ที่เรือนฉีอู๋นั้นมีเพียงลูกและปี้จูเพียง 2 คนเท่านั้น ลูกจึงได้ให้ปี้จูไปตามคนมาช่วยจับคนร้ายเจ้าค่ะ”
“แล้วไหนล่ะ ? ! ” อันอิงเฉิงระงับความโกรธเอาไว้ เมื่อครู่เขากับหลี่ซื่อกำลังจะ…
โล้สำเภา !
เมื่อได้ฟังอันอิงเฉิงเอ่ยถาม ลู่จิงอวี่จึงรีบผลักบ่าวรับใช้ 3 คนที่ถูกมัดรวมกันไว้ออกมาด้านหน้า
เมื่อหลี่ซื่อเห็นใบหน้าของทั้งสามคนนั้น ใบหน้าของนางก็ถอดสีในทันที แล้วจ้องเขม็งไปทางอันหลิงอีแล้วกล่าวว่า “นายท่านเจ้าคะ แค่ขโมยไม่กี่คน พรุ่งนี้ข้าจะส่งพวกมันไปให้ศาลต้าหลี่จัดการเองเจ้าค่ะ นี่ก็ดึกแล้ว พวกเรารีบไปพักผ่อนกันเถิดเจ้าคะ”
หลี่ซื่อพูดไป ก็ใช้มืออันแสนอ่อนนุ่มลูบไล้ที่แผงอกของอันอิงเฉิงไปด้วย นิ้วมืออันเรียวยาวสะกิดไปที่หน้าอกของอันอิงเฉิง ทำให้เขาเกิดความเสน่หาขึ้นมาในทันที จึงได้กล่าวออกมาเสียงเข้มว่า “เยี่ยงนั้นก็จัดการให้เรียบร้อย”
“ท่านพ่อ ! ” อันหลิงเกอกลับเรียกอันอิงเฉิงไว้ “จวนโหวสูงส่งถึงเพียงนี้ แต่โจรพวกนี้กลับบุกรุกเข้ามาได้ ลูกคิดดูแล้วก็หวาดกลัว หากคืนนี้ที่ที่มันบุกรุกเข้าไปมิใช่เรือนฉีอู๋ของลูก แต่เป็นห้องนอนของท่านพ่อ นั่น…”
อันอิงเฉิงได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งยังคิดถึงเรื่องเมื่อหลายวันมานี้มีโจรภูเขาบุกรุกเข้าเมืองหลวง เป็นเหตุให้เขารู้สึกระแวงขึ้นมาในทันที “เอาตัวพวกมันมา”
ลู่จิงอวี่เมื่อได้รับสัญญาณจากอันหลิงเกอ ก็นำตัวคนผู้หนึ่งในคนที่ถูกมัดไปตรงหน้าของอันอิงเฉิง จากนั้นก็ใช้ไฟส่องไปที่หน้าของคนผู้นั้น
อันอิงเฉิงได้เห็นก็โมโหขึ้นมาในทันที “จางเฉิง เจ้าคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ! ”
จางเฉิงก่อนหน้านี้ถูกลู่จิงอวี่ตีจนหมดแรงอยู่ก่อนแล้ว มาถึงตอนนี้ก็ถูกอันอิงเฉิงตบเข้าที่หน้าไปอีกหลายที จึงรู้สึกมึนหัวไปหมด แต่ก็ต้องรีบกล่าวร้องขึ้นว่า “นายท่าน ข้าน้อยถูกใส่ร้ายขอรับ ! ”
“ใส่ร้ายอันใดกัน ? ” อันอิงเฉิงกล่าวอย่างโมโห “หรือเจ้าจะกล่าวว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังซ่อนอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จางเฉิงได้ยินก็เอ่ยอันใดมิออกไปชั่วครา ทำได้เพียงแค่ร้องคร่ำครวญอยู่เยี่ยงนั้น
อันหลิงเกอเห็นดังนั้นจึงเอ่ยออกไปว่าว่า “จางเฉิง นั่นมันคนดูแลเรือนของน้องหญิงมิใช่หรือ ? ”
ประโยคที่เอ่ยขึ้นนี้คล้ายนางกำลังเอ่ยกับตัวเองด้วยน้ำเสียงมิดังและมิเบา แต่ก็ทำให้อันอิงเฉิงได้ยินพอดีเขาจึงหันหน้ากลับไปมอง กลับสบเข้ากับตาดวงตาที่ตื่นตระหนกของอันหลิงอีเข้าพอดี ทำให้อันอิงเฉิงเข้าใจได้ในทันที “เจ้ามิสำนึกผิดอยู่ในเรือน หนำซ้ำยังมาก่อเรื่องที่นี่อีกรึ ? ! ”
ครานี้อันอิงเฉิงเอ่ยถามขึ้นโดยมิลังเลเลยแม้เพียงนิดเดียว ทำให้หลี่ซื่อกลัวขึ้นมา นางอยากจะแก้ตัวให้ลูกสาว แต่ทำได้เพียงแค่อ้าปาก สุดท้ายก็มิได้พูดสิ่งใดออกมา ซึ่งนางนั้นรู้จักนิสัยของอันอิงเฉิงดีกว่าใคร หากนางพูดออกไปก็มิต่างกับการราดน้ำมันลงในกองไฟอย่างแน่นอน
อันหลิงเกอเห็นดังนั้นจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ “ที่แท้ก็เท่านี้เอง”
เมื่ออันหลิงอีเห็นเยี่ยงนั้น จึงหันกลับมาเอ่ยถามอย่างมิพอใจว่า “เจ้าจะพูดอันใดอีก ? ! ”
อันหลิงเกอยกยิ้มที่มุมปากเพียงเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกไปว่า “ข้าคิดว่าพวกเจ้าแม่ลูกมีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เมื่อภัยมาถึงตัว แม้แต่อี๋เหนียงก็มิเห็นช่วยพูดแก้ตัวอันใดให้เจ้าเลย”
*กุ้ยเฟย คือ พระมเหสีชั้นสูงระดับ 2 รองจากหวงโฮ่วและหวงกุ้ยเฟย